6 Top Luxury Brand Logos – เครื่องหมายการค้าหรือตราสัญลักษณ์ นับว่าเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก เปรียบเสมือนหน้าตาของแบรนด์ ที่ทำให้ผู้บริโภคจดจำและช่วยเพิ่มมูลค่ารวมถึงยอดขายให้กับแบรนด์ สัญลักษณ์ของแบรนด์หรูชั้นนำระดับโลก ล้วนแล้วแต่แฝงไว้ด้วยความหมายที่สื่อถึงความยิ่งใหญ่และความมั่งคั่ง ในบทความนี้ เราจะพาทุกท่านไปเจาะลึกความหมายของ 6 แบรนด์หรูระดับโลก ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร และอะไรที่อยู่เบื้องหลังสัญลักษณ์แห่งความสำเร็จเหล่านั้น
Louis Vuitton
Louis Vuitton (หลุยส์ วิตตอง) แบรนด์สุดหรูสัญชาติฝรั่งเศส ก่อตั้งขึ้น เมื่อปี ค.ศ. 1854 โดย มองซิเออร์ หลุยส์ วิตตอง (Monsieur Louis Vuitton) ซึ่งสร้างชื่อเสียงมาจากการเป็นผู้ผลิตหีบเดินทาง ให้กับราชินี ยูจีเนียร์ เดอ มอนติโจ ชายาในกษัตริย์นโปเลียนที่ 3 ปัจจุบัน แบรนด์มีมูลค่า 33.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อยู่ในอันดับที่ 15 ของโลกในการจัดอันดับแบรนด์ที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก จัดอันดับโดยนิตยสาร Forbes และดำเนินธุรกิจใน 50 ประเทศ โดยมีร้านบูทีคจำหน่ายสินค้ากว่า 460 แห่ง
กล่าวได้ว่า สินค้าจากแบรนด์ Louis Vuitton เป็นสินค้าที่ถูกลอกเลียนแบบมากที่สุดแบรนด์หนึ่งของโลกเลยก็ว่าได้ แม้ว่าทางบริษัท จะมีมาตรการควบคุมในของการจดทะเบียนการค้า และการคุ้มครองลิขสิทธิ์สำหรับโลโก้ รวมถึงทุกงานการออกแบบของพวกเขาแล้วก็ตาม
ก่อนที่จะมีการประดิษฐ์ลาย Monogram LV อันเป็นเอกลักษณ์และเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายนั้น ทางแบรนด์ได้สร้างชื่อเสียงมาจากการเป็นผู้ผลิตหีบ ที่สามารถวางซ้อนกันได้ ซึ่งอำนวยความสะดวกอย่างมากในการเดินทาง ด้วยว่าหีบส่วนใหญ่ที่ผลิตในสมัยนั้น มีลักษณะโค้งมน ทำให้ไม่สามารถวางทับซ้อนกันได้ ทำให้เปลืองพื้นที่ในการจัดเก็บอย่างมาก อีกทั้งไม่มีลวดลายใด ๆ ทำให้ง่ายต่อการเลียนแบบ
หลังการเสียชีวิตของหลุยส์ ลูกชายของเขา จอร์จ วิตตอง (Georges Vuitton) ก็รับช่วงบริหารงานต่อ โดยเขาเป็นผู้คิดค้นลายโมโนแกรมขึ้นมา เพื่อป้องกันปัญหาการปลอมแปลงที่กำลังระบาดอย่างหนักในขณะนั้น ด้วยการสร้างสรรค์ลายที่เป็นเอกลักษณ์ ที่มีความละเอียดมากยิ่งขึ้น โดยมีการจดทะเบียนการค้าเกี่ยวกับลวดลายเป็นลายลักษณ์อักษรอีกด้วย
The Meaning Behind the Louis Vuitton Logo
