นาฬิกาน่าลงทุน (Investment Watch) คือการเลือกแบรนด์นาฬิกาสุดหรูที่มีมากมายหลายแบรนด์ มาจัดอันดับมูลค่าทางการตลาดในการซื้อขาย โดยในปัจจุบัน คำจำกัดความของคำว่า “นาฬิกา” นั้น ไม่ได้เป็นเพียงแค่เครื่องบอกเวลาอีกต่อไป แต่มันยังถือเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงรสนิยม เป็นเครื่องประดับที่ช่วยส่งเสริมบุคลิกให้กับผู้เป็นเจ้าของได้อีกด้วย
คุณรู้หรือไม่ว่า? การได้เป็นเจ้าของนาฬิกาแบ รนด์หรูสักเรือนถือได้ว่าเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า เนื่องด้วยมูลค่าของนาฬิกาที่เพิ่มมากขึ้นทุกวันๆ ซึ่งวันนี้เราจะพาคุณไปรู้จักกับนาฬิกาสุดหรู 5 รุ่นสุดคลาสสิค ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่นักลงทุน เพื่อประกอบการตัดสินใจก่อนลงทุนเป็นเจ้าของนาฬิกาสุดหรูสักเรือน
1. Patek Philippe Nautilus
Patek Philippe Nautilus (ปาเต็ก ฟิลีปป์ นอติลุส) ออกแบบโดย เจอรัล เจนต้า (Gerald Genta) ดีไซเนอร์นาฬิกา เจ้าของผลงาน นาฬิการุ่น Royal Oak อันโด่งดังจากแบรนด์ Audemars Piguet นาฬิกา Nautilus ได้แรงบันดาลใจในการออกแบบหน้าปัดมาจากรูปทรงของหน้าต่างใต้ท้องเรือ ในส่วนของชื่อรุ่นได้มาจากนวนิยายของ Jules Verne ชื่อเรื่อง “Twenty Thousand Leagues Under the Sea” ซึ่งชื่อ Nautilus คือชื่อของเรือดำน้ำที่กัปตัน Nemo ใช้
Nautilus รุ่นดั้งเดิม ได้เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1976 โดยใช้รหัสรุ่น 3700/1 ผลิตจากวัสดุ Stainless Steel รุ่นนี้ได้รับการขนานนามว่า “Jumbo” ด้วยขนาดที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 42 มิลลิเมตร ซึ่งถือว่าใหญ่มาก อีกทั้งยังตัวเรือนมีขนาดที่บางมาก ซึ่งสามารถวัดได้เพียง 7.60 มิลลิเมตรเท่านั้น ราคาขายเริ่มต้นในขณะนั้นราวๆ US$3,100 หรือประมาณ 99,410 บาท
ในปี ค.ศ. 2016 ทาง Patek ได้มีการเปิดตัวนาฬิการุ่น Nautilus 5711/1P ราคาเปิดตัวที่ US$113,400 หรือ 3,930,000 บาท ในวัสดุแพลตตินั่ม (Platinum) และ Nautilus 5796/1G ราคา US$96,390 หรือ 3,340,000 บาท ใช้วัสดุทองคำขาว (White Gold) เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ 40 ปีของนาฬิการุ่นนี้ ซึ่งถือว่าเป็นรุ่นที่หายากมาก และเลิกผลิตไปแล้วในปัจจุบัน
และล่าสุดในปี ค.ศ. 2019 ได้เปิดตัว Nautilus 5726/1A Annual Calendar หน้าปัดเป็นร่องลูกฟูกสีน้ำเงินเข้ม ซึ่งถือว่าเป็นเอกลักษณ์ดั้งเดิมของรุ่น Nautilus เข็มและมาร์กเกอร์ทำจาก ทองคำขาว 18k ใช้กลไกขึ้นลานอัตโนมัติ cal.324s + Annual Calendar Module และพระจันทร์บอกข้างขึ้นข้างแรม ลานสำรองสูงสุด 45 ชั่วโมง ขัดแต่งอย่างสวยงามตามมาตรฐาน PP seal (Patek Philippe Seal มาตรฐานของแบรนด์) ราคาในปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 1,471,400 บาท
