To top
30 Aug

ทรงของเพชร 9 ทรง ยอดนิยมตลอดกาล

ทรงของเพชร - เพชร (Damond) คือ อัญมณี ซึ่งเป็นตัวแทนของความงดงาม ล้ำค่า ที่เป็นอมตะ มีรากศัพท์มาจากภาษากรีกคำว่า "Adamas" หมายถึง ไม่มีผู้ใดเอาชนะได้ เปรียบได้กับความแข็งของเพชรที่ไม่มีอัญมณีใดเทียบเท่า เพราะเพชรเป็นอัญมณีที่มีความแข็งที่สุด วัดความแข็งได้อยู่ที่ระดับ 10 ของ Mohs' Scale ซึ่งเป็นมาตราวัดความแข็งของแร่ เพชรมักจะถูกนำมาใช้ทำเป็นเครื่องประดับ โดยเพชรนั้นมีการเจียระไนออกมาหลากหลายรูปทรงซึ่ง ทรงของเพชร นั้นก็จะมีส่วนในการประเมินราคาร่วมกับปัจจัยอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน   ทรงของเพชร : The Diamond Shapes 1. เพชรทรงกลม (Round) ทรงของเพชร ทรงแรก คือ Round เป็นเพชรทรงมาตรฐานที่เป็นที่นิยมมากที่สุดในบรรดารูปทรงเพชรทั้งหมด เพชรทรงกลมใช้เทคนิคการเจียระไนแบบเหลี่ยมเกสร (Brilliant Cut) ที่มีเหลี่ยมการเจียระไน 58 เหลี่ยมโดยมี 33 เหลี่ยมที่ด้านบน และ 25 เหลี่ยมที่ด้านล่างของเพชร คุณสมบัติที่โดดเด่นของเพชรทรงกลมนี้คือการสะท้อนแสงไฟได้อย่างยอดเยี่ยม รูปทรงดูสวยงามคลาสสิก ด้วยเหตุนี้เพชรทรงกลมจึงเป็นที่นิยมในการนำไปทำแหวนแต่งงาน และเครื่องประดับอื่น ๆ     2. เพชรทรงหยดน้ำ (Pear) เพชรรูปทรงหยดน้ำเป็นหนึ่งในเพชรแฟนซีที่หายาก เพราะต้องอาศัยการเจียระไนอย่างปราณีต ทรงหยดน้ำมีเหลี่ยมการเจียระไน 58 เหลี่ยม อัตราส่วนระหว่างความกว้างและความยาวของเพชรคือ 1.6 เท่า เพื่อเพิ่มการหักเหของแสงและความเงางามของเพชรให้ได้มากที่สุด รูปทรงของเพชรที่ชวนหลงใหลและเป็นเอกลักษณ์ ทำให้ถูกนำไปประดับอยู่บนตัวเรือนของเครื่องประดับไม่ว่าจะเป็นแหวน จี้ และต่างหู     3. เพชรทรงไข่ หรือวงรี (Oval) เพชรทรงไข่หรือวงรีถูกเจียระไนขึ้นโดย Lazare Kaplan บริษัทเพชรของอเมริกา เพชรทรงไข่นี้มีเหลี่ยมการเจียระไน 56 เหลี่ยม รูปทรงไข่เป็นส่วนผสมระหว่างเพชรทรงกลมและทรงมรกต เป็นการเอาจุดเด่นของเพชรทั้งสองรูปทรงมารวมเข้าไว้ด้วยกัน ทำให้การสะท้อนแสงไฟนั้น ให้ผลคล้าย...
Continue reading
9 May