โลโก้ของ Louis Vuitton ถูกออกแบบครั้งแรก ในปี ค.ศ. 1896 โดยอ้างอิงจากศิลปะยุควิกตอเรีย ที่มีชื่อเรียกว่า “Mon” อันมีต้นกำเนิดมาจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งสไตล์การออกแบบมักจะเกี่ยวข้องกับการเป็นตัวแทนของครอบครัว หรือองค์กรระดับสูง เช่นเดียวกับที่ชาวตะวันตกมองว่า ครอบครัวเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
ในช่วงวิกตอเรียนั้น ประเทศญี่ปุ่นถูกมองว่าเป็นดินแดนที่แปลกใหม่และเต็มไปด้วยความลึกลับ การออกแบบลวดลายโดยอิงศิลปะ จึงทำให้รูปลักษณ์ของโลโก้มีความหรูหรา ดูลึกลับและมีระดับ ลายโมโนแกรมนั้น ประกอบด้วยสัญลักษณ์ 4 อย่างคือ ตัวอักษร LV ที่เป็นตัวย่อของแบรนด์, รูปดอกไม้ 4 กลีบแบบทึบ, รูปดอกไม้ 4 กลีบแบบโปร่ง และสัญลักษณ์คล้ายมงกุฏ อันเป็นตัวแทนที่สะท้อนถึงความคลาสสิคและความหรูหราของแบรนด์ ได้เป็นอย่างดี
Hermès
Hermès (แอร์เมส) ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1837 โดย เทียร์รี่ แอร์เมส (Thierry Hermès) เป็นที่รู้จักในฐานะผู้ผลิตสินค้าหรูหราสัญชาติฝรั่งเศส แต่เดิมเน้นการผลิตเทียมม้าและบังเหียนสำหรับรถม้าของชนชั้นสูง ตลอดระยะเวลาการดำรงอยู่ของ บริษัท มีการเปลี่ยนแปลงขึ้น ๆ ลง ๆ ตามความต้องการของตลาดและรสนิยมของผู้บริโภคเปลี่ยนไป ปัจจุบัน Hermès เป็นแบรนด์ที่มีมูลค่ามากที่สุดอันดับที่ 35 ของนิตยสาร Forbes ด้วยมูลค่า 15.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โลโก้ของแบรนด์ถูกออกแบบขึ้น หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในช่วงปี 1950s
The Meaning Behind the Hermès Logo
ในปี ค.ศ. 1945 ตราโลโก้ของ Hermès ถือกำเนิดขึ้น สัญลักษณ์ประกอบด้วย รถม้า 4 ล้อกับผู้ติดตาม ออกแบบโดย Alfred de Dreux โดยเป็นการสื่อว่า แม้ปัจจุบันนี้ Hermès จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในเรื่อง เครื่องหนัง แฟชั่น เสื้อผ้า แต่จุดเริ่มต้นที่สร้างชื่อเสียงให้กับ Hermès คือ “การผลิตอานม้า” เนื่องจากแบรนด์มีความต้องการที่จะบอกเล่าเรื่องราวมของตนเอง ภายใต้การออกแบบเครื่องหมายการค้านั้น จึงมักจะเห็นม้าเป็นส่วนสำคัญอยู่เสมอ เพราะแบรนด์ยังคงตระหนักเสมอว่า ม้าคือลูกค้าคนแรกของเขา
Gucci
Gucci (กุชชี่) แบรนด์สัญชาติอิตาลี ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1921 โดย กุชชิโอ กุชชี่ (Guccio Gucci) ในช่วงอายุประมาณ 40 ปลาย ๆ พ่อของเขาเป็นคนงานทำเครื่องหนังชาวอิตาลี แต่เดิม เขาไม่เคยสนใจที่จะทำธุรกิจของครอบครัวเท่าใดนัก ในช่วงชีวิตวัยเด็ก กุชชี่ จึงออกจากอิตาลี เดินทางไปลอนดอนและปารีส โดยทำงานรับจ้างทั่วไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ จนกระทั่งมาลงเอย ในตำแหน่งพนักงานยกกระเป๋า ที่โรงแรมซา-วอย (Savoy)
