Chanel Signature – ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า แบรนด์ที่ติดอันดับแบรนด์แฟชั่นเฮ้าส์ อันมีประวัติโดดเด่น ที่คงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของความเรียบง่ายแต่หรูหรา จะเป็นแบรนด์ใดไปไม่ได้นอกจาก Chanel แบรนด์สัญชาติฝรั่งเศส ซึ่งก่อตั้งมานานกว่า 100 ปี ชาแนลได้ลุกขึ้นมาปฏิวัติการแต่งกายของสตรี สะบัดคราบเครื่องแต่งกายอันรุ่มร่ามและมีน้ำหนักมาก สู่ความนำสมัยที่คงอยู่ท้าแฟชั่นมาทุกยุคทุกสมัย
นอกจากเอกลักษณ์ที่ยังคงกรุ่นกลิ่นไอและเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบในปัจจุบันแล้ว สิ่งที่โคโค่ ชาแนลได้ทิ้งเอาไว้คือ เอกลักษณ์ภาพจำ ที่ผ่านการใช้สัญลักษณ์ผ่านผลิตภัณฑ์ไอคอนิกสร้างชื่อต่าง ๆ อันโดดเด่น นอกจากความสวยงามอันเป็นอมตะแล้ว ยังแฝงไว้ด้วยปูมหลังชีวิตของเธอ สัญลักษณ์ดังกล่าวจะมีอะไรบ้างนั้น ติดตามไปพร้อมกัน
1. CAMELLIA FLOWER
ดอกคามีเลีย (Camellia) หรือที่รู้จักกันในแถบเอเชียในชื่อ “กุหลาบญี่ปุ่น” ซึ่งมีมากกว่า 120 สายพันธุ์ ตามบันทึกที่ปรากฏ ดอกคามีเลียถูกนำเข้ามาในประเทศแถวยุโรป ในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 โดย พระเจ้าหลุย ฟิลิป แห่งฝรั่งเศส (Louis–Philippe) และ ซาร์ แห่งรัสเซีย (Tsarist Russia)
คามีเลีย ถือได้ว่าเป็นดอกไม้ อันเป็นสัญลักษณ์แห่งความยั่วยวนและสง่างามของผู้หญิง ความขาวบริสุทธิ์ กลีบของดอกไม้ที่เรียงทับซ้อนกันอย่างสวยงามลงตัว ด้วยเหตุนี้ คามีเลีย จึงมักถูกเลือกใช้และจัดสรรให้เป็นดอกไม้สำหรับสตรีชนชั้นสูงในสมัยนั้น ถูกนำมาใช้อย่างจริงจังในแวดวงแฟชั่นสุภาพบุรุษ เมื่อช่วงปีคริสต์ศตวรรษที่ 20 ไม่ว่าเด็กหนุ่มหรือสุภาพบุรุษชั้นสูง ต่างนิยมชมชอบ นำดอกคามีเลียมาตกแต่งบนเสื้อสูทและเสื้อแจ็คเก็ต
โคโค่ ชาแนล เป็นหนึ่งในผู้หลงไหลในดอกคามีเลียด้วยเช่นกัน ได้นำดอกไม้ยอดนิยมนี้ มาปรับเปลี่ยนแนวคิดสู่แฟชั่นสุภาพสตรี เธอได้เริ่มนำดอกคามิเลียมาประดับตกแต่งบนเครื่องผ้าส่วนตัว โดยเฉพาะชุดเดรสสีดำ ซึ่งเปรียบเสมือนเอกลักษณ์ของเธอ ด้วยความขาวบริสุทธิ์ มันจึงโดดเด่นอย่างมากบนเครื่องแต่งกายสีดำสนิท นับแต่นั้นเป็นต้นมา ดอกคามีเลียก็ปรากฏบนเครื่องแต่งกายทุกชุดของชาแนล จนกลายมาเป็นไอคอนิกของแบรนด์มาจนถึงทุกวันนี้
