To top
2 Feb

Coco Chanel กับศาสตร์ลึกลับ ทำไมต้องหมายเลข 5

Coco Chanel กับศาสตร์ลึกลับ ทำไมต้องหมายเลข 5 Gabrielle Chanel ถือได้ว่าเป็นบุคคลหนึ่ง ซึ่งเชื่อถือในเรื่องของโชคลางเป็นอย่างมาก โดยในทุก ๆ ชีวประวัติของเธอรวมถึงผลงานต่าง ๆ ที่เธอสร้างสรรค์จะปรากฏแทรกความหมายอันลึกซึ้งเสมอ เธอหมกมุ่นอยู่กับศาสตร์ตัวเลขทุกรูปแบบ โดยชาแนลมีหมายเลขโปรดของเธอและรู้ว่าจะใช้หมายเลขเหล่านี้อย่างไรเพื่อสร้างประวัติศาสตร์ให้กับแบรนด์ และเลข 5 คือหมายเลขนำโชคของเธอ

ในบทความนี้ จะเจาะลึกความสำคัญของหมายเลข 5 กับ Gabrielle Chanel ซึ่งนอกจากจะเป็นหมายเลขโปรดของเธอแล้ว เบื้องหลัง ความเป็นมาของหมายเลข 5 นำโชคนี้ ทำไมถึงได้ชื่อว่า Lucky Number 5 รวมถึงความสัมพันธ์และความสำคัญของหมายเลขกับมาดมัวแซล ซึ่งถือได้ว่าเป็นหนึ่งหมายเลขที่ทรงอิทธิพลที่สุดในวงการแฟชั่น KATEXOXO จะพาไปสัมผัสถึงความจริงทั้งหมดพร้อมกัน

 

Early life of Gabrielle Chanel

Chanel เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่โดดเด่นที่สุดในประวัติศาสตร์แฟชั่น และนับตั้งแต่ Coco (Gabrielle) Chanel ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1909 แต่ไม่ใช่ทุกคนที่รู้ว่าเลข 5 มีความสำคัญต่อตำนานแฟชั่นที่เชื่อโชคลางอย่างชาแนลมากเพียงใด

Gabrielle Bonheur Chanel เกิดเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2426 เธอมาจากพื้นเพที่เรียบง่าย แม่ของเธอทำงานรับจ้างซักผ้า และพ่อของเธอเป็นพ่อค้าขายของริมถนน Chanel คลุกคลีอยู่ในโลกของเสื้อผ้าตั้งแต่อายุยังน้อย เนื่องจากพ่อของเธอขายเสื้อผ้าทำงานและชุดชั้นในบนแผงขายของเขา

แต่เมื่ออายุได้ 12 ปี หลังจากการเสียชีวิตอันน่าเศร้าของมารดา กาเบรียลถูกส่งไปยังสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าคอนแวนต์ Aubazine ซึ่งก่อตั้งโดยซิสเตอร์เชียนในศตวรรษที่ 12 และตั้งอยู่ในเขตนูแวล-อากีแตน ทางตอนกลางของฝรั่งเศส แม่ชีในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามีวิถีชีวิตที่เคร่งครัดมาก และกาเบรียลไม่พบว่าการใช้ชีวิตที่นั่นง่ายเลย ทุกวันตลอดหกปี เธอจะต้องข้ามเส้นทางต่าง ๆ ที่นำไปสู่มหาวิหารเพื่อสวดมนต์ทุกวัน หินในเส้นทางเหล่านี้ถูกจัดกลุ่มเป็น 5 กลุ่ม ซึ่งทำให้จำนวนนี้มีความหมาย

เนื่องจากเส้นทางเหล่านี้นำไปสู่คำอธิษฐานอันศักดิ์สิทธิ์ หมายเลข 5 จึงเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์สำหรับชาแนล ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของน้ำหอมที่เธอจะพัฒนาต่อไปในภายหลัง

 

The Power of Number 5

หมายเลข 5 ปรากฏขึ้นในตำนานของชาแนลเป็นครั้งแรก ในปี ค.ศ. 1921 บนผลิตภัณฑ์น้ำหอม Chanel Number 5 เมื่อชาแนลร่วมมือกับ Ernest Beaux (เออร์เนสต์ โบซ์) นักปรุงน้ำหอมชื่อดัง เพื่อรังสรรค์น้ำหอม ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของหญิงสาวได้อย่างแท้จริง ซึ่งเออร์เนสต์ได้ทำการปรุงน้ำหอมออกมาหลายกลิ่น โดยแบ่งเป็นหมายเลข และหมายเลขที่ได้รับเลือกจากชาแนลก็คือ สูตรน้ำหอมหมายเลข 5 จนเป็นที่มาของผลิตภัณฑ์น้ำหอม Chanel №5 ซึ่งโด่งดังระดับโลกมาจนถึงปัจจุบัน

