Vintage Louis Vuitton Noé เป็นกระเป๋าที่ขึ้นแท่นของสุดยอดความคลาสสิก อันเคยโด่งดังอย่างมากในช่วงยุค 90 มันจะถูกลิสต์เข้าไปอยู่ในรายการกระเป๋าใบโปรดตลอดกาลของเหล่าบรรดานักสะสมกระเป๋าวินเทจตัวยงของแบรนด์หลุยส์ วิตตอง ด้วยดีไซน์ของกระเป๋าที่ออกแบบมาเพื่อการใช้งานได้จริง มีความคงทน อีกทั้งมีรูปร่างที่สวยงาม หรือที่คนไทยคุ้นเคยกับคำว่า “หลุยส์ขนมจีบ” เนื่องจากรูปทรงดีไซน์อันสะดุดตาของมันนั่นเอง มาร่วมย้อนอดีตไปศึกษาที่มาของกระเป๋ารุ่นสำคัญรุ่นนี้ไปพร้อมกันกับเรา
History of Louis Vuitton Noé
ย้อนกลับไปเมื่อปี ค.ศ. 1932 ในขณะนั้น Gaston Louis Vuitton ได้รับออเดอร์พิเศษจากผู้ผลิตแชมเปญรายใหญ่ ให้ช่วยออกแบบกระเป๋าสำหรับบรรจุขวดไวน์และแชมเปญ เพื่อใช้เป็นของขวัญสำหรับลูกค้าคนสำคัญ โดยมีเงื่อนไขในการออกแบบด้วยกันทั้งหมด 3 ข้อคือ ตัวกระเป๋าจะต้องมีน้ำหนักเบา และยืดหยุ่นสำหรับขวดแชมเปญ มีความหรูหราสมกับไวน์ของเขา ข้อสุดท้ายคือต้องมีพื้นที่มากพอสำหรับใส่ขวดแชมเปญทั้งหมดเป็นจำนวน 5 ขวด
Gaston รับเงื่อนไขทั้งหมดและทำการบ้านอย่างหนัก จนได้ผลงานเป็นกระเป๋ารุ่น Noé (โนเอ้) หลังจากนั้น มีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดอีกเล็กน้อย โดยมีการติดตั้งเชือกหนัง (Drawstring) ที่ปากกระเป๋า สำหรับรูดเปิด-ปิด ด้านในกระเป๋าเรียบและโล่งสามารถใส่แชมเปญได้ 5 ขวด (แบบ 4 ขวดตั้งและ 1 ขวดกลับหัวตรงกลาง) ก้นกระเป๋าสี่เหลี่ยม พร้อมด้วยตัวกระเป๋าที่ตั้งตรง ไม่นานนัก Noé ก็กลายมาเป็นสัญญลักษณ์คู่กายของนักเดินทางในยุคนั้น ด้วยรูปทรงของกระเป๋าที่ดูทะมัดทะแมง สายสะพายที่สามารถปรับความสั้นยาวได้
ชื่อ Noé มีที่มาจากตำนานเกี่ยวกับเรือโนอาร์ (Noah’s Ark) ซึ่งถูกกล่าวถึงในพระธรรมปฐมกาลบทที่ 6 พระคัมภีร์ของศาสนาคริสต์ ว่าด้วยเรื่องก่อนที่พระเจ้าจะทรงทำลายมนุษย์ด้วยการบันดาลให้เกิดเหตุอุทกภัย หรือเหตุการณ์น้ำท่วมโลก โนอาร์คือชื่อของบุคคลที่พระเจ้าทรงเห็นว่าเป็นคนชอบธรรม จึงรับสั่งให้ทำการต่อเรือ และทำการขนย้ายครอบครัว รวมทั้งสัตว์น้อยใหญ่จำนวนหนึ่ง เพื่อให้รอดพ้นกับอุทกภัยใหญ่ในครั้งนี้ ซึ่งกระเป๋าก็เปรียบเสมือนเรือโนอาร์ที่สามารถบรรจุของได้มากมายนั่นเอง
Design of the Bag