นอกจากนี้ อีกเหตุผลที่ชาแนลชื่นชอบดอกคามีเลียเป็นพิเศษ เป็นเพราะว่าเป็นดอกไม้ที่ Boy Capel มอบให้เธอเสมอ อีกทั้งดอกคามีเลียเป็นดอกไม้ที่ไม่มีกลิ่น มันจึงไม่กลบกลิ่นของน้ำหอม ซึ่งถือว่าเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของดอกไม้ชนิดนี้เลยทีเดียว ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1927 เป็นต้นมา ได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบการตัด และผ้าที่นำมาทำดอกคามิเลียโดยการตัดจากผ้าปีเก้ (Pique) สีขาว ชึ่งตัดกับชุดโค้ทสีเทา เป็นอีกนึงภาพที่ทำให้คนจดจำดอกคามิเลียจากรูปแบบเดิม และปรากฏอยู่กล่อง , ถุงกระดาษ กลายมาเป็น Trademark ของแบรนด์
2. CC LOGO
โลโก้ประจำแฟชั่นเฮ้าส์ สัญลักษณ์ CC ไขว้ที่เหล่าบรรดาหญิงสาวทั่วโลกปรารถนามากที่สุด โคโค่ ชาแนล หญิงผู้ทรงอิทธิพลทางด้านแฟชั่น ได้นำเอาตัวอักษร C ที่มีลักษณะเชื่อมต่อกัน มาใช้เป็นโลโก้อันโดดเด่นของแบรนด์ เพียงแค่มองเห็นจากที่ไกล ๆ ก็สามารถบอกได้ว่านี่คือสัญลักษณ์ของ Chanel ซึ่งอัดแน่นไปด้วยเรื่องราวต่าง ๆ มากมาย เกี่ยวกับที่มาของสัญลักษณ์ที่ทำให้มันโด่งดังไปตลอดกาล ได้รับการออกแบบโดยตัวโคโค่ ชาแนลเอง จากแรงบันดาลใจจากลวดลายหน้าต่าง ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า Aubazine ที่เธอเติบโตมา
นอกจากนี้ เรื่องราวที่มาของสัญลักษณ์ CC มีหลายทฤษฎี บางสื่อก็ว่าได้รับแรงบันดาลใจการออกแบบมาจากกระจกสีของ Château Crémat (ชาตู เครมาต์) ปราสาทที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1906 ซึ่งเป็นแหล่งผลิตไวน์ที่มีไร่องุ่นในเมืองนีซ ประเทศฝรั่งเศส
อีกทฤษฎีหนึ่งกล่าวไว้ว่าเป็นสัญลักษณ์ตัวแทนเรื่องราวความรักระหว่าง โคโค่ ชาแนล และ บอย คาเปล (Chanel and Capel) ชายผู้ซึ่งเป็นทั้งคนรัก หุ้นส่วนทางธุรกิจ และผู้ร่วมสนับสนุนร้านบูติกของแบรนด์ Chanel สัญลักษณ์ CC ที่มีดีไซน์ที่เรียบง่ายถูกใช้มาจนกระทั่งปัจจุบันนั้นสื่อถึงความร่ำรวย มั่งคั่ง ศักดิ์ศรีและชนชั้น เน้นการเข้าถึงง่าย สามารถใช้ได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย
3. LITTLE BLACK DRESS
ในสมัยก่อน แฟชั่นสตรีที่ได้รับความนิยมอย่างสูง คงไม่พ้นชุดคลอเซ็ทและกระโปรงบานสุ่ม ซึ่งมาพร้อมกับความเชื่อที่ว่า การแต่งกายเหล่านี้เป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงความเป็นผู้หญิง กับรูปร่างเล็กและเอวคอดหลังจากสวมใส่ ด้วยความแตกต่างของสรีระผู้หญิงแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน ทำให้ผู้หญิงบางคนได้รับความทรมานไม่น้อย เมื่อต้องสวมใส่เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายที่รุ่มร่าม และมีน้ำหนักมากเหล่านั้น