ชาแนลบอกกับนักปรุงน้ำหอมอย่าง Beaux ว่าเหตุผลหลักที่เธอตั้งชื่อน้ำหอมของเธอตามเลขห้า คือความเชื่อที่ว่าสิ่งนี้จะนำความโชคดีมาให้ โดยเธอกล่าวว่า “ฉันนำเสนอคอลเล็กชั่นเสื้อผ้าของฉันในวันที่ 5 พฤษภาคม เดือนที่ 5 ของปี ดังนั้นเราจะปล่อยให้ตัวอย่างหมายเลข 5 นี้คงชื่อเดิมไว้ ซึ่งจะนำความโชคดีมาให้”

เมื่อพิจารณาจากความสำเร็จของเธอแล้ว รวมถึงความเชื่อในด้านโชคลางของเธอ ความปรารถนาของชาแนลก็เป็นจริง เธอออกน้ำหอมที่ประสบความสำเร็จอีกสี่รุ่นในช่วงปี ค.ศ. 1920 และเมื่อชื่อเสียงของเธอถึงจุดสูงสุดในปี ค.ศ. 1935 ชาแนลจ้างคนงาน 4,000 คนและเป็นเจ้าของบูติกห้าแห่งที่ Rue Cambon ในปารีส

Chanel №5

Chanel №5

ด้วยความคิดแปลกแนวไม่เหมือนใคร เธอชอบทำทุกอย่างที่เธอต้องการด้วยวิธีพิเศษของเธอเองอย่างที่ไม่มีใครเคยทำมาก่อน จากการผลิตน้ำหอมแห่งประวัติศาสตร์ มาถึงการปฏิวัติวงการแฟชั่นกระเป๋าถือ ซึ่งแฟชั่นกระเป๋าถือในขณะนั้น ยังไม่มีสายสะพายข้างอย่างปัจจุบัน โดยส่วนมากจะเป็นกระเป๋าถือ ซึ่งทำให้ไม่สะดวกในการหยิบจับ โดยเฉพาะเมื่อเธอเป็นคนชอบสูบบุหรี่ การที่มือข้างนึงต้องพะว้าพะวงในการถือกระเป๋าและอีกมือสูบบุหรี่ จึงเป็นอะไรที่รบกวนจิตใจของชาแนลเป็นอย่างมาก

เธอไม่ชอบสไตล์เรติเคิลและมิโนเดียร์ที่แพร่หลายในเวลานั้น ซึ่งต้องถือกระเป๋าไว้ในมือ ในฐานะผู้ชื่นชอบทุกสิ่งที่ทันสมัยและก้าวหน้าซึ่งช่วยให้ผู้หญิงมีอิสระและทำให้พวกเธอเคลื่อนไหวได้มากขึ้น เธอจึงต้องการให้มือของเธอมีอิสระเช่นกัน โดยในช่วงปี ค.ศ. 1920 ชาแนลมีความคิดที่จะเพิ่มเติมสายสะพายไหล่ให้กับกระเป๋า เพื่อเพิ่มความคล่องตัว แต่ความคิดของเธอก็ต้องมีอันสะดุด เนื่องจากเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 การยึดครองปารีสและแฟชั่นเฮ้าส์ชาแนลต้องปิดทำการชั่วคราว

ชาแนล กลับมาปารีสอีกครั้งในปี ค.ศ. 1953 และดำเนินกิจการบูทีคต่อไป โดยดำเนินการจัดแสดงคอลเล็กชั่นที่ได้รับการออกแบบอย่างเรียบง่าย ไม่หวือหวา ในขณะที่แฟชั่นลวดลายฉูดฉาดจาก DIOR นขณะนั้นกำลังได้รับความนิยมอย่างสูง คอลเล็กชั่นเรียบง่ายของเธอ จงไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร นั่นทำให้เธอได้หวนคิดถึงไอเดียในการเพิ่มสายสะพายให้กระเป๋าถือ และนำความคิดดังกล่าว มาสร้างสรรค์ให้มันเป็นจริง

