ประวัติ Jaegar LeCoultre อีกหนึ่งแบรนด์นาฬิกาที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานเกือบ 200 ปี เป็นหนึ่งในผู้ผลิตเพียงรายเดียวที่สร้าง พัฒนา ตกแต่ง และผลิตนาฬิกาทั้งหมดภายในเวิร์กช็อปของตนเอง ตั้งแต่เริ่มต้น ในการทำให้นาฬิกาแต่ละเรือนมีความครบถ้วนสมบูรณ์ การผลิตจึงรวบรวมอาชีพ เทคนิค และเทคโนโลยีอย่างเต็มรูปแบบไว้ใต้หลังคาเดียวกัน เพื่อสร้างการสร้างสรรค์นาฬิกาที่ดีที่สุด
นอกจากนาฬิกาจะเป็นเครื่องหมายบ่งบอกถึงสถานะและรสนิยมของตัวผู้สวมใส่แล้ว การได้เป็นเจ้าของ Jaegar LeCoultre หรือที่รู้จักในชื่อย่อ JLC สักเรือนนั้น ย่อมสร้างความภูมิใจให้กับผู้ได้ครอบครองนาฬิกาที่มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนานแบรนด์หนึ่งของโลก กับความเป็นผู้นำแห่งนวัตกรรมในโลกของนาฬิกา KATEXOXO ขอพาทุกท่านเปิดประวัติและไปทำความรู้จักกับนาฬิกาแห่งประวัติศาสตร์แบรนด์นี้ไปพร้อมกัน
History of Jaegar LeCoultre
ในปี ค.ศ. 1833 ในใจกลางของ Vallée de Joux ในสวิตเซอร์แลนด์ Antoine LeCoultre (1803–1881) ได้เปลี่ยนโรงนาเล็ก ๆ ของครอบครัวของเขาให้กลายเป็นโรงงานทำนาฬิกา ที่หมู่บ้าน Le Sentier และเริ่มสร้างนาฬิกาที่มีความแม่นยำสูง เขาเป็นนักประดิษฐ์ที่สมดุลทั้งสติปัญญาและจินตนาการ โดยประยุกต์ใช้ตัวเองกับความท้าทายในการวัดเวลา ด้วยความหลงใหลในความแม่นยำ เขาจึงสร้างเครื่องมือที่จำเป็นต่อการพัฒนาชิ้นส่วนที่เล็กที่สุดเพื่อผลิตคาลิเบอร์ที่แม่นยำที่สุด
ในปี ค.ศ. 1844 LeCoultre ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับวงการนาฬิกา ด้วยการสร้าง “Millionometer” อันเป็นอุปกรณ์ที่สามารถวัดความเล็กของชิ้นส่วนเป็นหน่วยไมครอน (Micron) และในปี ค.ศ. 1847 เขาได้สร้างระบบแบบไม่ใช้กุญแจเพื่อกรอกลับและตั้งนาฬิกา สี่ปีต่อมา เขาได้รับรางวัลเหรียญทองจากการทำงานด้านความแม่นยำของนาฬิกาและกลไกที่งาน Universal Exhibition ครั้งแรกในลอนดอน (ในเรื่องการคิดค้น Lever-Winding) และยังได้รับรางวัล Gold Medal จากงาน Crafted Gold Chronometer อีกด้วย
ในปี ค.ศ. 1866 ในช่วงที่มีการขยายกิจการ โดยมีช่างฝีมือกระจายอยู่ตาม workshops เล็ก ๆ หลายร้อยแห่ง อองตวนและเอลี เลอคูลตร์ (Elie LeCoultre) ได้ให้กำเนิดบริษัท LeCoultre & Cie ซึ่งถือได้ว่าเป็นโรงงานผลิตนาฬิกาเต็มรูปแบบแห่งแรกของ Vallée de Joux รวมความเชี่ยวชาญของช่างนาฬิกาไว้ภายใต้หลังคาเดียวกัน โดยได้มีการพัฒนากระบวนการผลิตโดยใช้เครื่องจักรบางส่วนเป็นครั้งแรกสำหรับกลไกที่ซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ในช่วงปี ค.ศ. 1870
ในปีเดียวกันนั้นเอง ฝ่ายผลิตได้ว่าจ้างพนักงาน 500 คน และเป็นที่รู้จักในชื่อ “Grande Maison of the Vallée de Joux” หลังจากนั้นภายใน 4 ปี ก็ได้ทำการสร้างสรรค์ “pocket watch with triple calendar and moon phases” ออกมา ตามมาด้วย Calibre มากกว่า 350 รูปแบบ อีก 128 รูปแบบเป็น chronographs และอีก 99 รูปแบบพร้อมกลไกทวน (minute repeaters)