Nautilus ถือว่าเป็นนาฬิกาแนวสปอร์ตสุดคลาสสิคที่รวมเอาความแตกต่างของดีไซน์ที่หรูหรา กำยำ ผสมผสานกับเหล็กอันทนทาน และฝีมือการผลิตนาฬิกาอันแสนปราณีต ที่ได้รับการสืบทอดมาหลายชั่วอายุคน แม้จะมีการปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นการใช้งานให้ทันสมัยอยู่เสมอ แต่ Patek Philippe ยังคงรักษาเอกลักษณ์ของ Nautilus เอาไว้อย่างชัดเจน และยังคงเป็นที่สนใจของนักสะสมทั่วโลก
สำหรับรุ่นที่ได้รับความนิยมในการซื้อขายลงทุนมากที่สุดคือรุ่น Nautilus 5711/1A ที่มีราคาเพิ่มสูงขึ้นทุกปี อีกรุ่นที่น่าจับตามองคือ Nautilus 5712R Rose Gold 18k และ Nautilus รุ่น 7118/1A เป็นนาฬิกาที่ออกแบบมาสำหรับผู้หญิงโดยเฉพาะ หรือหากคุณเป็นผู้ชายข้อมือเล็กๆ ก็สามารถสวมใส่ได้ด้วยเช่นกัน ด้วยขนาด 35.2 มิลลิเมตร โดยมีหน้าปัดทั้งหมด 3 สีได้แก่ หน้าปัดสีน้ำเงิน (Blue Opaline) รหัส 7118-1A-001 หน้าปัดสีเงิน (Silvery Opaline) รหัส 7118-1A-010 และหน้าปัดสีเทา (Smoke Gray) รหัส 7118-1A-011 ซึ่งมีราคาสูงมากในกลุ่มของนักสะสมในปัจจุบัน
2. Patek Philippe Aquanaut
Patek Philippe Aquanaut (ปาเต็ก ฟิลีปป์ อควานอต) เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1997 ที่งานบาเซิล โดยใช้รหัสรุ่น 5060A ตัวเรือนเป็น Stainless Steel กลไกอัตโนมัติ ขนาด 35.6 มิลลิเมตร มีคุณสมบัติกันน้ำลึกได้ถึง 120 เมตร ออกแบบมาเป็นนาฬิกาสำหรับผู้ชาย โดยตั้งใจให้เป็นทางเลือกให้กับคนรุ่นใหม่ในยุคนั้น ซึ่งอยากได้นาฬิกาสไตล์สปอร์ต แต่ดูหรูหรา และดูอ่อนวัยกว่านาฬิกาจากตระกูล Nautilus ที่ออกจำหน่ายก่อนหน้านั้น
สำหรับรุ่นที่ได้รับความนิยม ควรค่าแก่การลงทุนได้แก่ รุ่น 5168G ซึ่งผลิตออกมาเพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 20 ปี ของนาฬิการุ่นนี้ ตัวเรือนทำจากทองคำขาว ราคาขายปัจจุบันอยู่ที่ 1,800,000 – 2,000,000 บาท หรือ รุ่น Aquanaut Luce 5067A ที่ตัวเรือนทำจากสตีล ประดับเพชรเรียงรายที่ขอบตัวเรือนและใช้กลไกควอตซ์ และ รุ่น 5167A นาฬิกาแบรนด์เนมสุดฮิตที่โดดเด่นด้วยการออกแบบอย่างประณีต เรียบหรู เป็นต้น
Aquanaut เป็นนาฬิกาสปอร์ตสไตล์ลำลอง ที่มาพร้อมกับความเรียบหรู ด้วยเส้นผ่าศูนย์กลางเพียง 40-44 มิลลิเมตร ภายใต้การออกแบบที่สะท้อนเอกลักษณ์ของแบรนด์ได้อย่างชัดเจน นักสะสมนาฬิกาทั้งในและต่างประเทศต่างยกย่องว่า Aquanaut ติดอันดับนาฬิกาที่คู่ควรต่อการลงทุนมากที่สุดรุ่นหนึ่งของโลก
3. Rolex Daytona
