Porsche 911 เป็นชื่อรุ่นของรถยนต์นั่งสมรรถภาพสูง อันเป็นตำนานและถือว่าเป็นเอกลักษณ์ให้กับแบรนด์รถยนต์นั่งสุดหรูสัญชาติเยอรมันอย่าง Porsche (พอร์เชอ) มานานถึง 5 ทศวรรษ รถยนต์รุ่นนี้ ได้กลายมาเป็นขวัญใจของแฟนพันธุ์แท้พอร์เชอและเหล่าผู้หลงไหลรถสปอร์ต นับตั้งแต่มีการเปิดตัวเมื่อปี ค.ศ. 1963
เป็นเวลากว่า 57 ปีแล้ว ที่ 911 ยังคงยืดหยัดอยู่ในวงการรถหรู เป็นเสมือนรถต้นแบบและเป็นแรงบันดาลใจ ในการพัฒนารถรุ่นอื่น ๆ ของแบรนด์พอร์เชอในเวลาต่อมา วันนี้ เราจะพาทุกคน ย้อนรอยประวัติศาสตร์ ไปยังจุดกำเนิดของนวัตกรรมยานยนต์ชั้นเยี่ยมรุ่นนี้ อะไรที่ทำให้ 911 ยังคงประสบความสำเร็จ นอกเหนือจาก ความเป็นรถสปอร์ตอันมีความโดดเด่นที่ไม่เหมือนใคร จนกลายมาเป็นเอกลักษณ์สุดคลาสสิคของแบรนด์
PORSCHE 911 : The First Generation
ย้อนกลับไป เมื่อ 57 ปีก่อน ในงานมหกรรมยานยนต์ Frankfurt IAA Motor Show (IAA อินเตอร์เนชั่นแนล ออโต้โมทีฟโชว์) ซึ่งจัดขึ้นเมื่อเดือนกันยายน ปี ค.ศ. 1963 ที่เมือง Frankfurt ประเทศเยอรมนี ได้มีการเปิดตัวรถยนต์สปอร์ต ภายใต้รหัส 901 ซึ่งถูกผลิตขึ้นมาแทนที่ Porsche 356 เป็นรถโชว์ตัวต้นแบบ จากนั้นจึงมีการเปลี่ยนรหัสรุ่นเป็น 911 และขึ้นสายพานการผลิตอย่างเป็นทางการเมื่อปี ค.ศ. 1964
เครื่องยนต์ที่ใช้เป็นแบบเบนซิน ที่ใช้ระบบระบายความร้อนด้วยอากาศ (Air-cooled engines) แบบ 6 สูบเรียงนอน (Flat-6) ให้พละกำลัง 130 แรงม้า ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 210 กิโลเมตร/ชั่วโมง ความจุตัวถังขนาด 2.0 ลิตร มีชื่อเรียกฉายาว่า “Horn Grill” เนื่องมาจากเอกลักษณ์ที่มีช่องตรงตระแกรงข้างไฟเลี้ยว ซึ่งช่องดังกล่าว เป็นระบบระบายความร้อนเครื่องยนต์ โดยระบายจากกระจังหน้ารถ ให้อากาศให้ไปถ่ายเทความร้อนข้างใน
ตามมาติด ๆ ในปี ค.ศ. 1962 ด้วยรถยนต์รหัส 912 มาพร้อมเครื่องยนต์แบบ 4 สูบ และรหัส 911 S ที่มาพร้อมกับขุมพลังเครื่องยนต์ขนาด 160 แรงม้า ที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อปี ค.ศ. 1966 อีกทั้งยังนับเป็นครั้งแรกกับการติดตั้งล้ออัลลอยด์จาก Fuchs มากับตัวรถอีกด้วย
จนกระทั่งเดือนกันยายน ปีค.ศ. 1965 ในงานมหกรรมยานยนต์ International Motor Show ณ เมือง Frankfurt ได้เผยโฉม 911 Targa (ทาร์ก้า) รถสปอร์ตที่ผสมผสานรูปทรงของรถเปิดประทุนกับรถคูเป้ 2 ประตู ซึ่งได้รับการขนานนามว่า เป็นรถเปิดประทุนที่มีความปลอดภัย ด้วยอุปกรณ์นิรภัย Roll bar แบบติดตั้งถาวร งานดีไซน์หลังคา Targa คืองานดีไซน์ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในรถยนต์เปิดหลังคาแบรนด์อื่น ถือเป็นต้นแบบให้กับรถสปอร์ตรุ่นหลัง ๆ