เนื่องด้วยชาแนลเป็นผู้หญิงที่มีรูปร่างผอมบาง ไม่มีส่วนโค้งเว้ามากนัก ทำให้เธอเกิดความต้องการที่อยากปลดเปลื้องผู้หญิงออกจากพันธนาการแห่งเสื้อผ้าที่โอบรัดผู้หญิงไว้ในคลอเซ็ทที่รัดรึง และกระโปรงสุ่มที่ไม่สะดวกต่อการเดิน ไปสู่การปฏิวัติการแต่งกาย ชาแนลเริ่มตัดผมของเธอที่ทั้งยาวและหนาให้สั้นลง สวมใส่อาภรณ์เยี่ยงบุรษ ที่สำคัญเธอยังเป็นบุคคลแรก ๆ ที่ผลักดันให้ผู้หญิงมาใส่กางเกงอีกด้วย
ในวันที่ 1 ตุลาคม ปี ค.ศ. 1926 ชาแนลได้ทำการร่างแบบชุดกระโปรงสั้นสีดำ “Model 817” อันเรียบง่าย ลงในนิตยสาร Vogue ของอเมริกา โดยใช้เวลาคิดและออกแบบชุดนี้ทั้งหมด 1 ชั่วโมงครึ่งด้วยกัน ความยาวของชุดอยู่ที่ประมาณครึ่งน่อง แขนยาว การเดินเส้นเรียบ ๆ และเน้นโทนสีสว่าง ซึ่งทาง Vogue ให้สมญานามชุดนี้ว่า “Chanel’s Ford” ซึ่งไม่เพียงแต่จะเป็นชุดเดรสสีดำ LBD ชุดแรกเท่านั้น แต่ยังเป็นชุดเรียบง่ายที่สุภาพสตรีจากทุกชนชั้นในสังคม เข้าถึงชุดดังกล่าวได้ง่ายอีกด้วย
LBD หรือ Little Black Dress ถือได้ว่าเป็นอีกก้าวของความสำเร็จของชาแนล ที่สะบัดคราบ ฉีกความหมายของคำว่า “สีดำ” ที่เคยเป็นตัวแทนของความโศกเศร้า มาสู่โลกของแฟชั่นชั้นสูงที่เรียบง่าย เก๋ไก๋ ทันสมัย และหรูหรา ซึ่งแรงบันดาลใจเบื้องหลังของชุดสีดำแสนเรียบง่ายนี้มาจากการแต่งกายของแม่ชีในสถานรับเลี้ยงเด็กที่เธอเติบโตขึ้นมาในวัยเด็กนั่นเอง
ดังคำกล่าวของชาแนลที่ว่า “I imposed black; it’s still going strong today, for black wipes out everything else around.” นิตยสารชื่อดังของอเมริกาในยุคนั้น ได้กล่าวชื่นชม LBD ว่าเป็นตัวแทนของความลักชัวรี่ ที่ไม่ว่าจะหยิบมาสวมใส่เมื่อไหร่ ก็ดูสง่างามคลาสสิกอยู่เสมอ
4. TWEED SUIT
Tweed Suit หรือสูทแจ็กเก็ตผ้าทวีตนี้ เป็นหนึ่งในภาพจำที่ทำให้ผู้คนนึกถึงชาแนลได้มากที่สุด ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงสัญลักษณ์ของแฟชั่นทุกยุคทุกสมัยเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวแทนความอิสระของผู้หญิงทั่วโลก จุดเริ่มต้นมาจากความชื่นชอบผ้าทวีต ได้รับแรงบันดาลใจจากชุดกีฬาและเสื้อผ้าบุรุษที่ดยุคแห่งเวสต์มินสเตอร์ (Duke of Westminster) ซึ่งเป็นแฟนหนุ่มของเธอสวมใส่
ชาแนลมักหยิบยืมเสื้อผ้าของ Duke of Westminster มาสวมใส่ เพราะชอบในลักษณะเนื้อผ้าที่สวมใส่สบาย เธอริเริ่มความคิดสุดบรรเจิด นำผ้าทวีตมาใช้ในการตัดเย็บ แปลงโฉมเสื้อผ้า Menswear ให้กลายเป็นเสื้อผ้าดีไซน์โดดเด่นตามแบบฉบับของเธอ จากการผสมผสานความคิดแบบดั้งเดิมของความเป็นชายและหญิง ปรับประยุกต์โครงชุดสูทแบบผู้ชายให้กลายเป็นชุดสูทกระโปรงแบบผู้หญิง