ต่อมาในช่วง 30 ปีนี้เอง (ค.ศ. 1833 – 1866) ที่ LeCoultre ผลิต Movement ให้ Patek Philippe เกือบทั้งหมดและยังผลิต Movement ให้แก่แบรนด์ดังอย่างกลุ่ม Holy Trinity แทบจะทั้งหมดเช่นกัน ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า Antoine LeCoultre ได้สร้างสรรค์ผลงานต้นแบบอันมีค่าในการคิดค้น Millionometer เพื่อเป็นต้นแบบในการผลิตนาฬิกาหลายรุ่นในตำนาน และกลไกอันแสนจะสมบูรณ์แบบอย่างเช่นทุกวันนี้
Re-organization
ในปี ค.ศ. 1903 Edmond Jaeger ช่างซ่อมนาฬิกาในปารีสประจำกองทัพเรือฝรั่งเศส ท้าทายผู้ผลิตนาฬิกาสวิสแบรนด์นี้ ให้พัฒนาและผลิตกลไกการทำงานที่บางเฉียบที่เขาประดิษฐ์ขึ้น Jacques-David LeCoultre หลานชายของ Antoine ซึ่งรับผิดชอบการผลิตที่บริษัท LeCoultre & Cie. ตอบรับการท้าทายในครั้งนี้ก่อให้เกิดคอลเล็กชั่นนาฬิกาพกที่บางเฉียบ ซึ่งรวมถึงนาฬิกาข้อมือที่บางที่สุดในโลกในปี ค.ศ 1907 ซึ่งติดตั้งระบบกลไกที่มีชื่อเรียกว่า LeCoultre Calibre 145 ซึ่งมีความหนาเพียง 1.38 มิลลิเมตร
จากเหตุการณ์นี้เองที่ทำให้ Edmond Jaeger และ Antoine LeCoultre ได้รู้จักกันและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันเรื่อยมา และในระหว่างนั้น ทั้งคู่ได้ร่วมกันผลิตนาฬิกาซึ่งเป็นการนำเอา Ultra-thin Movement ที่บางเฉียบ มาผนวกเข้ากับเทคโนโลยีอันล้ำสมัยได้อย่างลงตัว ได้แก่ Duoplan, Atmos และ Jaeger-LeCoultre Calibre 101 ซึ่งเป็นนาฬิกาที่เล็กที่สุดในโลก จนในที่สุดทั้งคู่จึงได้ควบรวมบริษัททั้งสองแห่งเข้าด้วยกันภายใต้แบรนด์ Jaeger-LeCoultre (JLC)
ในปีเดียวกันนั้น Cartier ผู้ผลิตอัญมณีชาวฝรั่งเศส ซึ่งเป็นหนึ่งในลูกค้าของ Jaeger ได้เซ็นสัญญากับช่างซ่อมนาฬิกาชาวปารีส โดยที่กลไกทั้งหมดที่ Jaeger ผลิตขึ้นจะเป็นเอกสิทธิ์ของ Cartier เป็นระยะเวลาทั้งสิ้น 15 ปี การทำงานร่วมกันระหว่าง Jaeger และ LeCoultre นำไปสู่การเปลี่ยนชื่อบริษัทอย่างเป็นทางการเป็น “Jaeger-LeCoultre” ในปี ค.ศ. 1937
ในปี ค.ศ. 1927 Jaeger LeCoultre ขายหุ้นบริษัทเป็นจำนาน 75 เปอร์เซ็นต์ให้กับบริษัท S Smith & Sons และในปี ค.ศ. 1937 ได้ทำการเปลี่ยนชื่อบริษัทอีกครั้งเป็น British Jaeger Instruments Limited โดยในรถยนต์ Bentley Speed Six ซึ่งผลิตออกมาในปี ค.ศ. 1930 ก็ยังมีการติดตั้งมาตรวัดที่ผลิตโดย Jaeger และนาฬิกาโดย S. Smith & Sons
Watchmaker of Watchmaker
ถือได้ว่า Jaeger LeCoultre เป็นหนึ่งในแบรนด์นาฬิกาเก่าแก่ ที่มีชื่อเสียงและได้รับการยกย่องอย่างสูง ในวงการธุรกิจนาฬิกา ซึ่งไม่เพียงแต่มีชื่อเสียงในด้านของการสร้างสรรค์ผลงานนาฬิกาที่ไม่เหมือนใครเท่านั้น แต่ยังขึ้นชื่อในเรื่องของการผลิตกลไก Movement อันมีประสิทธิภาพ ซึ่งได้รับการยอมรับจากแบรนด์นาฬิกาที่มีชื่อเสียงระดับโลกหลายแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็น IWC , Vacheron Constantin, Patek Philippe และ Audemars Piguet