Tiffany & Co. ราชาแห่งเพชรและเฉดสีที่เป็นเอกลักษณ์

tiffany
“เฉดสีแห่งเกียรติยศ” สีฟ้าอันเป็นเอกลักษณ์ (รหัสสีแพนโทน 1837) ของแบรนด์เครื่องประดับหรูหราที่เป็นไอเทมในฝันของหญิงสาวหลาย ๆ คน Tiffany & Co. ยังได้รับฉายาว่า 'King of Diamond' หรือ ราชาแห่งเพชร ด้วยสินค้าแต่ละชิ้นที่ทำขึ้นนั้นมีสไตล์อันคลาสสิก รวมถึงรูปแบบเฉพาะที่เป็นซิกเนเจอร์ นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ ทิฟฟานี่ แอนด์ โค. ครองใจเหล่าผู้คนทั่วโลกมานานกว่า 183 ปี ในบทความนี้จะพาคุณย้อนกลับไปในปี ค.ศ.1837 เพื่อรับรู้ถึงเรื่องราวและประวัติของ ทิฟฟานี่ แอนด์ โค. The History of Tiffany & Co. ชาร์ลส์ ลูอิส ทิฟฟานี่ (Charles Lewis Tiffany) เรื่องราวของแบรนด์ ทิฟฟานี่ แอนด์ โค. (Tiffany & Co.) นั้นเริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ. 1837 โดยความร่วมมือกันระหว่างช่างทำอัญมณี นามว่าชาร์ลส์ ลูอิส ทิฟฟานี่ (Charles Lewis Tiffany) และเพื่อนของเขา จอห์น บี ยัง (John B. Young) ในเริ่มแรกก่อตั้ง ใช้ชื่อว่า Tiffany & Young เป็นธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องเขียนและสินค้าแฟนซี พวกเขาประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว โดยในปี ค.ศ. 1841 พวกเขาได้มีหุ้นส่วนเพิ่มมาอีก 1...
Continue reading
22 Apr