ด้วยอัจฉริยะด้านการตลาดที่คิดค้นวิธีการทางการตลาดสมัยใหม่ของชาแนล ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 1955 กระเป๋าสี่เหลี่ยมผืนผ้าซึ่งถูกตัดเย็บด้วยลายขนมเปียกปูนตลอดทั้งใบ พร้อมสายสะพายโซ่ ได้ปรากฏสู่สายตาชาวโลกเป็นครั้งแรก ที่ร้านบูทีคของชาแนล บนถนน Rue Cambon โดยตั้งชื่อมันว่า “Chanel 2.55” ซึ่งมีความหมายคือวันเปิดตัวของกระเป๋ารุ่นนี้นั่นเอง (เลข 2 คือเดือนกุมภาพันธ์ และ 55 คือปี ค.ศ. 1955)

Chanel 2.55 ในช่วงปี 1960s

Chanel 2.55 ในช่วงปี 1960s

เป็นอีกครั้งที่ หมายเลข “5” หมายเลขโปรดของเธอนำโชคมาให้เธอ ด้วยตัวกระเป๋า 2.55 ถูกตัดเย็บด้วยวัสดุหนังที่มีความนิ่ม แตกต่างจากกระเป๋าแบรนด์อื่นในท้องตลาดขณะนั้น ซึ่งมักจะแข็ง ภายในของกระเป๋ายังสามารถจุของได้มากมาย จุดเด่นคือสายสะพายโซ่ที่เพิ่มเติมขึ้นมา เพื่ออิสรภาพในการเคลื่อนไหว โดยสามารถสะพายได้ทั้ง 2 แบบคือสะพายไหล่หรือสะพายแบบ Crossbody

สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่ายุคของกระเป๋าที่เป็น Iconic Bag ยังไม่ถือกำเนิด ในช่วงเวลานั้นยังไม่มี Kelly ไม่มี Birkin และไม่มี Lady Dior ซึ่งแม้แต่หลุยส์ วิตตองและกุชชี่เอง ก็ยังห่างไกลจากสิ่งที่พวกเขาจะกลายเป็นในอีกสิบปีข้างหน้า อันที่จริงแล้ว ชาแนลเป็นคนคิดไอเดียของ ‘it-bag’ เอง และนำออกสู่ตลาดด้วยการตลาดที่เฉียบแหลม ชาแนลเป็นผู้สร้างสินค้าซึ่งตอนนี้นำรายได้ส่วนใหญ่มาสู่แบรนด์หรู

นอกจากนี้ Chanel ยังเป็นหนึ่งในกลุ่มแรก ๆ ที่ใช้เครื่องมือการตลาดสมัยใหม่ที่ทรงพลังที่สุดชิ้นหนึ่ง นั่นคือการนำสุภาพสตรีผู้มีชื่อเสียงหลายท่าน แต่งกายและใช้สินค้าของแบรนด์ รวมไปถึงการนำผลิตภัณฑ์ของเธอไปใช้เป็นส่วนหนึ่งของการแสดง เพื่อเป็นการโปรโมตแบรนด์ Chanel ไปในตัว

Audrey Hepburn กับกระเป๋าชาแนลหนังจระเข้ ใน "Breakfast at Tiffany's"

Audrey Hepburn กับกระเป๋าชาแนลหนังจระเข้ ใน “Breakfast at Tiffany’s”

ตัวอย่างของสุภาพสตรีผู้มีชื่อเสียงที่เปรียบเสมือนแบรนด์แอมบาสเดอร์ให้กับแบรนด์ชาแนล ไม่ว่าจะเป็นอดีตสตรีหมายเลข 1 อย่าง Jackie Kennedy ซึ่งถือกระเป๋าและสวมใส่เสื้อผ้าจากแบรนด์ชาแนลเป็นประจำ หรือการปรากฏของกระเป๋ารุ่น 2.55 ในภาพยนต์ “Breakfast at Tiffany’s” ซึ่งแสดงนำโดย Audrey Hepburn หรือแม้แต่ Elizabeth Taylor รวมถึงไอค่อนแฟชั่นแห่งยุค 90 อย่างเจ้าหญิงไดอาน่า ซึ่งทรงถือกระเป๋า 2.55 นี้ไปงานเลี้ยงต้อนรับอย่างเป็นทางการในช่วงต้นของการเสกสมรสกับเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์