จากความหลงไหลในผ้าทวีตของเธอ ซึ่งเป็นตัวแทนของความอ่อนหวาน เปี่ยมเสน่ห์ในแบบเฟมินีน จึงเป็นการพัฒนาต่อยอดในการใช้ผ้าทวีตในการตัดเย็บบวกกับการใส่แพทเทิร์นแบบแมน ๆ เข้าไป พัฒนาส่วนผสมของทวีตกับไหมและขนสัตว์ เพื่อสร้างผ้าที่มีน้ำหนักเบาและขัดเงามากขึ้น ผลลัพท์ที่ได้คือ งานนวัตกรรมชั้นเยี่ยมที่เปิดหน้าประวัติศาสตร์การแต่งกายให้กับผู้หญิงในยุคนั้น
ปัจจุบัน แจ็กเก็ตผ้าทวีต ยังคงเป็น Chanel Signature ที่สำคัญของแฟชั่นเฮ้าส์ และยังถูกนำเสนอแบบสดใหม่ให้เข้ากับสมัยนิยมและฤดูกาล ไม่ว่าจะเป็นด้านรูปทรง ความสั้น , ยาว , วอลลุ่ม , และช่วงไหล่ สร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ มีการปรับเปลี่ยนคัตติ้งและดีเทลต่าง ๆ แต่ไม่ทิ้งความคลาสสิกดั้งเดิมอันเป็นสเน่ห์ของแจ็กเก็ตทวีตนี้ ความคลาสสิกที่ได้รับการจดจำในฐานะแฟชั่น ที่ผสมผสานระหว่างความสะดวกสบาย ความหรูหราและความสง่างาม
5. CHANEL 2.55
กระเป๋าที่ได้รับการออกแบบในปี ค.ศ. 1929 โดย โคโค่ ชาแนล จากพฤติกรรมของเธอ ที่เป็นคนชอบสูบบุหรี่ จึงพบว่าการที่มือข้างหนึ่งต้องคอยถือกระเป๋ามันช่างยุ่งยากและไม่สะดวก ทำให้เธอตัดสินใจออกแบบเพิ่มสายสะพายเข้าไปเพื่อใช้คล้องไหล่ได้ เป็นการนำเสนอกระเป๋ารูปแบบใหม่ที่มีทั้งความสวยงามและประโยชน์ใช้สอย
กระเป๋ารุ่นนี้ ถูกออกจำหน่ายครั้งแรก เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 1955 โดยชื่อรุ่น 2.55 นั้น มาจากเดือน 2 ซึ่งหมายถึงเดือนกุมภาพันธ์ ปี 55 คือปี ค.ศ. 1955 มีลักษณะเป็นกระเป๋าถือที่ตัดเย็บขึ้นจากหนัง มีลายข้าวหลามตัดซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากชุดคลุมของจ๊อกกี้กีฬาขี่ม้า พร้อมสายโซ่สะพายยาว ผลที่ได้คือกระเป๋าได้รับความนิยมอย่างสูงทันทีนับตั้งแต่เปิดตัว กลายเป็นซิกเนเจอร์อีกชิ้นหนึ่ง ที่เหล่าบรรดาหญิงสาวทั่วโลกต่างก็อยากมีไว้กันในครอบครองแทบทั้งสิ้น
ในปี ค.ศ. 2005 Karl Lagerfeld ได้ทำการออกแบบกระเป๋ารุ่น “Chanel 2.55 Reissue” เพื่อเป็นการเฉลิมฉลอง ในโอกาสที่กระเป๋ารุ่นประวัติศาสตร์นี้ มีอายุครบ 50 ปี โดยมีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดเล็กน้อยจากกระเป๋ารุ่นดั้งเดิม เพื่อให้มีความทันสมัยมากยิ่งขึ้น รวมทั้งมีการนำหนังแบบใหม่ “Aged Calfskin” เพื่อให้ผิวสัมผัสมีความยับย่น อ่อนนิ่มเป็นเอกลักษณ์ คงความคลาสสิคของกระเป๋ารุ่นนี้ไว้อย่างเต็มเปี่ยม มีการเปลี่ยนขนาดในบาง Size รวมทั้งมีการเปลี่ยนชื่อเรียกแต่ละขนาดเป็นตัวเลขอีกด้วย
6. CHANEL TWO-TONE SHOES