ยกตัวอย่างเช่นระบบกลไก Calibre 920 ซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องของความบาง นาฬิการะดับ Holy Trinity ซึ่งประกอบไปด้วย Patek Philippe, Vacheron Constantin, และ Audemars Piguet ได้นำเอากลไกดังกล่าวไปต่อยอดให้กับแบรนด์ของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Calibre 28-255 ของ Patek Philippe , Calibre 1120, 1121, 1122 จาก Vacheron Constantin และ Calibre 2120, 2121, 2122 จาก Audemars Piguet ก็ล้วนแล้วแต่เป็นผลงานจากการคิดค้นกลไกอันแสนชาญฉลาดของ Antoine LeCoultre ทั้งสิ้น
ด้วยความเชี่ยวชาญทั้งหมดที่แบรนด์นาฬิการะดับตำนาน Jaeger LeCoultre สร้างสรรค์ขึ้นทั้งหมดนี้ จึงไม่ได้เป็นเพียงบริษัทที่ผลิตและจำหน่ายเครื่องบอกเวลาธรรมดาเพียงเท่านั้น แต่แบรนด์ยังคงเป็นผู้นำแห่งนวัตกรรม ผู้อยู่เบื้องหลังในการคิดค้นและผลิตชิ้นส่วนต่าง ๆ ให้แก่แบรนด์นาฬิกาแบรนด์ดังระดับตำนานอีกหลายแบรนด์ จนได้ฉายาว่า “Watchmaker’s Watchmaker”
ปัจจุบัน แบรนด์ Jaeger LeCoultre อยู่ภายใต้กลุ่มบริษัท Richemont กลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ซึ่งกุมกิจการนาฬิกาและจิวเวอรี่ รายใหญ่สัญชาติสวิส โดยมีการผลิตนาฬิกาออกมานับร้อยรุ่น ที่มีการจดสิทธิบัตร รวมถึงการออกแบบกลไกกว่าหนึ่งพันแบบ ซึ่งบริษัทได้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม Richemont อย่างเป็นทางการตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 เป็นต้นมา โดยที่ตั้งของโรงงาน อยู่ในเมือง Le Sentier ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
Notable models
นอกจาก Jaeger LeCoultre จะทำการผลิตกลไกให้กับแบรนด์นาฬิกาชั้นนำหลายแบรนด์แล้ว ทางแบรนด์ก็ยังได้ผลิตนาฬิกาที่สร้างชื่อเสียงให้กับแบรนด์อีกหลายต่อหลายรุ่น ซึ่งต่อมาได้กลายมาเป็น Iconic ของแบรนด์ มีดังต่อไปนี้
The Reverso
คำว่า Roverso มาจากภาษาละติน มีความหมายว่า “ฉันหมุนกลับได้” ถูกสร้างสรรค์ขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1931 จากกีฬาการแข่งขัน Polo ซึ่งถือว่าเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมในหมู่กษัตริย์ราชวงศ์และสังคมชั้นสูงในสมัยนั้น เนื่องจากเป็นกีฬาที่ต้องใช้ทักษะในการผสานความทุ่มเทของมนุษย์ ในการตีลูกบอลให้เข้าประตูฝ่ายตรงข้าม โดยในช่วงเวลานั้น Mr. César de Trey หนึ่งในผู้บุกเบิกแบรนด์ JLC ได้เดินทางไปประเทศอินเดีย เพื่อรับชมการแข่งขัน Polo โดย นายทหารอังกฤษนายหนึ่งที่ประจำการอยู่ที่อินเดีย ลงแข่งด้วย
หลังจบการแข่งขัน นายทหารผู้นั้นได้นำนาฬิกาข้อมือที่กระจกหน้าปัดแตกมาให้เขาดู พร้อมคำถามที่ว่า ทำอย่างไรจึงจะสร้างนาฬิกาที่มีกระจกหน้าปัดอันทนทานต่อการแข่งขันกีฬาของพวกเขา เมื่อ Mr. César de Trey เดินทางกลับประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เขาได้ทำการหารือกับเจ้าของบริษัท Lecoultre ซึ่งว่าจ้างให้ห้าง Jaeger S.A ทำการผลิตอีกทอดหนึ่ง
