Chanel Mission 1.5 คือภารกิจ ที่ชาแนล ได้ริเริ่มขึ้น เมื่อเดือนมีนาคม ปี ค.ศ. 2020 ที่ผ่านมา มีจุดประสงค์เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศตามเป้าหมายสำคัญ ของข้อตกลงปารีส ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในปี ค.ศ. 2015 (2015 Paris Climate Agreement) เพื่อมุ่งเป้าไปที่การจำกัดอุณหภูมิเฉลี่ยของโลก ด้วยการพยายามควบคุมอุณหภูมิโลกให้เพิ่มขึ้นไม่เกิน 2 องศาเซลเซียส จากช่วงก่อนยุคอุตสาหกรรมให้ได้จนกว่าจะสิ้นศตวรรษนี้ ซึ่งเป้าหมายคือ 1.5 องศาเซลเซียส หากเป็นไปได้
ในปี ค.ศ. 2021 จะเป็นปีที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ เนื่องจากปัจจุบัน มีการคาดการณ์ว่าอุณหภูมิโลกจะทะลุไปถึง 1.5 องศาเซลเซียสภายในเวลา 12 ปี หรือเร็วกว่านั้น และจะแตะ 3 องศาเซลเซียส ภายในศตวรรษนี้ หลายประเทศต่างตื่นตัวกับการแก้ปัญหานี้ รวมถึงแบรนด์สินค้าต่าง ๆ ซึ่งชาแนล ก็เป็นอีกแบรนด์ที่ตระหนักถึงปัญหา และต้องการร่วมแก้ไข ร่วมเดินทางเพื่อเปลี่ยนแปลง ไปสู่โลกคาร์บอนต่ำในอนาคตพร้อมกันกับ ภารกิจ 1.5 จาก Chanel
Chanel Mission 1.5 : Chanel’s Climate Strategy
การประชุมใหญ่ของสหประชาชาติ เมื่อปี ค.ศ. 2015 ที่ประเทศฝรั่งเศส ว่าด้วยเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ มีความสำคัญยิ่ง เนื่องจากเป็นครั้งแรก ที่ทุกชาติในโลกหารือตกลงกันว่าทุกประเทศจำเป็นต้องตระหนักถึง ปัญหาภาวะโลกร้อนที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้น และจำเป็นต้องช่วยกันจัดการกับปัญหานี้ แต่ทว่า ผลการจัดการที่ได้ ยังห่างไกลจากเป้าหมายที่กำหนดไว้ในการประชุมครั้งนั้นมาก
ในการประชุมครั้งนั้น ประชาคมโลกเห็นชอบร่วมกันว่า ต้องหลีกเลี่ยงผลกระทบที่เลวร้ายที่สุดจากปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ด้วยการพยายามควบคุมอุณหภูมิโลกให้เพิ่มขึ้นไม่เกิน 2 องศาเซลเซียส จากช่วงก่อนยุคอุตสาหกรรมให้ได้จนกว่าจะสิ้นศตวรรษนี้ เป้าหมายคือ 1.5 องศาเซลเซียส หากเป็นไปได้ แต่ทว่าเหตุการณ์ต่าง ๆ มันไม่เป็นไปตามนั้น เนื่องจากมีการคาดการณ์ว่า อุณหภูมิโลกจะทะลุเพดาน 1.5 องศาเซลเซียสภายในเวลา 12 ปี หรือเร็วกว่านั้น และจะแตะ 3 องศาเซลเซียส ภายในศตวรรษนี้
ในช่วงปลายปี ค.ศ. 2019 Chanel ได้ลงนามในสนธิสัญญาแฟชั่น เป็นกลุ่มพันธมิตรที่มีชื่อเสียงของ บริษัทแฟชั่นชั้นนำ อันมุ่งมั่นที่จะร่วมกันปกป้องสิ่งแวดล้อม ซึ่งเมื่อเดือนมีนาคม ปี ค.ศ. 2020 ทางชาแนล ได้แถลงการณ์อย่างเป็นทางการ เกี่ยวกับเป้าหมายที่จะมุ่งมั่นในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยมีชื่อเรียกของภารกิจในครั้งนี้ว่า “Chanel Mission 1.5 °”
สำหรับภารกิจดังกล่าว มีจุดมุ่งหมายเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์หลายประการที่กำหนดโดยข้อตกลงสภาพภูมิอากาศของกรุงปารีสปี 2015 เพื่อจำกัด อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกที่เพิ่มขึ้นเป็น 1.5 องศาเซลเซียส ความคิดริเริ่มนี้เปิดตัวโดยแฟชั่นเฮาส์ชั้นนำของฝรั่งเศส อีกทั้งยังตอกย้ำความทะเยอทะยานของ Chanel ในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อีกด้วย ซึ่งนับว่าเป็นภารกิจอันท้าทายพอสมควร
WHERE IS CHANEL FOCUSING ACTION?