ประวัติ Chopard แบรนด์นาฬิกาสวิสหรูหราระดับโลก

สวิสเซอร์แลนด์ ประเทศที่เป็นแหล่งผลิตนาฬิการะดับโลก แน่นอนว่า การที่หน้าปัดนาฬิกานั้น แสดงสัญลักษณ์ Swiss Made ถือได้ว่าเป็นการการันตีถึงคุณภาพที่เยี่ยมยอดของนาฬิกาเรือนนั้นเลยทีเดียว ในวันนี้เราจะพาคุณไปรู้จักกับเรื่องราวของ ประวัติ Chopard แบรนด์นาฬิกาสวิสหรูหรา ด้วยดีไซน์คลาสสิก และมีชื่อเสียงเกี่ยวกับนาฬิกาประดับอัญมณี ที่มีอายุยาวนานกว่า 160 ปี    ประวัติ Chopard : The History of Chopard  Chopard (โชพาร์ด) แบรนด์นาฬิกาสวิสหรูหราอันเก่าแก่ ถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1860 โดยผู้ก่อตั้ง หลุยส์ ยูลิส โชพาร์ด (Louis-Ulysse Chopard) มีอาชีพเป็นช่างทำนาฬิกาสวิส ซึ่งเติบโตมาจากครอบครัวชาวนาใน Sonvilier เขตหนึ่งของประเทศสวิสเซอร์แลนด์ เขาเริ่มก่อตั้งโรงงานการผลิตนาฬิกาเมื่ออายุ 24 ปี โดยในตอนนั้น หลุยส์ ยูลิส โชพาร์ด ได้สังเกตเห็นว่าการทำตลาดนาฬิกาสำเร็จรูปให้ผลกำไรมากกว่าการทำกลไกนาฬิกา  หลังจากการเสียชีวิตของผู้ก่อตั้งแบรนด์ หลุยส์ ยูลิส โชพาร์ด ในปี ค.ศ. 1915 ธุรกิจก็ถูกบริหารต่อโดยลูกชายของเขา นามว่า ปอล หลุยส์ โชพาร์ด (Paul-Louis Chopard) และหลานชาย ปอล อังเดร โชพาร์ด (Paul-André Chopard) ทั้งสองคนทำให้แบรนด์ Chopard ในขณะนั้นเป็นที่รู้จักในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ด้านการผลิตนาฬิกาพก และนาฬิกาข้อมือสำหรับสุภาพสตรี  ต่อมาในปี ค.ศ. 1921 ปอล หลุยส์ โชพาร์ด ได้ย้ายบริษัทไปยังเมืองที่ใหญ่กว่าเดิม คือ Chaux-de-Fonds ใน Canton of Neuchâtel ทางตอนใต้ของสวิสเซอร์แลนด์ และเมื่อ องค์กรมีขนาดใหญ่ขึ้น มีพนักงานกว่า 150 ชีวิต จึงทำให้บริษัทถูกย้ายไปที่เจนีวาในปี ค.ศ. 1937 ในตอนนี้เองที่ทำให้การผลิตกลไกนาฬิกาของแบรนด์ Chopard ได้รับการรับรองตราเจนีวา ซึ่งเป็นเครื่องหมายที่ถูกใช้สำหรับนาฬิกาที่ถูกทำขึ้นในเจนีวาโดยเฉพาะ  ปอล อังเดร โชพาร์ด (Paul-André Chopard) เข้ามาบริหารบริษัทอย่างเต็มตัวในปี ค.ศ. 1943 ในบรรดาลูก ๆ ของ ปอล อังเดร โชพาร์ด นั้นไม่มีใครที่จะสืบทอดธุรกิจของครอบครัวเลย ทำให้ในปี ค.ศ. 1963  ปอล อังเดร โชพาร์ด ทำการขายบริษัทให้กับ คาร์ล ชอยเฟเล (Karl Scheufele III) ช่างทองและช่างทำนาฬิกาชาวเยอรมันจาก Pforzheim เมืองทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศเยอรมัน ผู้ซึ่งกำลังมองหาผู้ผลิตนาฬิกาสำหรับธุรกิจของเขาโดยเฉพาะ  หลักจากนั้นบริษัท Chopard ได้เริ่มผลิตนาฬิกาที่มีเพชร free-floating diamond อันเป็นเอกลักษณ์ซึ่งอยู่ด้านหลังกระจกแซฟไฟร์ ต่อมาในช่วงทศวรรษที่ 1980 บริษัทได้ขยายไลน์ไปสู่การผลิตนาฬิกาสปอร์ตสำหรับผู้ชาย และเครื่องประดับเพชรสำหรับผู้หญิง ในปี ค.ศ. 1996 บริษัทได้ก่อตั้งโรงงานผลิตกลไกนาฬิกาของตนเอง ซึ่งก่อนหน้านั้นกลไกนาฬิกาทั้งหมดของง Chopard เป็นของผู้ผลิตเจ้าอื่น และกลไกนาฬิกาที่ Chopard ได้ทำการคิดค้นขึ้นเองนั้น มีไว้สำหรับนาฬิการะดับไฮเอนด์ของแบรนด์เท่านั้น  Chopard เป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องการผลิตนาฬิกาและเครื่องเพชรพลอยคุณภาพสูงของสวิส โดยลูกค้าส่วนใหญ่ของแบรนด์เป็นกลุ่มคนชั้นสูง รวมไปถึงพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 แห่งรัสเซีย ก็เป็นหนึ่งในลูกค้ากิตติมศักดิ์ของ Chopard เช่นเดียวกัน เรื่องราวของแบรนด์นั้นเริ่มต้นจากธุรกิจครอบครัว ด้วยฝีมือการทำนาฬิกาที่ยอดเยี่ยมและความมุ่งมั่น ทำให้ธุรกิจมีชื่อเสียงไปต่างประเทศ จนสามารถเจาะตลาดต่างประเทศได้  ในปี ค.ศ. 2010 บริษัทได้ฉลองครบรอบ 150 ปีซึ่งในช่วง Chopard มียอดขายรวมของบริษัทอยู่ที่ประมาณ 550 ล้านยูโร (ราว ๆ 2 หมื่นล้านบาท) ซึ่งยอดขาย 250 ล้านยูโรมาจากการขายนาฬิกา (ราว ๆ 9 พันล้านบาท) ซึ่งในขณะนั้นแบรนด์มีร้านค้าประมาณ 100 แห่งทั่วโลก และในปี ค.ศ. 2014 Chopard มียอดขายมากกว่า 750 ล้านยูโร (ราว ๆ 27,300 ล้านบาท) และมีพนักงานประมาณ 2,000 คนทั่วโลก ทั้งหมดนี้คือ ประวัติ Chopard 160 ปีของความงามแห่งสุดยอดนาฬิกาจากสวิส รัก xoxo ...
Continue reading
14 Sep