นาฬิกา Cosmograph Daytona เปิดตัวครั้งแรกในปี ค.ศ.1963 ในรหัส ref. 6239 นาฬิกาที่ขึ้นชื่อว่าเป็นตำนานของ Rolex หรือ ราชาของนาฬิกาสปอร์ต (King of Rolex Sport) เป็นนาฬิกาจับเวลาที่เดินด้วยกลไกขึ้นลานอัตโนมัติของ Rolex โดยชื่อรุ่นมีที่มาจากการแข่งขันรถยนต์ Daytona Continental ที่สนาม Daytona International Speedway ซึ่งทาง Rolex เป็นผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการในการแข่งขันในครั้งนั้น ราคาเปิดตัวในขณะนั้นอยู่ที่ US$210 รวมภาษี หรือประมาณ 6,731 บาท
ราคาในตลาดซื้อขายมือ 2 ของนาฬิการุ่นนี้ ยังมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นกว่าราคาของนาฬิกามือหนึ่ง โดยคิดเป็นอัตราผลตอบแทนจะอยู่ที่ประมาณ 13.08% ต่อปี วัดจากข้อมูลซื้อขายตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1994 ถึง ปี ค.ศ.2017 ในส่วนของนาฬิกา Daytona ที่มีชื่อเสียงที่สุดในประวัติศาสตร์ของแบรนด์ คือ Rolex Cosmograph Daytona Paul Newman’s Paul Newman ซึ่งมีการนำออกมาประมูลขายได้ในราคา 17.8 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 579 ล้านบาท
แท้ที่จริงแล้ว นาฬิการุ่นนี้มีชื่อเรียกว่า Rolex Daytona ที่มีหน้าปัดแบบ Exotic Dial ส่วนชื่อเรียก “Paul Newman” ที่นำมาใช้เรียกติดปากกับนาฬิการุ่นนี้ มีที่มาจาก นักแสดงชายชื่อดังนามว่า พอล นิวแมน (Paul Newman) ที่หันมาเอาดีในด้านกีฬาการแข่งรถ โดยนาฬิกาที่เค้าสวมใส่ลงแข่งเป็นประจำก็คือ Rolex Daytona Exotic Dial นั่นเอง ในช่วงปี 1970 นั้น พอล นิวแมน (Paul Newman) ถือได้ว่าเป็น Icon ของบรรดาเหล่าคุณผู้ชายแห่งยุคเลยก็ว่าได้ เพราะไม่ว่าจะหยิบจับอะไรมาใส่ก็ดูดีมีสไตล์ไปเสียหมด นี่จึงเป็นที่มาของชื่อเรียกนาฬิกาในตำนานเรือนนี้นั่นเอง
ชื่ออย่างเป็นทางการของนาฬิการุ่นนี้ในปัจจุบันคือ Oyster Perpetual Cosmograph Daytona ตัวเรือนทำจาก Stainless Steel ทุกเรือน คุณสมบัติทนทานสูง สามารถกันน้ำได้ เป็นนาฬิกาที่มีระบบจับเวลาที่มีความเที่ยงตรงแม่นยำสูง และมีสเกล Tachymeter (มาตรวัดความเร็ว) บนขอบหน้าปัดเพื่อคำนวณความเร็วเฉลี่ย จึงไม่แปลกใจเลยที่นาฬิกา DAYTONA จะเป็นสัญลักษณ์ของการแข่งรถมาจนถึงปัจจุบัน
สำหรับราคาขายของ Rolex Cosmograph Daytona รหัสรุ่น 116520 ในปี 2015 อยู่ที่ 351,416 บาท ราคาขายในปี 2019 อยู่ที่ 782,629 บาท อัตราผลตอบแทนเพิ่มขึ้นสูงถึง 122%
4. Rolex Submariner
Rolex Submariner เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1953 เป็นนาฬิกาเรือนแรกที่สามารถกันน้ำที่ระดับความลึก 100 เมตร (330 ฟุต) นับเป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ และยังถือเป็นตัวกำหนดมาตรฐานให้กับนาฬิกาสำหรับใช้ในการดำน้ำ รวมทั้งเป็นจุดพลิกโฉมครั้งสำคัญในวงการนาฬิกา