ณ ที่แห่งนั้น เขาได้มีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลที่ร่ำรวยและมีชื่อเสียงนับไม่ถ้วน ทำให้กุชชี่ได้เรียนรู้วิถีสไตล์การแต่งตัวและเครื่องประดับของบุคคลชั้นสูงเหล่านั้น เป็นอย่างดี อีกทั้งยังสังเกตเป็นพิเศษว่าบุคคลเหล่านี้ เป็นเจ้าของกระเป๋าเดินทาง ที่มีการออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์แตกต่างกันออกไป และน่าสนใจที่สุด
นั่นเป็นแรงบันดาลใจให้กุชชี่กลับสู่ถิ่นฐานบ้านเกิด ก่อกำเนิดแบรนด์ของเขาเอง กุชชี่ได้ทำการออกแบบชิ้นส่วนกระเป๋าเดินทาง, กระเป๋าถือ, รองเท้าและเครื่องประดับแฟชั่นอื่น ๆ อีกมากมาย เขากลายเป็นที่รู้จักในระดับคุณภาพและงานฝีมือที่น่าทึ่ง ผลงานของกุชชี่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากบุคคลผู้มีชื่อเสียงหลากหลายวงการ สิ่งเหล่านี้เองที่ช่วยส่งเสริมชื่อเสียง รวมทั้งภาพลักษณ์อันหรูหราของแบรนด์ นอกจากนี้ Gucci ยังได้รับการจัดอันดับให้เป็นแบรนด์แฟชั่นที่มียอดขายสูงสุดของอิตาลีและมีมูลค่าอยู่ที่ 14.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
The Meaning Behind the Gucci Logo
แม้ว่า Gucci จะทำการก่อตั้งแบรนด์เมื่อปี ค.ศ. 1921 แต่ยังไม่ปรากฏตราสัญลักษณ์หรือโลโก้เครื่องหมายการค้าใด ๆ จนกระทั่งเมื่อปี ค.ศ. 1933 ด้วยความช่วยเหลือจากลูกชายของเขา Aldo Gucci (อัลโด กุชชี่) ตราสัญลักษณ์ G คู่จึงถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์แทนชื่อของ Guccio Gucci เพียงเท่านั้น ไม่ได้มีความหมายเป็นอย่างอื่นโดยเฉพาะ อย่างไรก็ตามเมื่อเวลาผ่านไปเนื่องจากผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ถูกใช้โดยคนดังนับไม่ถ้วน รวมทั้งพบเห็นได้ทั่วไปในสื่อสมัยใหม่ ปัจจุบันโลโก้ GG จึงเปรียบเสมือนเป็นตัวแทนของความมั่งคั่ง ความมีระดับ และความหรูหรา
Cartier
Cartier (คาร์เทียร์) ก่อตั้งขึ้นที่เมืองปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อปี ค.ศ. 1847 โดย หลุยส์ ฟรองซัวร์ คาร์เทียร์ (Louis-François Cartier) จากจุดเริ่มต้นเป็นเพียงร้านเพชรธรรมดา จนกระทั่งทายาทรุ่นที่ 3 ของครอบครัวได้มาบริหารงานของบริษัท ซึ่งหลานชายทั้งสามของเขาได้ร่วมกันสร้าง Cartier จนกลายเป็นหนึ่งในแบรนด์มีชื่อเสียงระดับโลก ปัจจุบัน Cartier เป็นหนึ่งในผู้ผลิตเครื่องประดับที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก โดยลูกค้าส่วนใหญ่เป็นบุคคลระดับราชวงศ์
พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 (Edward VII) ของสหราชอาณาจักร ทรงกล่าวชมผลงานของคาร์เทียร์ ว่า “Jewellers of the King and King of Jewellers” อัญมณีสำหรับราชาและราชาแห่งอัญมณี ซึ่งนอกเหนือจากการสร้างชื่อเสียงจากบุคคลเหล่านี้แล้ว Cartier ยังทุ่มเทให้กับการสร้างสรรค์นาฬิกาและกลไกที่แปลกใหม่ ปัจจุบันคาร์เทียร์เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม บริษัท Richemont Group ที่ออกแบบผลิตจัดจำหน่ายและจำหน่ายเครื่องประดับและนาฬิกา โดยมีมูลค่าอยู่ที่ 10.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ
The Meaning Behind the Cartier Logo
ความหมายของโลโก้แบรนด์ Cartier ที่แท้จริง ยังไม่มีใครทราบ แต่เชื่อว่า ถือกำเนิดในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ด้วยความที่แบรนด์มีความเกี่ยวข้องกับทางราชวงศ์ อันสามารถเชื่อมโยงความหมายได้ถึงความมั่งคั่งและอำนาจ การออกแบบโลโก้เป็นไปอย่างเรียบง่าย ด้วยการใช้ฟอนต์ตัวอักษรแบบ Serif ซึ่งจุดเด่นของตัวอักษรแบบนี้คือ การที่ตัวอักษรมีหัวมีเท้า มีความหนาบางไม่ต่างกันนัก ซึ่งให้ความรู้สึกถึงความเก่าแก่ ความขลัง มักนิยมใช้กับงานที่เป็นทางการ กึ่งไปทางพิธีรีตรอง
ตัวอักษรที่ดูสะอาดตาพร้อมรูปแบบการตวัดหางอันหรูหราระหว่างตัวอักษร แต่ละตัวอักษร จะสื่อสารได้ทันทีว่า Cartier เป็นแบรนด์ที่มีความประณีตและมีความซับซ้อน โดยใช้เพียงรูปแบบตัวอักษรง่าย ๆ แทบไม่ต้องมีองค์ประกอบทางศิลปะอื่น ๆ แต่สามารถดึงดูดสายตา และสร้างความประทับใจได้ อันเป็นเครื่องหมายซึ่งบ่งบอกถึงความสำคัญและความยิ่งใหญ่ของผลิตภัณฑ์ที่ผลิตโดย Cartier
Rolex
Rolex (โรเล็กซ์) ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1905 โดยแรกเริ่ม ใช้ชื่อบริษัทว่า “Wilsdorf and Davis” ก่อตั้งโดย Hans Wilsdorf (ฮันส์ วิลส์ดอร์ฟ) และ Alfred Davis (อัลเฟรด เดวิท) ผู้มีศักดิ์เป็นน้องเขยของเขา เริ่มแรกธุรกิจของพวกเขามุ่งเน้นไปที่การนำเข้ากลไกนาฬิกา แลถูกวางไว้ในเคสที่ผลิตโดยบริษัทอื่น จากนั้นนาฬิกาเหล่านี้ก็ถูกขายให้กับ บริษัท เครื่องประดับอื่น ๆ โดยถูกจำหน่ายภายใต้แบรนด์ของบริษัทนั้น ๆ
พวกเขาเติบโตจากจุดเริ่มต้นที่แสนธรรมดานี้ จนเติบโต กลายเป็นหนึ่งในแบรนด์นาฬิกาที่มีค่าและเป็นที่รู้จักมากที่สุดแบรนด์หนึ่งของโลก ในปี ค.ศ. 1908 ชื่อ Rolex ได้ถือกำเนิดและจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าอย่างเป็นทางการ โดยคอนเซ็ปต์ของ Rolex คือ ความหรูหรา น่าเชื่อถือ สิ่งนี้ถือเป็นการเติบโตของพวกเขา Rolex ประสบความสำเร็จและได้รับการยอมรับในนวัตกรรมมากมายที่ทำให้แบรนด์ได้เปรียบในการแข่งขันในตลาดซื้อขายนาฬิกาอย่างชัดเจน