เปิดประวัติ Mikimoto จุดกำเนิดราชินีแห่งอัญมณี

เปิดประวัติ Mikimoto จุดกำเนิดราชินีแห่งอัญมณี - หากพูดถึงอัญมณีอันล้ำค่าที่เป็นสัญลักษณ์ของ "ความงามแห่งท้องทะเล" อยู่เคียงคู่กับผู้หญิงมาอย่างยาวนานหลายร้อยปี คงหนีไม่พ้นอัญมณีที่มีชื่อว่า "ไข่มุก" และไข่มุกยังได้ฉายาราชินีแห่งอัญมณีอีกด้วย เพราะในสมัยโบราณนั้นไข่มุกเป็นสิ่งที่มีความสวยงามเฉพาะตัวและค่อนข้างหาได้ยาก ซึ่งส่วนใหญ่มักจะพบจากหอยนางรมตามธรรมชาติ ที่มีสิ่งแปลกปลอมหลุดเข้าไปอยู่ในตัวหอย ทำให้ตัวหอยระคายเคืองแล้วปล่อยสารออกมาเคลือบ จนกลายเป็นไข่มุกธรรมชาติ มีลักษณะเงางามเหมือนเปลือกหอยชนิดนั้น ๆ เชื่อว่าหลายต่อหลายคนต้องรู้จักเครื่องประดับที่มีความสวยงามชนิดนี้อย่างแน่นอน ด้วยมูลค่าของไข่มุกไม่ต่างการเพชรมากเท่าไหร่นัก จึงทำให้เป็นที่นิยมไม่แพ้กัน และในปัจจุบันนี้ เราสามารถเลี้ยงมุกให้มีคุณภาพได้ และยังความสวยงามเช่นเดียวกับมุกธรรมชาติ การผลิตไข่มุกจึงได้กลายมาเป็นอุตสาหกรรมที่มีมูลค่า และได้เข้ามาเปลี่ยนวิถีชีวิตให้กับชาวประมงทั่วโลก ตั้งแต่ที่ประเทศญี่ปุ่นจรดหมู่เกาะทะเลใต้ รวมถึงในประเทศไทย ในวันนี้ เราจะมาพูดถึงตำนาน "ราชินีแห่งอัญมณี" ที่มีมายาวนานมากกว่า 122 ปี ของแบรนด์ดังอย่าง "MIKIMOTO"  โดยบรนด์ได้นำมาขยายการเพาะเลี้ยงหอยมุกในหลายจังหวัด ที่ประเทศญี่ปุ่น   Founder (ผู้ก่อตั้ง)   โคคิจิ มิกิโมโตะ (御木本 幸吉) ในปลายศตวรรษที่ 19 บุคคลที่มีนามว่า โคคิจิ มิกิโมโตะ (Kokichi Mikimoto) เกิดเมื่อวันที่ 25 มกราคม ค.ศ. 1858 ได้เติบโตขึ้นในตระกูลพ่อค้าขายอุด้งของเมืองโทบะ แคว้นทสึ (ในปัจจุบัน คือ เมืองโทบะ จังหวัดมิเอะ ประเทศญี่ปุ่น)​ โดยในวัยเด็กโคคิจิได้ใช้ชีวิตในชุมชนชาวประมง จึงทำให้เขาเห็นวิถีชีวิตของอามะซัง (ในที่นี้ คือ สาวดำน้ำงมหอย)​ ซึ่งบุคคลเหล่านี้มักจะพบไข่มุกธรรมชาติแล้วนำไปขาย และโคคิจิก็ได้หลงใหลในไข่มุกตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แต่ไข่มุกธรรมชาติมักมีรูปร่างค่อนข้างบิดเบี้ยว มีขนาดเล็ก และผุกร่อนไม่สวยงามสมบูรณ์แบบเท่าไหร่นัก เมื่อโคคิจิอายุได้ 13 ปี เขาได้เริ่มออกทำการค้าเพื่อช่วยเหลือครอบครัวไปพร้อม ๆ กับการสะสมและค้าขายไข่มุก และเมื่อโคคิจิอายุ 20 ปี...
Continue reading