ด้วยชื่อเสียงด้านความทนทาน รวมถึงขอบหน้าปัดหมุนได้ ที่ทำจาก Cerachrom (เซรามิคชนิดหนึ่ง) ซึ่งมีคุณสมบัติสามารถป้องกันรอยขีดข่วนและป้องกันคลอรีนได้ อีกทั้งเป็นรุ่นที่นักแสดงชื่อดังอย่าง สตีฟ แม็กควีน (Steve McQueen) เลือกสวมใส่ จึงทำให้นาฬิกา Rolex รุ่น Submariner กลายเป็นนาฬิกาหนึ่งในรุ่นที่มีชื่อเสียงที่สุด และมีราคาที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ด้วยตัวเรือนนาฬิกาที่ได้รับการดีไซน์ใหม่ หน้าปัดที่โดดเด่นด้วยเข็มแสดงชั่วโมงขนาดใหญ่และเรืองแสงได้ ขอบหน้าปัด Cerachrom แบบหมุนได้ และสายนาฬิกา Oyster (โลหะที่แข็งแกร่ง) มีข้อต่อแข็ง คุณสมบัติสุดยอดทั้งหมดนี้ ทำให้นาฬิการุ่น Submariner และ Submariner Date รุ่นล่าสุดยังคงความคลาสสิคของนาฬิการุ่นดั้งเดิมที่เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1953 เอาไว้อย่างงดงาม (ความแตกต่างระหว่าง รุ่น Submariner ref. 114060 จะไม่มีวันที่แสดงบนหน้าปัด และ Submariner Date ref. 116610 จะมีวันที่แสดงผ่านหน้าปัดในตำแหน่ง 3 นาฬิกา)
สำหรับในด้านการลงทุน ตั้งแต่เริ่มวางจำหน่ายมาใน ปี ค.ศ.1953 นาฬิการุ่นนี้ก็มีราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยจากข้อมูลราคาของ Rolex Submariner Date (40MM Black Dial with Stainless Steel Oyster Bracalet) ตั้งแต่ปีค.ศ. 2000-2019 มีราคาเพิ่มขึ้นจากประมาณ 89,000 บาท เป็น 302,000 บาท ซึ่งคิดเป็นอัตราผลตอบแทนประมาณ 12.59% ต่อปี
นับตั้งแต่เปิดตัวเป็นต้นมา Submariner ได้รับการพัฒนาประสิทธิภาพด้านกลไกการทำงาน รวมถึงการเพิ่มคุณสมบัติต่างๆ มากมายอย่างต่อเนื่อง เป็นการบุกเบิกนาฬิกาเรือนแรกสำหรับนักดำน้ำอย่างแท้จริง และได้กลายมาเป็นมาตรฐานของนาฬิกาที่ใช้สำหรับดำน้ำในยุคต่อๆ มา
อีกรุ่นที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน นั่นก็คือ Rolex Submariner Date รหัสรุ่น 116610LV หรือชื่อเรียกที่คุ้นหูว่า “Hulk” ยักษ์เขียวแห่ง Rolex เปิดตัวครั้งแรกที่งาน Baselworld เมื่อปี ค.ศ. 2010 แทนที่รุ่นเดิมที่เป็นหน้าดำขอบเขียว (Submariner 50th Anniversary) เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปในเรื่องของความแข็งแรง ทนทาน คุณลักษณะพิเศษและความโดดเด่น มาพร้อมกับขอบหน้าปัด Cerachrom สีเขียวหุ้มข้อหนา และหน้าปัด สีเขียว ที่มีมาร์คเกอร์ชั่วโมงเรืองแสงขนาดใหญ่
หน้าปัดพร้อมจอแสดง Chromalight เป็นนวัตกรรมที่ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นตัวช่วยเพิ่มการมองเห็นในสภาพแวดล้อมอันมืดมิดใต้น้ำซึ่งเป็นคุณสมบัติหลักสำคัญในนาฬิกาสำหรับนักดำน้ำ ตัวเรือนขนาด 40 มิลลิเมตร เข็มแสดงชั่วโมงในรูปทรงที่เรียบง่าย เช่น สามเหลี่ยม วงกลม สี่เหลี่ยม รวมถึงเข็มแสดงชั่วโมงและนาทีที่กว้าง ซึ่งจะช่วยให้ทำการอ่านเวลาได้ทันที และสามารถเชื่อถือได้เพื่อป้องกันความสับสนขณะอยู่ใต้น้ำ ซึ่งนาฬิการุ่นนี้ สามารถใช้การในน้ำลึกได้สูงสุดถึง 300 เมตร โดยไม่สูญเสียความสามารถในการทำงาน