เมื่อครั้ง Karl Lagerfeld ก้าวเข้ามาร่วมงานกับแบรนด์ชาแนล ในฐานะครีเอทีฟไดเรกเตอร์ ในปี ค.ศ. 1983 เขาเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงพลังและอิทธิพลของกระเป๋า 2.55 ที่สามารถเปลี่ยนโลกแฟชั่นได้ตลอดกาล เขาได้ทำการออกแบบโลโก้ CC ไขว้จนกลายมาเป็นเอกลักษณ์ภาพจำของชาแนลมาจนถึงทุกวันนี้

คาร์ล ได้นำความคลาสสิกของกระเป๋า 2.55 ไม่ว่าจะเป็นสายโซ่สะพาย ลวดลายข้าวหลามตัด มาเป็นต้นแบบในการออกแบบคอลเล็กชั่นต่าง ๆ มากมายอย่างต่อเนื่องในวัสดุที่หลากหลาย เป็นการเพิ่มมูลค่าและมนต์เสน่ห์ให้กับกระเป๋าจากชาแนล โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากกระเป๋าอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์

แน่นอนว่าจุดแข็งของกระเป๋า Chanel 2.55 นั้นไม่ได้อยู่ที่ดีไซน์การออกแบบเพียงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความจริงที่ว่ามันสามารภใช้งานได้หลากหลายอย่างเหลือเชื่อ และเข้ากันได้ดี กับทั้งกางเกงยีนส์ในวันสบาย ๆ หรือชุดสูทที่เป็นทางการ ไม่ว่าจะเป็นรองเท้าผ้าใบทะมัดทะแมง หรือกับส้นสูงคมกริบ ซึ่งจุดแข็งเหล่านี้ ทำให้เกิดคลื่นลูกใหม่สำหรับกระเป๋า Chanel 2.55 ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องมาทุกยุคทุกสมัย ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่แฟชั่นเริ่มต้นขึ้นในการผสมผสานแฟชั่นสไตล์ต่าง ๆ เข้าด้วยกัน

ในช่วงปี ค.ศ. 2012 มูลค่าของกระเป๋า 2.55 วินเทจยังมีราคาไม่สูงมากนัก ในตลาดซื้อขายแบรนด์เนมมือ 2 แต่ในปัจจุบัน ราคาของมันพุ่งขึ้นจนเกือบจะเทียบเท่าราคากระเป๋ามือหนึ่งในบูทีค เนื่องจากความนิยม ความหายาก และเรื่องราวของประวัติศาสตร์ ที่เพิ่มมูลค่าให้มันกลายเป็นที่ต้องการของเหล่าบรรดานักสะสม และสายแฟชั่นผู้ชื่นชอบและหลงใหลในความงามที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์

หมายเลข 5 เปรียบเสมือนเครื่องรางของชาแนล ด้วยความเชื่อที่ว่าเลข 5 จะนำโชคลาภมาให้ Coco มั่นใจในสิ่งนี้และเริ่มมีเลข 5 เป็นส่วนประกอบทุกที่ในชีวิตของเธอ ไม่ว่าจะเป็นในอพาร์ทเมนต์ของเธอ ไม่เว้นแม้แต่ระหว่างหยดโคมระย้าของเธอ การแสดงบนรันเวย์ของเธอมักจะเกิดขึ้นในวันที่ 5 กุมภาพันธ์และสิงหาคม Chanel n.5 เป็นน้ำหอมตัวแรกของเธอที่เปิดตัว และเธอยังเป็นคนแรกที่ตั้งชื่อน้ำหอมตามหมายเลข หรืออันที่จริงแล้วเป็นหมายเลขใดก็ได้

ทุกวันนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างชาแนลและหมายเลข 5 มีความเกี่ยวข้องกันอย่างแยกไม่ออก หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 และการถูกเนรเทศหลายครั้ง เธอกลับสู่วงการแฟชั่นด้วยการเปิดตัวน้ำหอม ในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1954 เป็นอีกครั้งที่เธอสามารถปฏิวัติวงการแฟชั่นและติดตามดาราที่มีชื่อเสียงที่สุดในยุคนั้น ความหลงใหลในศาสตร์แห่งตัวเลขของ Chanel ยังคงดำเนินต่อไป เป็นส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างโลกของผู้ชายและผู้หญิง ความเป็นอิสระในความคิดที่นำพาความสำเร็จและสร้างชื่อเสียงให้เธอจนเป็นตำนานถึงทุกวันนี้

รัก
xoxo

KATE