ดีไซน์ของกระเป๋าที่มีจุดเด่นอยู่ที่สายหนังที่ใช้ผูกด้านบนของกระเป๋าเพื่อใช้ในการเปิด-ปิด รวมทั้งสายสะพายที่สามารถปรับเปลี่ยนความสั้นยาวได้อย่างใจนึก เป็นเวลาหลายปีที่ทางหลุยส์ วิตตองได้ทำการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง และเพิ่มความหลายหลายให้กับกระเป๋ารุ่นนี้ โดยมีการเพิ่มทั้งวัสดุที่ใช้ตัดเย็บ ลูกเล่นรวมถึงสไตล์ใหม่ๆ ที่นำสมัย ปัจจุบันขนาดของกระเป๋ารุ่น Noé มีทั้งหมด 6 ขนาด โดยแบ่งออกตามปีที่เปิดตัว แต่ละรุ่นสามารถใช้สะพายไหล่ สะพายเป็นกระเป๋า Crossbody หรือตามแต่สไตล์ที่ต้องการ มีรายละเอียดของแต่ละขนาดดังนี้
- Noé : เป็นชื่อเรียกของกระเป๋ารุ่นคลาสสิก ที่ได้รับการยอมรับไปทั่วโลก กับขนาดที่เป็นมาตรฐาน และถือว่ากระเป๋ารุ่นนี้เป็นกระเป๋ารุ่น Vintage อีกด้วย ด้วยกระเป๋าที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ในบรรดาทั้ง 6 ขนาดที่มีจำหน่ายในปัจจุบัน เหมาะกับการใช้เป็น Everyday Bag ด้วยขนาด 26 X 34 X 19 เซนติเมตร
- NeoNoé : Louis Vuitton เปิดตัวกระเป๋ารุ่นนี้ เมื่อปี ค.ศ. 2017 โดยมีดีไซน์ที่ปรับปรุงมาจากรุ่นดั้งเดิม โดยตัวกระเป๋ามีความเหลี่ยมคมชัดมากยิ่งขึ้น เป็นการนำกระเป๋ารุ่นประวัติศาสตร์นี้ไปสู่ความเป็นอนาคตอย่างแท้จริง ภายใต้วัสดุและลวดลายที่แตกต่างกัน มาพร้อมกับขนาด 28 X 36 X 20 เซนติเมตร
- Petit Noé : ด้วยชื่อของรุ่นที่บอกเป็นนัยยะถึงขนาดของกระเป๋า รุ่นนี้เปรียบเสมือนกระเป๋ารุ่นดั้งเดิมในขนาดที่เล็กลงมา ด้วยขนาดที่ไม่เล็กหรือไม่ใหญ่จนเกินไป เหมาะสำหรับวัยรุ่นที่ต้องการความคล่องตัว ในทุกๆ โอกาส พร้อมด้วยพื้นที่ในกระเป๋า ที่สามารถรองรับของใช้ที่จำเป็นได้อย่างเต็มเปี่ยม ด้วยขนาด 24 X 27 X 18 เซนติเมตร
- Noé BB และ NeoNoé BB : ตัวย่อ “BB” นั้น ย่อมาจากคำว่า “Baby Bandouliere” ซึ่งเป็นคำแทนของกระเป๋าที่มีขนาดเล็กที่สุดของรุ่นนั้นๆ สำหรับกระเป๋ารุ่นนี้ มาพร้อมกับขนาด 22 X 24 X 15 เซนติเมตร
- Nano Noé : ในช่วงปี ค.ศ. 2015 เป็นช่วงที่เทรนแฟชั่นกระเป๋าขนาดเล็กกำลังมาแรง ทางหลุยส์ วิตตองจึงได้ออกคอลเลกชั่น กระเป๋าขนาดย่อม หนึ่งในนั้นคือ Nano Noé กระเป๋าที่ดูภายนอกแล้วเหมือนจะมีขนาดใหญ่ แต่ความเป็นจริงแล้วมีขนาดเล็กมากๆ ด้วยขนาด 13 X 16 X 10 เซนติเมตรเท่านั้น
Material
วัสดุที่นำมาใช้ตัดเย็บกระเป๋ารุ่นนี้มีความหลากหลาย โดยที่สามารถพบเห็นได้มากที่สุดสำหรับกระเป๋า Vintage ของรุ่นนี้ คือลายผ้าใบ Monogram ที่มีการตกแต่งขอบกระเป๋าและในส่วนของก้นกระเป๋าด้วยวัสดุหนังที่เรียกว่า Vachetta leather ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความงามอันไร้กาลเวลาของ Louis Vuitton