ย้อนกลับไปเมื่อปี ค.ศ. 1957 ชาแนลได้พลิกโฉมวงการแฟชั่นอีกครั้ง หลังจากสูทผ้าทวีตและ Little Black Dress ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง ด้วยการออกแบบรองเท้าสองสี ที่มีสายรัดด้านหลัง หรือที่เรียกว่า “slingbacks” โดยตัวรองเท้ามีการสลับสีกัน ระหว่างตัวรองเท้าที่เป็นสีเบจ และหัวรองเท้าที่เป็นสีดำ เพื่อส่งเสริมให้เรียวขาและเท้าของรูปหญิงสาวออกมาสวยงามที่สุด มาพร้อมกับความสูงของรองเท้าที่ 5 เซนติเมตร ซึ่งชาแนลถือว่าเป็นความสูงที่กำลังสวมใส่สบายและสวยที่สุด
นับว่าเป็นการนำเสนอสไตล์แฟชั่นที่แตกต่างอย่างแท้จริง เนื่องจากในยุคสมัยนั้น รองเท้าสตรีมีเพียงสีเดียว ซึ่งเป็นการยากให้การนำมาสวมใส่กับเสื้อผ้าต่างโอกาส ต่างวาระ โดยสื่อมวลชนในสมัยนั้น ได้ขนานนามว่า “รองเท้าซินเดอเรลล่าคู่ใหม่” เป็นการปลดปล่อยผู้หญิงให้เป็นอิสระ จากกรอบการแต่งตัวแบบเดิม ๆ และแน่นอนว่า ผลตอบรับคือความสำเร็จอย่างงดงาม ซึ่งยังคงได้รับความนิยม และครองใจผู้หญิงมาได้จนปัจจุบัน
ในปี ค.ศ. 2015 Karl Lagerfeld ได้นำรองเท้าทูโทนนี้ มาปัดฝุ่นใหม่อีกครั้ง บนรันเวย์ Fall/Winter 2015 ในรูปแบบของรองเท้
7. CHANEL NO.5 PERFUME
น้ำหอมหมายเลข 5 หรือ Chanel No. 5 ไอเท่มน้ำหอมอมตะ ซึ่งอยู่คู่โลกแห่งเครื่องหอมมานานนับศตวรรษ ความหอมที่ถูกออกแบบมาเพื่อสะท้อนกลิ่นอายและเสน่ห์ของความเป็นผู้หญิงอย่างเต็มเปี่ยม ด้วยความต้องการของชาแนล ที่ต้องการน้ำหอมของผู้หญิง ที่ให้กลิ่นเหมือนผู้หญิง และให้ความรู้สึกสะอาดสดชื่น ประหนึ่งเพิ่งอาบน้ำ ผ่านการสร้างสรรค์ร่วมกันกับนักปรุงน้ำหอมชื่อดังนามว่า Ernest Beaux (เออร์เนสต์ โบซ์)
เออร์เนสต์ทำการบ้านอย่างหนัก โดยใช้เวลาคิดค้นส่วนผสมนานอยู่หลายเดือน จนได้ตัวอย่างออกมาให้ชาแนลได้ทดลองเป็นจำนวนทั้งหมด 10 สูตร จากจำนวนทั้งหมด 80 สูตรที่ทำการปรุงขึ้นมา โดยใช้ชื่อเรียกเป็นรหัสตัวเลข คือ 1-5 และ 20-24 จากตัวอย่างน้ำหอมทั้งหมด ชาแนลเลือกตัวอย่างหมายเลข 5 ซึ่งมีกลิ่นมะลิจากแคว้น Grasse (กราสส์) ที่จะให้ดอกเพียง 3 สัปดาห์ต่อปีเท่านั้น รวมถึงหญ้าแฝกเฮติไม้จันทน์ดอกส้มและถั่วทงกาของบราซิล สอดผสานกับกระดังงาจากหมู่เกาะคอโมโรส ไม้จันทร์จากไมซอร และบูรบองเวติแวร
สิ่งที่ทำให้กลิ่นหมายเลข 5 แตะจมูกชาแนลคือการใช้แอลดีไฮด์ (Aldehyde) เป็นสารเคมีสังเคราะห์ที่ช่วยเพิ่มความซับซ้อนของกลิ่น ซึ่งให้กลิ่นซิตรัสผสมกลิ่นดอกไม้ (คล้ายกลิ่นสบู่) เพื่อดึงคุณสมบัติอันเย้ายวนออกมา ซึ่งกว่าจะได้ Chanel N°5. ขนาด 1.5 กิโลกรัม ต้องใช้ดอกไม้สดน้ำหนักถึง 1000 กิโลกรัมเลยทีเดียว และแล้วในปีเดียวกัน น้ำหอมหมายเลข 5 จึงเริ่มการผลิตและกลายเป็นตำนานจนถึงทุกวันนี้
xoxo