ต่อมาในปี ค.ศ. 1967 ทางพอร์เชอ ได้พัฒนาระบบเกียร์แบบใหม่ ส่งผ่านกำลังแบบ Semiautomatic Sport-automatic 4 จังหวะเป็นครั้งแรก รวมทั้งในปีเดียวกัน ยังได้ปล่อยรถยนต์ 911 รุ่น T , E และ S เข้าสู่ตลาดด้วยเช่นกัน ส่งผลให้พอร์เชอ กลายเป็นโรงงานผลิตรถยนต์จากเยอรมนีเจ้าแรก ที่สามารถผลิตรถตามกฎและข้อกำหนดควบคุมการปล่อยไอเสียของสหรัฐอเมริกา
ใน ปี ค.ศ. 1969 พอร์เชอ ได้นำเสนอเครื่องยนต์ ที่มีพละกำลังมากขึ้น รวมถึงเพิ่มความจุของเครื่องยนต์จากเดิม 2.0 ลิตร เป็น 2.2 ลิตร และ เพิ่มเป็น 2.4 ลิตร ในปี ค.ศ. 1971 สำหรับรถยนต์ 911 Carrera RS (คาร์เรร่า อาร์เอส) ที่มาพร้อมกับพละกำลังเครื่องยนต์สูงสุด 210 แรงม้า ด้วยน้ำหนักที่เบากว่า 1,000 กิโลกรัม ได้ทำการเปิดตัวเมื่อปี ค.ศ. 1972 โดยมีความจุเครื่องยนต์ 2.7 ลิตร มีการติดตั้งสปอยเลอร์หลังแบบ “Ducktail” ซึ่งถือเป็นสปอยเลอร์ชิ้นแรกที่ได้รับการติดตั้งลงบนรถที่เข้าสายการผลิต
The Second Generation : G Series
10 ปี หลังจากการเปิดตัวอย่างเป็นทางการของรถยนต์ 911 Generation แรก ทางพอร์เชอ ก็ได้ทำการเปิดตัวรถรุ่นที่ 2 มีชื่อเรียกว่า G Model ซึ่งเริ่มไลน์การผลิตตั้งแต่ปี ค.ศ. 1973 จนถึงปี ค.ศ. 1989 ซึ่งถือได้ว่า เป็นรุ่นที่มีการผลิตยาวนานกว่า 911 เจเนอเรชั่นอื่น ๆ รถยนต์รุ่นนี้ ได้รับการติดตั้งชิ้นส่วนกันชนด้านล่าง โดยมีการปรับปรุงให้มีความหนาขึ้น ซึ่งเป็นนวัตกรรมการออกแบบเพื่อให้เข้ากับมาตรฐานการทดสอบการชนในสหรัฐอเมริกา เพื่อการส่งออกไปขายในประเทศ
ความปลอดภัยในห้องโดยสาร ได้รับการพัฒนาด้วยเช่นกัน โดยมีการเพิ่มเติมเข็มขัดนิรภัย ถึง 3 จุด แบบ Three-Point มาเป็นอุปกรณ์มาตรฐานพร้อมกับรถ รวมทั้งเพิ่มที่พักศีรษะเข้าไป เพื่อความสบายแก่ผู้ขับขี่
ต่อมา ในปี ค.ศ. 1974 ได้มีการเปิดตัวรถยนต์ 911 Turbo (911 เทอร์โบ) เป็นครั้งแรก ซึ่งมาพร้อมกับเครื่องยนต์ขนาด 3 ลิตร ขุมพลังเครื่องยนต์สูงสุดที่ 260 แรงม้า ติดตั้งสปอยเลอร์หลัง พละกำลังที่เหนือชั้นผสมผสานกับความหรูหราที่เข้ากันได้อย่างลงตัวนี้เอง ที่ส่งผลให้รุ่น เทอร์โบ กลายมาเป็นตำนานของพอร์เชอได้อย่างไม่ต้องสงสัย