ดีไซน์เนอร์ชาวฝรั่งเศสของห้าง Jaeger นาม René-Alfred Chauvot จึงได้คิดค้นวิธีการปกป้องคริสตัลอันบอบบางในเรือนนาฬิกา ด้วยการออกแบบนาฬิกาให้ตัวเรือนสามารถหมุนได้ 180 องศาเพื่อสลับเอาหน้าปัดคริสตัลไว้ด้านล่าง และหมุนด้านหลังที่เป็นโลหะขึ้นมาแทนที่ การออกแบบขั้นสุดท้ายที่ยังคงใช้อยู่ในปัจจุบันนี้ ทำให้ตัวเรือนสามารถหมุนในโครงยึดเพื่อปกป้องกระจกนาฬิกาได้ การออกแบบถือเป็นศิลปะอาร์ตเดโคคลาสสิก (classic of Art Deco)
Memovox
อีกหนึ่งคอลเล็กชั่นที่โดดเด่นของแบรนด์ นาฬิกาสไตล์ Vintage ที่ตัวเรือนมาพร้อมกับตัวเรือนสี Yellow Gold หน้าปัดสีขาว เข็มหลักชั่วโมงแบบขีดสีทอง ตัวป้องกันหน้าปัดทำมาจากพลาสติกที่คุณภาพรูปทรงโดม ระบบของนาฬิกาเป็นแบบอัตโนมัติแบบโรเตอร์ครึ่งรอบ ทำให้มีเสียงปลุกที่ไพเราะกว่าเครื่องอัตโนมัติปกติ และมีกลไกเม็ดมะยมสองเม็ดสำหรับตั้งเวลาและตั้งปลุก ด้วยวัสดุต่าง ๆ ที่นำมาใช้ และเอกลักษณ์ในเรื่องของการตั้งเวลาปลุก
ลักษณะเด่นอันเป็นเสน่ห์ของ Memovox อยู่ที่ความเป็นนาฬิกาข้อมือที่มีเสียง และเป็นที่ต้องการของนักสะสม เนื่องจากราคาที่ไม่สูงจนเกินไป กลไกที่โดดเด่นของมันสามารถใช้เป็นนาฬิกาปลุก การเตือนเพื่อนัดหมาย หรือแม้แต่บันทึกตารางการเดินรถ ในปี ค.ศ. 1956 Memovox ซึ่งขับเคลื่อนด้วยกลไก Calibre 815 กลายเป็นนาฬิกาไขลานอัตโนมัติเรือนแรกในประวัติศาสตร์ ถือได้ว่า Memovox สะท้อนให้เห็นถึงความทรงจำผ่านกาลเวลา คือเสน่ห์แห่งวันวานที่ส่งต่อถึงปัจจุบันอย่างแท้จริง
Westminster
สะท้อนความเป็นตัวตนของ Jaeger LeCoultre ซึ่งมาพร้อมกับ Movement อันแสนพิเศษ ซึ่งทาง Jaeger LeCoultre ประกาศว่า จะผลิตออกมาเพียง 18 เรือนในโลกเท่านั้น กับราคาเรือนละ 28.7 ล้านบาท ความพิเศษที่มาพร้อมกับราคาอันสูงลิบเช่นนี้ ประกอบด้วย กลไกอันสลับซับซ้อนที่สุดที่ทางแบรนด์เคยคิดค้นขึ้นมา
นาฬิกาที่มาพร้อมกับสุดยอดความซับซ้อน ของกลไก Tourbillon และ Minute repeater ในเรือนเดียวกัน ที่สามารถบรรเลงเป็นบทเพลง Westminster Carillon ซึ่งเป็น Melody ที่มีชื่อเสียงมาจากหอนาฬิกา Big Ben ความปราณีตในการขัดแต่งตัวเรือนและการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะชั้นสูงไว้บนหน้าปัดอีนาเมล ซึ่งรวมความสวยงามอันแสดงออกมาเฉกเช่นงานศิลปะ อันผสมผสานไปด้วยความซับซ้อนของกลไกอันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์
ทั้งหมดนี้คือ ประวัติ Jaegar LeCoultre การเดินทางอันยาวนานของอีกหนึ่งแบรนด์นาฬิกาแห่งประวัติศาสตร์ ตัวแทนแห่งความบ้าบิ่นแห่งการสร้างสรรค์นาฬิกาที่มีกลไกสลับซับซ้อนที่สุด ซึ่งนอกจากจะเป็นผลงานตัวแทนแห่งเครื่องบอกเวลาแล้ว ยังนับว่าเป็นนวัตกรรมและงานศิลปะอันล้ำค่า การพัฒนาที่ไม่หยุดยั้งของ “ประดิษฐกรรมแห่งการบอกเวลา” ด้วยระยะทางที่พิสูจน์แล้วว่า Jaegar LeCoultre เหมาะสมกับฉายา “The Watchmaker of Watchmakers” อย่างแท้จริง
รัก
xoxo