The Meaning Behind the Rolex Logo
การเปลี่ยนชื่อบริษัทจาก Wilsdorf and Davis มาเป็น Rolex นั้น จุดประสงค์เพื่อความง่ายต่อการออกเสียงในทุกภาษา และชื่อของมันก็ดูเหมือนกับการหมุนของนาฬิกา รวมถึงต้องการชื่อแบรนด์ที่อ่านง่ายเมื่อมีการแสดงเครื่องหมายบนตัวเรือนนาฬิกาจริง เครื่องหมายมงกุฎ เชื่อมโยงกับคำขวัญของ บริษัท ที่ว่า “A Crown for Every Achievement” (มงกุฎสำหรับทุกความสำเร็จ) ย้อนกลับไปสู่ประวัติศาสตร์อันโด่งดังของนวัตกรรมคุณภาพอันยาวนานในโลกแห่งนาฬิกา สีเขียวและสีทองเป็นสีที่แสดงถึงความมั่งคั่งและการเป็นที่ยอมรับโดยสากล
Chanel
Chanel (ชาแนล) แบรนด์ชั้นนำระดับโลกสัญชาติฝรั่งเศส แบรนด์สุดหรูที่เป็นความฝันสูงสุดของสาว ๆ ทั่วโลก ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1909 โดย กาเบรียล บอนเนอร์ ชาแนล (Gabrielle Bonheur Chanel) หรือที่รู้จักคุ้นเคยกันในชื่อ Coco Chanel เส้นทางจากเด็กสาวกำพร้าสู่การเป็นดีไซเนอร์ชื่อก้องโลกของเธอ ไม่ได้ราบรื่นสวยงามอย่างที่ใคร ๆ คิด นับตั้งแต่การเป็นนักร้องกับเพื่อน ๆ ที่คาบาเร่ ก่อนที่จะพบกับ เอเตียน บัลซอง (Etienne Balsan) บุคคลที่เป็นผู้เบิกทางให้เธอ ได้รู้จักคลุกคลีและทำความคุ้นเคยอยู่กับสังคมชั้นสูง
ธุรกิจของเธอ เริ่มต้นจากการเป็นช่างทำหมวกให้กับภรรยาและเหล่าคุณหญิงคุณนายของบรรดาเศรษฐี โดยมีนายทุนคือนายบัลซอง จนได้มีโอกาสรู้จักกับ Arther “Boy” Capel หรือ อาเธอร์ เอ็ดเวิร์ด คาเปล (Arthur Edward Capel) ชายผู้เป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตที่ยิ่งใหญ่ของเธอ โดย คาเปล ให้เงินสนับสนุนชาแนลในการเปิดร้านขายหมวกที่เธอออกแบบเองบนถนน Cambon ในกรุงปารีส โดยใช้ชื่อร้านว่า Chanel Modes
ภายในเวลาสองปีชาแนลก็สามารถเข้าสู่ธุรกิจการออกแบบเสื้อผ้า และทำการปฏิวัติการแต่งกายสตรีขึ้นใหม่ จากชุดคลอเซ็ทและกระโปรงบานสุ่ม ที่เทอะทะ มาสู่การแต่งตัวที่มีความอิสระมากยิ่งขึ้น โดยไม่มีข้อจำกัดทั้งผู้หญิงและผู้ชาย อีกทั้งเธอยังเป็นบุคคลแรก ๆ ที่ผลักดันให้ผู้หญิงมาใส่กางเกงอีกด้วย ถึงแม้ว่าช่วงสงครามโลก ธุรกิจของเธอจะได้รับผลกระทบ แต่ทว่าความคิดรวมถึงไอเดียสร้างสรรค์ของเธอไม่ได้หยุดยั้งไปด้วย เมื่อสงครามสงบลง ธุรกิจของเธอจึงเริ่มเดินหน้าได้อีกครั้ง และสามารถกลับมาเป็นที่นิยมของเหล่าสตรีอีกเช่นเคย