ในปี ค.ศ. 1983 พอร์เชอ ได้ปล่อย 911 Carrera (คาร์เรร่า) Superseded SC ออกมา พร้อมเครื่องยนต์ขนาด 3.2 ลิตร ขุมพลัง 231 แรงม้า และรุ่นนี้ ยังได้กลายมาเป็นรุ่นยอดนิยมสำหรับนักสะสมอีกด้วย สำหรับผู้ที่ชื่นชอบรถเปิดประทุน ยังสามารถเลือกสั่งรถยนต์เปิดประทุนได้ตั้งแต่ ปีค.ศ. 1982 เป็นต้นมา จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1989 ได้มีการเปิดตัวรถยนต์อีกรุ่น ภายใต้ชื่อ 911 Carrera Speedster (คาร์เรร่า สปีดสเตอร์) ซึ่งเป็นรุ่นที่พัฒนาขึ้นมาจากแรงบันดาลใจจากรถยนต์รุ่น 356 ในช่วงปี 1950s นั่นเอง
The Third Generation : 964
พอร์เชอ ปล่อยรถยนต์ 911 Carrera 4 (คาร์เรร่า 4) ภายใต้รหัส 964 ออกมาเมื่อปี ค.ศ. 1988 ซึ่งเป็นรุ่นที่ได้รับการเปลี่ยนชิ้นส่วนของตัวถังใหม่หมดกว่า 85% หลังจากที่ใช้รูปแบบตัวถังเดิมมาเป็นเวลา 15 ปี ส่งผลให้ 911 Generation 3 นี้เป็นรถที่มีความทันสมัยมากขึ้น มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบแบบนอน 3.6 ลิตร ให้พละกำลัง 250 แรงม้า
รูปลักษณ์ภายนอก แตกต่างจากรุ่นก่อนหน้าเพียงเล็กน้อย แต่เพิ่มประสิทธิภาพในเรื่องของหลักการอากาศพลศาสตร์ ด้วยการติดตั้งกันชนแบบชิ้นเดียวกลมกลืนกับตัวถังรถ และการขยายสปอยเลอร์หลังแบบอัตโนมัติ นอกจากนั้นยังมาพร้อมกับระบบความปลอดภัยรวมถึงความสะดวกสบายต่าง ๆ อาทิเช่น ระบบพวงมาลัยพาวเวอร์ , ถุงลมนิรภัย , ระบบเบรค ABS พร้อมระบบเกียร์ Tip-tronic (ทริปทรอนิกส์) อันโด่งดัง
ตัวถังได้รับการออกแบบใหม่ทั้งหมด ปีกนกล่างแบบอัลลอยด์น้ำหนักเบา มาพร้อมกับสปริงขดแทนที่ช่วงล่างแบบ Torsion-bar ในรุ่นก่อน ๆ นอกเหนือจากรุ่น Coupe (คาร์เรร่า คูเป้) , Cabriolet (คาบริโอเลต) และรุ่น Targa (ทาร์ก้า) นั้น ยังมีรุ่น 964 Turbo ที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ขนาด 3.3 ลิตร แบบ Boxer โดยในปี ค.ศ. 1992 รุ่นเทอร์โบ ได้รับการพัฒนาให้มีพละกำลังมากขึ้น โดยให้พลังสูงสุดถึง 360 แรงม้า มาพร้อมกับเครื่องยนต์ขนาด 3.6 ลิตร
ในปัจจุบัน รถยนต์ในตระกูล Generation 3 ยังได้รับความนิยมอย่างมาก จากกลุ่มนักสะสมรถเก่า ได้แก่รุ่น 964 Carrera RS (คาร์เรร่า อาเอส) , 911 Turbo S (เทอร์โบ เอส) และ 911 Carrera 2 Speedster (คาร์เรร่า 2 สปีดเสตอร์)
The Fourth Generation : 993
มาถึง Generation ที่ 4 กับรหัสตัวถัง 993 เปิดตัวในปี ค.ศ. 1990 และได้กลายมาเป็นรถที่ผู้ขับขี่พอร์เชอต่างเทใจให้ โดยการพัฒนาพื้นฐานโครงสร้างใหม่ทั้งหมด ด้วยการใช้โครงสร้างอลูมิเนียม รวมถึงล้อแม็กอลูมิเนียมแบบ Hollow-spoke ซึ่งไม่เคยมีใช้กับรถรุ่นใดมาก่อน มีการเสริมกันชนเข้าไป เพิ่มประสิทธิภาพความมั่นคง อีกทั้งยังทรงตัวได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งถือว่าเป็นนวัตกรรมอันทันสมัยมากในสมัยนั้น