ราคาหน้า Website สำหรับ Rolex Submariner Date รหัสรุ่น 116610LV หรือ Rolex Hulk รุ่นนี้ อยู่ที่ 320,900 บาท ราคาที่มีการซื้อขายกัน ณ รายงานปี 2015 อยู่ที่ 320,000 บาท ราคาขายปัจจุบันจากรายงานปี 2019 อยู่ที่ 497,840 บาท คิดเป็นอัตรผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้น 55.5%
5. Rolex GMT Master
Rolex GMT Master II รหัสรุ่น 16710 BLRO เปิดตัวครั้งแรกใน ปี ค.ศ. 1955 หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ “Rolex Pepsi” โดยเริ่มแรกถูกพัฒนาเพื่อให้เป็นอุปกรณ์นำทางสำหรับนักบินโดยเฉพาะ เป็นอีกหนึ่งรุ่นคลาสสิคจากแบรนด์ Rolex ที่มีมูลค่าสูงขึ้นเรื่อยๆ เป็นนาฬิการรุ่นที่ถูกใช้อย่างเป็นทางการโดยสายการบินระดับโลกอย่าง Pan American World Airways หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า Pan Am ซึ่งเป็นสายการบินระหว่างทวีปที่มีชื่อเสียงของอเมริกาในขณะนั้น ด้วยคุณสมบัติพิเศษ คือ มีหน้าปัดสองสี ซึ่งแสดงถึงช่วงกลางวันและกลางคืน สามารถเห็นได้ชัดในที่มืด และอ่านเวลาของ 2 ประเทศพร้อมกันได้
สำหรับชื่อเรียก Pepsi มีที่มาจากหน้าปัด ที่ถูกออกแบบเป็นคู่สีน้ำเงิน-แดง คล้ายกับโลโก้ของเครื่องดื่มน้ำอัดลมชื่อดังยี่ห้อหนึ่ง จึงเป็นที่มาของชื่อเรียกอย่างไม่เป็นทางการนี้ ปัจจุบัน มีการพัฒนานาฬิการุ่นนี้ขึ้นใหม่ ภายใต้รหัสรุ่น 116719 BLRO ซึ่งมีรายละเอียดปลีกย่อยเพิ่มเติมจากรุ่นดั้งเดิมเล็กน้อย สำหรับราคาของ GMT-Master II “Pepsi” ref. 16710 รุ่นดั้งเดิมนี้ ราคาเมื่อปี 2015 อยู่ที่ 48,000 บาท ราคาขายในปี 2019 อยู่ที่ 360,127 บาท คิดเป็นอัตราผลตอบแทนเพิ่มขึ้น 45.2%
ใน ปี ค.ศ. 1982 ได้มีการเปิดตัว GMT Master II รหัสรุ่น 16710T หรือที่รู้จักกันในนาม “Rolex Coke” ซึ่งเป็นมรดกตกทอดสืบจากรุ่นแรก แต่เพิ่มเติมด้วยระบบกลไลการทำงานแบบใหม่ ที่ง่ายต่อการใช้งานมากขึ้น จุดเด่นของนาฬิการุ่นนี้ อยู่ที่ขอบนาฬิกาซึ่งแสดงเป็น 2 สี ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่สามารถจดจำได้ทันทีตั้งแต่แรกเห็น ขอบหน้าปัดหมุนได้สองทิศทางประกอบด้วยขอบหน้าปัด Cerachrom แสดงเวลา 24 ชั่วโมง ผลิตจากเซรามิกที่แข็งเป็นพิเศษด้วยกระบวนการพัฒนาชั้นเลิศโดย Rolex ปัจจุบัน นาฬิการุ่นนี้ไม่มีขายทางหน้าเว๊ปแล้ว ราคาซื้อขายมือ 2 อยู่ที่ประมาณ 600,000 บาท