แม้จะมีอุปสรรคมากมาย แต่ชาแนลก็ไม่ย่อท้อ ผลักดันดิ้นรน จนแบรนด์สามารถติดอันดับแบรนด์ที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก ขยายไลน์การผลิต จากเสื้อผ้าและหมวกสตรี ไปสู่เครื่องสำอางค์และน้ำหอม หลังการเสียชีวิตของชาแนลในปี ค.ศ. 1971 ชาแนลยังคงติดอันดับหนึ่งในแบรนด์ที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก โดยปัจจุบันมีมูลค่าอยู่ที่ 8 พันล้านเหรียญสหรัฐ
The Meaning Behind the Chanel Logo
โลโก้ตัว C ไขว้ ได้รับการออกแบบครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1925 โดย Gabrielle Channel (กาเบรียล ชาแนล) ได้รับแรงบัลดาลใจมาจากกระจกโบสถ์โอบาซีล ที่ Coco Chanel เคยใช้ชีวิตที่นั่น สื่อถึงความร่ำรวย มั่งคั่ง ศักดิ์ศรีและชนชั้น การออกแบบที่เรียบง่าย ที่เน้นการเข้าถึงง่าย สามารถใช้ได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย
จากมุมมองเทคนิคการออกแบบนี้ เชื่อว่า จะสามารถทำให้ลูกค้าเกิดการจดจำได้ง่ายไม่ว่าตัวสัญลักษณ์จะปรากฏบนสินค้าชิ้นเล็กหรือใหญ่ บางสื่อก็กล่าวว่า ตัวอักษรย่อ CC อาจมาจากชื่อของเธอ คือ Coco Chanel แต่บางสื่อกลับให้ข้อมูลว่า แท้จริงแล้ว CC นั้น มาจากชื่อ Chanel กับ Capel คู่รักของเธอ
แบรนด์แฟชั่นชั้นนำแต่ละแบรนด์มีเรื่องราวที่เป็นเอกลักษณ์และเติบโตในแบบฉบับเฉพาะของตัวเอง บางแบรนด์อาจเริ่มจากจุดที่ต่ำที่สุด และบางแบรนด์มีชื่อเสียงขึ้นมาได้จากการได้รับใช้ราชวงศ์หรือบุคคลชั้นสูงอันมั่งคั่ง แม้จะมีความแตกต่างกันด้านที่มา แต่จุดมุ่งหมายเดียวกัน คือการมุ่งเน้นไปที่การมอบคุณค่ารวมทั้งผลงานอันอัดแน่นไปด้วยคุณภาพที่น่าทึ่งให้กับลูกค้า
สิ่งสำคัญ ที่จะเป็นตัวสร้างเอกลักษณ์ และความน่าจดจำนั่นก็ คือ ชื่อแบรนด์และโลโก้ หลายต่อหลายแบรนด์ ได้มีการสร้างสัญลักษณ์ด้วยการตั้งชื่อตามผู้ก่อตั้งและมีการออกแบบโลโก้ที่เรียบง่ายโดยมีความสัมพันธ์ทางอารมณ์เพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย การพัฒนา โลโก้ใหม่ นั้นจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นที่ต้องพัฒนาควบคู่ไปกับแบรนด์ เพราะยิ่งแบรนด์แข็งแกร่งขึ้นเท่าไหร่ พลังของโลโก้จะยิ่งทวีความแข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน
ประเด็นสำคัญคือ ความสำเร็จของแบรนด์อาจไม่ได้มาจากแค่ชื่อของมันเพียงเท่านั้น สิ่งสำคัญคือสัญลักษณ์ที่ทำให้เกิดการจดจำชื่อ และเชื่อมโยงกับความหมายเชิงบวก เพื่อกลยุทธ์การสร้างแบรนด์ในช่วงต้น ในวงจรการเติบโตของธุรกิจ การปรับเปลี่ยนให้ทันยุคสมัยก็เป็นอีกหนึ่งกระบวนการในการพัฒนาที่ทำให้โลโก้ หรือสัญลักษณ์เหล่านี้ ยังคงทรงพลัง และกลมกลืนไปกับทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเพียงใดก็ตาม
รัก
xoxo