ในปี ค.ศ. 1995 สำหรับรุ่น Turbo นั้น ถือว่าเป็นครั้งแรกที่มีการติดตั้งเครื่องยนต์ 6 สูบแบบ Bi-Turbo (เทอร์โบคู่) ซึ่งมีประสิทธิภาพในเรื่องของการปล่อยมลพิษได้ต่ำมากที่สุดในโลก ถือได้ว่าเป็นนวัตกรรมที่ยอดเยี่ยม สำหรับรถขับเคลื่อนสี่ล้อในสมัยนั้น ตามมาด้วยการเปิดตัวของ 911 GT2 (จีที2) ที่ได้รับการพัฒนาจนกลายเป็นรถสปอร์ตอันสมบูรณ์แบบ มาพร้อมกับความเร็วสูงแบบเต็มพิกัด รวมทั้งหลังคาและกระจกไฟฟ้า ถือได้ว่า 993 เป็นรุ่นสุดท้ายที่ใช้ระบบระบายความร้อนด้วยอากาศ เป็นอีกหนึ่งรุ่นที่นักสะสมตามหา
The Fifth Generation : 996
สำหรับรถยนต์รุ่นที่ 5 รหัสตัวถัง 996 นี้ เปิดตัวเมื่อปี ค.ศ. 1997 โดยทำการตลาดเป็นรุ่นที่จำหน่ายเมื่อปี 1998 เป็นรุ่นที่เรียกได้ว่าคือจุดเปลี่ยนที่สำคัญของตระกูล 911 เลยก็ว่าได้ โดย 996 นี้ยังคงความเป็นตำนานแบบดั้งเดิมคลาสสิคอยู่ แต่มาพร้อมกับการออกแบบใหม่ทั้งหมด ด้วยการใช้ระบบเครื่องยนต์ที่ระบายความร้อนด้วยน้ำ (Water-cooled engines) มีพละกำลังสูงสุด 300 แรงม้า อีกทั้งยังรักษ์สิ่งแวดล้อมด้วยการลดการปล่อยมลพิษ เสียง รวมถึงประหยัดเชื้อเพลิงมากยิ่งขึ้น
รูปลักษณ์ภายนอก ยังคงความสวยงามเส้นสายของ 911 ไว้เป็นอย่างดี ไฟหน้าได้รับการปรับเปลี่ยนใหม่โดยการรวมไฟเลี้ยวเข้าไว้กับไฟหน้า มีการปรับเปลี่ยนห้องโดยสารภายในทั้งหมด เสียงเครื่องเดินเรียบนิ่ง ฐานล้อที่มีการขยายให้ยาวขึ้น เพิ่มความสะดวกสบายและสุนทรีภาพในการขับขี่ รุ่นที่มีบทบาทสำคัญสำหรับเจเนอเรชั่น 5 นี้ได้แก่ 911 GT3 (จีที 3) ซึ่งเป็นรุ่นเด่นในปี 1999 และ 911 GT 2 (จีที 2) ที่ติดตั้งระบบเบรกเซรามิก แบบมาตรฐานเป็นคันแรก โดยได้ส่งออกสู่ตลาดในปี 2000
The Sixth Generation : 997
พอร์เชอ ได้ทำการเปิดตัว 911 Carrera และ 911 Carrera S เจเนอเรชั่นที่ 6 ภายใต้รหัสตัวถัง 997 เมื่อเดือนกรกฏาคม ปี ค.ศ. 2004 โดยมีรูปทรงย้อนกลับไปยุคคลาสสิคอีกครั้ง ด้วยไฟหน้าแบบวงรี ที่แยกออกจากไฟเลี้ยวมาอยู่ตรงมุมกันชน เป็นการระลึกถึง 911 รุ่นดั้งเดิม มาพร้อมกับเครื่องยนต์ขนาด 3.6 ลิตร แบบ Boxer (เบนซิน 6 สูบนอน) กับพละกำลังสูงสุดที่ 325 แรงม้า
สำหรับรุ่น Carrera S มาพร้อมกับเครื่องยนต์ขนาด 3.8 ลิตร พละกำลังสูงสุด 355 แรงม้า ตัวถังได้รับการปรับเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด โดยได้รับการติดตั้งระบบช่วงล่าง Porsche Active Suspension Management เป็นอุปกรณ์มาตรฐานให้กับตัวรถ สำหรับ 911 เจเนอเรชั่นนี้ ถูกผลิตออกมาหลายรูปแบบ เพื่อตอบสนองความต้องการใช้งานสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นรุ่นคูเป้ รุ่นทาร์ก้า รุ่นเปิดประทุน หรือเลือกแบบขับเคลื่อนล้อหลัง หรือขับเคลื่อนสี่ล้อ รุ่นเทอร์โบ รุ่นจีทีเอส และรุ่นพิเศษอื่นๆ กว่า 24 รุ่นเลยทีเดียว