สำหรับ Rolex GMT-Master II รหัสรุ่น 126711 CHNR นั้น มีชื่อเรียกเป็นที่รู้จักในแวดวงนักเล่นนาฬิกาว่า “Rolex RootBeer” นาฬิการุ่นนี้มาพร้อมกับหน้าปัดขนาด 40 มิลลิเมตร สีดำ และขอบหน้าปัด Cerachrom สีน้ำตาลและสีดำ ที่มีความคล้ายคลึงกับเครื่องดื่มโซดาที่เป็นที่นิยม ซึ่งนั่นก็คือที่มาของชื่อในวงการ ออกแบบมาเพื่ออ่านเวลาในสองเขตเวลาได้โดยพร้อมกันสำหรับการเดินทางต่างประเทศข้ามเขตเวลา
ด้วยจุดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์ ทำให้นาฬิการุ่นนี้มีมูลค่าสูงขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่เริ่มผลิตออกมา โดยจากข้อมูลราคาของ Rolex GMT-Master II 126711 ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2018 – 2019 ราคาของนาฬิการุ่นนี้ได้เพิ่มขึ้นจากประมาณ 464,000 บาท เป็น 499,000 บาท ซึ่งคิดเป็นอัตราผลตอบแทนที่สูงถึงประมาณ 7.54 % ต่อปี
อีกรุ่นหนึ่งที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน นั่นก็คือ Rolex GMT Master II รหัสรุ่น 116710 BLNR หรือเป็นที่รู้จักโดยทั่วไปว่า “Rolex Batman” เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 2013 มาพร้อมกับหน้าปัดดำ ตัดสลับกับน้ำเงิน ขนาด 40 มิลลิเมตร มาร์กเกอร์ชั่วโมงทำจากทองคำขาว 18k สายข้อมือ Oyster ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก จนถึงปี 2019 ได้มีประกาศอย่างเป็นทางการจาก Rolex ถึงการยกเลิกผลิตนาฬิการุ่นนี้ และได้เปิดตัวรุ่นใหม่ในงาน Baselworld 2019 ภายใต้รหัส 126710 BLNR
ราคาเปิดตัว 317,000 บาท ราคาซื้อขาย ณ เดือนกุมภาพันธ์ ปี 2019 อยู่ที่ 410,000 บาท ปัจจุบันราคาซื้อขายที่ได้รับการบันทึกไว้ล่าสุดเมื่อเดือนเมษายน 2019 อยู่ที่ประมาณ 450,000-500,000 บาท
GMT Master II ถูกผลิตขึ้นมาในจำนวนจำกัด ด้วยคุณสมบัติของนาฬิกาที่น่าสนใจไม่ว่าจะเป็นตัวเรือนที่ทำจาก Oyster steel หน้าปัดที่ทำจากทองคำ 18 กะรัต สายนาฬิกาแบบข้อต่อห้าชิ้นแบบ Jubilee กลไกการทำงานที่เรียกว่า Calibre 3285 อันเป็นกลไกการทำงานรุ่นใหม่ที่ได้รับการพัฒนาและผลิตขึ้นโดย Rolex แต่เพียงผู้เดียว อันมีความเที่ยงตรงสูง รวมไปถึงมีความทนทานต่อแรงกระแทกและสนามแม่เหล็ก ขอบนาฬิกาที่แสดงเวลาได้ 24 ชั่วโมงแบบหมุนได้ ทำให้นาฬิการุ่นนี้ได้รับความนิยมจากดารา เซเลบริตี้ผู้มีชื่อเสียงมากมาย
นาฬิกาแบรนด์เนม เป็นหนึ่งในทรัพย์สินมีค่าที่น่าหลงไหล อีกทั้งยังเป็นสินทรัพย์ที่น่าลงทุนอย่างมาก ด้วยราคาเฉลี่ยที่เพิ่มสูงมากขึ้นทุกปี จากความต้องการของนักสะสมทั่วโลก ถ้าเปรียบกระเป๋าแบรนด์เนมเป็นเสมือนสิ่งจำเป็นของสาวๆ นาฬิกาหรูสักเรือนก็ถือได้ว่าเป็นของจำเป็นสำหรับหนุ่มๆ นักลงทุนด้วยเช่นกัน ถึงแม้ว่าราคาแต่ละรุ่นจะมีแนวโน้มที่เพิ่มสูงขึ้น แต่โปรดจำไว้ว่า ทุกการลงทุนคือความเสี่ยง เพราะฉะนั้น ควรศึกษาข้อมูลอย่างถี่ถ้วนก่อนการลงทุนทุกครั้ง