อีกหนึ่งวัสดุที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ได้แก่ หนัง Epi หรือลายไม้ที่เราคุ้นเคยกันดี สำหรับหนัง Epi นี้ถือกำเนิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1920 โดย Georges Vuitton และลูกชายของเขา Gaston-Louis Vuitton ลายคลื่นบนผิววัสดุที่เราเรียกติดปากว่าลายไม้นั้น อันที่จริง ได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบมาจาก ริ้วคลื่น เวลาเรามองทุ่งข้าวสาลียามต้องแสงอาทิตย์ ซึ่งถือว่าเป็นวัสดุที่มีความคงทน รวมถึงมีให้เลือกหลากหลายสี ตั้งแต่สีเบสิคอย่างสีดำ สีน้ำตาล ไปจนถึงสีสันสดใสอย่างสีแดง สีเหลือง และสีอื่นๆ อีกมากมาย
ในปี ค.ศ. 2017 ได้มีการเปิดตัวกระเป๋า Collection พิเศษ ภายใต้ชื่อ Master Collection ร่วมมือกับศิลปินชื่อดังอย่าง Jeff Koons ศิลปินชาวอเมริกัน โดยการนำภาพงานศิลป์ระดับโลก มาประยุกษ์ตกแต่งเป็นลวดลายบนตัวกระเป๋า
Remember when shopping preloved Noé
การซื้อขายกระเป๋ามือสองและกระเป๋ารุ่น Vintage สิ่งหนึ่งที่สำคัญอย่างมาก และไม่ควรมองข้ามเลยก็คือ การซื้อขายกับตัวแทนจำหน่ายที่สามารถเชื่อถือได้ ควรตรวจสอบและเช็คประวัติที่มาให้แน่ใจก่อนเริ่มต้นทำการซื้อขาย สำหรับกระเป๋ารุ่น Noé นี้ ได้ดีไซน์ออกมาเพื่อการใช้งานที่ค่อนข้างจะสมบุกสมบัน ฉะนั้นการเลือกซื้อกระเป๋า Vintage จะต้องทำการตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน โดยควรใส่ใจเป็นพิเศษกับชิ้นส่วนดังต่อไปนี้
- รอยถลอกหรือร่องรอยขีดข่วนที่เกิดขึ้นบนสายสะพาย
- ลักษณะการเปลี่ยนแปลงของวัสดุหนัง Vachetta Leather บริเวณขอบกระเป๋า และฐานกระเป๋า ซึ่งหากไม่ได้รับการดูแลรักษาที่ถูกต้อง หนังจะมีความแห้งกรอบ เสื่อมสภาพ และหากโดนน้ำจะเกิดเป็นจุดด่างดวง กลายเป็นคราบถาวรที่ไม่สามารถกำจัดออกได้ อันเป็นเรื่องปกติของหนังชนิดนี้ ซึ่งต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ
- ตัวเชือกหนังที่ใช้เป็นหูรูดสำหรับเปิด-ปิดกระเป๋า อาจเกิดการแห้งกรอบ ฉีกขาด และเสื่อมสภาพ ซึ่งปัจจุบัน สามารถทำการเปลี่ยนสายให้ใหม่ แต่มูลค่าของกระเป๋าจะต่ำลง หากผ่านการสปาหรือดัดแปลงใดๆ ก็ตาม
ในสังคมปัจจุบัน ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า กระเป๋าสะพายกลายมาเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในชีวิตประจำวันของคนเรา และ Louis Vuitton Noé นั้น ก็ยังยืนหยัดเป็นที่นิยม มาจนถึงทุกวันนี้ โดยมีการปรับเปลี่ยนรูปโฉมให้เข้ากับยุคสมัย ในขณะที่ความนิยมในกระเป๋า Noé รุ่น Vintage ก็ไม่ลดน้อยลงไปเลย กลายเป็นหนึ่งในรุ่นคลาสสิกที่ถือเป็นกระเป๋าทรง Bucket ใบแรกของโลกและเก่าแก่เป็นอันดับ 2 ของแบรนด์ ที่บรรดาเหล่านักสะสมต่างพากันหลงไหลและอยากครอบครอง
รัก
xoxo