ต่อมาในปี ค.ศ. 2006 พอร์เชอได้ส่งรุ่น 911 Turbo ออกมาให้ได้ยลโฉม ซึ่งถือว่าเป็นรถยนต์รุ่นแรกที่มีการติดตั้งระบบ Turbocharger หรือ ระบบเทอร์โบแปรผัน ที่มาพร้อมกับเกียร์ดูอัลคลัตช์ หัวฉีดตรง (Direct Fuel Injection) พร้อมช่วงล่างแบบแปรผันความแข็งอ่อนได้ อีกทั้งยังสามารถใช้กับน้ำมันเชื้อเพลิงธรรมดาได้ โดย 997 ได้รับการปรับเปลี่ยนโฉมอีกครั้งในปี 2008 โดยมีการพัฒนาเครื่องยนต์ใหม่ ให้มีความประหยัดมาขึ้นด้วยระบบฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง
The Seventh Generation : 991
Generation ที่ 7 นี้ เป็นที่รู้จักกันภายใต้ชื่อรุ่น 991 เปิดตัวเมื่อปี 2011 โดยทำการตลาดเป็นรุ่น 2012 เป็นรุ่นที่แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาของเทคโนโลยีรวมทั้งความทันสมัย ที่รวมตัวอยู่ใน 911 คันนี้ เป็นเจเนอเรชั่นใหม่ ที่ได้รับการเพิ่มประสิทธิภาพและสมรรถนะเครื่องยนต์เข้าสู่ยุคใหม่ ด้วยฐานล้อที่ยาวขึ้น กว้างขึ้น มาพร้อมกับยางที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ห้องโดยสารได้รับการพัฒนาตามหลักสรีระศาสตร์มากขึ้น เพื่อประสิทธิภาพในการขับขี่ที่ถูกผสมผสานเข้าไว้ด้วยกันอย่างสมบูรณ์แบบ
991 ได้นำหลักการ Porsche Intelligent Performance มาใช้ในการพัฒนาเครื่องยนต์ เพื่อประหยัดน้ำมันและเพิ่มประสิทธิภาพในการลดมลพิษ ด้วยการลดขนาดเครื่องยนต์เล็กลง อยู่ที่ขนาด 3.4 ลิตร แต่ยังมีพละกำลังแรงม้าที่มากกว่าเดิม โดยสร้างมาตรฐานใหม่ของทวินเทอร์โบ ด้วยกำลัง 370 แรงม้า ในรุ่นธรรมดาและยังสามารถแรงไปได้ถึง 420 แรงม้า ในรุ่น Carrera
สำหรับโครงสร้าง ได้ถูกปรับเปลี่ยน โดยเน้นการใช้อลูมิเนียมและเหล็กไฮบริด เพื่อลดน้ำหนักตัวถังรถ พร้อมทั้งมีการติดตั้งระบบควบคุมตัวถัง Porsche Dynamic Chassis Control (PDCC) เพื่อความคล่องตัวในการขับขี่ รวมทั้งระบบเกียร์ธรรมดา 7 สปีด รายละเอียดที่ได้รับการพัฒนาเหล่านี้ ส่งผลให้ 911 Carrera ยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยความคลาสสิคของรุ่นดั้งเดิม แต่พรั่งพร้อมไปด้วยสมรรถนะที่ได้รับการพัฒนาอย่างสูงสุด จนกลายมาเป็น 911 ที่ดีที่สุดจนถึงปัจจุบัน
The Eighth Generation : 992
สำหรับ 911 Generation ที่ 8 นี้ ถือว่าเป็น เจเนอเรชั่นล่าสุด ภายใต้รหัส 992 ทำการเปิดตัวครั้งแรกที่ Los Angeles Autoshow เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน ปี 2018 โดยยังคงรูปทรงดั้งเดิมของ 911 ในอดีตมาผสมผสานกับความทันสมัยในปัจจุบัน มีการเพิ่มระยะของล้อทั้งหน้าและหลัง โครงสร้างของตัวถังใช้แพลตฟอร์มร่วมกับ Porsche 718 ซึ่งมีชื่อเรียกว่า MMB-Modular Mid-Engine อันเป็นโครงสร้างแบบใหม่ที่รองรับเครื่องยนต์วางกลางลำและเครื่องยนต์วางท้าย
ชุดเบรกเป็น คาร์ลิปเปอร์แบบ 6 พอต สีแดง จานเบรกหน้าหลังขนาด 350 มิลลิเมตร พร้อมจานเบรกคาร์บอนเซรามิก จานหน้าขนาด 410 มิลลิเมตร จานหลัง 390 มิลลิเมตร พร้อมตัวช่วยเบรกไฟฟ้า ใช้เครื่องยนต์ 6 สูบแบบนอน Boxer ความจุ 2,981 ซีซี พละกำลัง 450 แรงม้า พร้อมมาตรฐานมลพิษในระดับ EURO-6 ชุดเทอร์โบคู่หรือ Bi-Turbo ติดตั้งเวสเก็ตไฟฟ้าที่มีความแม่นยำในการทำงานสูง พร้อมทั้งะบบจ่ายเชื้อเพลิงแบบยิงตรงไดเรคอินเจคชั่น (Direct Fuel Injection) พร้อมหัวฉีดแรงดันสูง
ห้องโดยสารกว้างขวางสะดวกสบาย เบาะรูปทรงสปอร์ตสวยงามปรับตั้งด้วยไฟฟ้า พวงมาลัยหุ้มหนังแท้จับได้อย่างกระชับมือและสามารถปรับตั้งได้ถึง 4 ทิศทางด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมด้วยระบบ Porsche Dynamic Chassis Control ช่วยลดอาการโคลงตัวขณะขับขี่ ให้ความรู้สึกที่ลื่นไหลเป็นธรรมชาติและยึดเกาะกับถนนได้อย่างแนบสนิท สำหรับ 992 นี้ มีไลน์การผลิต 2 รุ่นคือ Porsche 911 Carrera S เป็นรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ และ Carrera 4S เป็นรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ
นอกเหนือจากความเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครแล้ว ในส่วนของเทคโนโลยีก็ยังได้รับการพัฒนาให้ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา การออกแบบที่ลงตัว มาพร้อมกับฟังก์ชั่นการใช้งานที่ครบครัน สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงเรื่องราวความสำเร็จ ที่มีใน 911 ทุก Generation ความเป็นรถสปอร์ตที่ควบคู่กับการใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน
จะมีรถสักกี่รุ่นบนโลก ที่ยังสามารถยืนหยัดอยู่ในวงการได้อย่างแข็งแกร่งและยังคงประสบความสำเร็จ มานานถึง 5 ทศวรรษ ปัจจุบัน Porsche 911 ได้กลายเป็นรถที่มีความเก่าแก่ที่สุดของแบรนด์ ที่ยังดำเนินสายการผลิตอยู่ และเป็นหนึ่งในรถประเภทคูเป้ ที่เก่าแก่ที่สุดในโลกอีกด้วย
รัก
xoxo