สิ่งแรกที่ทางชาแนลมุ่งมั่นและให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก คือการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ในการทำเช่นนี้ จะเป็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบธุรกิจ รวมถึงช่วยให้คู่ค้าพันธมิตรด้านธุรกิจดำเนินการไปในทิศทางเดียวกัน ช่วยเร่งการเปลี่ยนแปลงไปสู่โลกคาร์บอนที่ต่ำลงและอนาคตที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยสนับสนุนการริเริ่มโครงการต่าง ๆ ที่นอกเหนือจากการดำเนินงานของบริษัท ผ่านพันธสัญญาสองประการ : ลด (reduce) และเร่งให้เกิดขึ้น (accelerate)
เพื่อให้บรรลุมุ่งหมายดังกล่าว ทางชาแนลได้วางแนวทางเอาไว้ 4 ข้อหลัก ๆ ด้วยกัน เป็นการตั้งเป้าหมายเพื่อการพัฒนาและปรับปรุงสภาพสิ่งแวดล้อมในทศวรรษหน้า ซึ่งเป้าหมายหลักทั้ง 4 ข้อดังกล่าว มีจุดมุ่งหมายในการดำเนินการดังต่อไปนี้
1. ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในการดำเนินงานการผลิตของ Chanel ให้ลดลง 50% ภายในปี ค.ศ. 2023 เทียบเท่ากับการลดลง 66% ต่อหน่วยที่ขายได้และลดการปล่อยห่วงโซ่อุปทานลง 40% ต่อหน่วยที่ขายภายในปี 2030 เมื่อเทียบกับปีค.ศ. 2018 เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ ชาแนลจะดำเนินการจัดหาและการผลิตวัตถุดิบจากธรรมชาติ ซึ่งนั่นรวมไปถึงการจัดจำหน่ายและการขนส่ง ที่ต้องได้รับความร่วมมือจากตัวแทนจำหน่ายต่าง ๆ อีกด้วย
ผลกระทบที่เห็นได้เด่นชัดที่สุดคือมลภาวะที่เกิดจากการขนส่ง ที่ผ่านมา ทางชาแนลได้ลดการขนส่งผลิตภัณฑ์ทางอากาศ และเปลี่ยนไปสู่การขนส่งที่ยั่งยืนมากยิ่งขึ้น คือการขนส่งทางเรือ ตัวอย่างเช่น การขนส่งผลิตภัณฑ์เครื่องหอมรวมถึงผลิตภัณฑ์ความงามต่าง ๆ ที่จำหน่ายปลีกในสหรัฐอเมริกา ส่วนใหญ่ผลิตจากประเทศฝั่งยุโรป ซึ่งทางชาแนลต้องรับภาระในเรื่องการขนส่งทางอากาศ แต่ในระยะเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา ได้เปลี่ยนการขนส่งจากเดิมทางอากาศ มาเป็นทางเรือแทน
ในปี ค.ศ. 2016 จำนวน 55% ของผลิตภัณฑ์เหล่านี้ ถูกขนส่งทางเรือจากโรงงานผลิต ที่ตั้งอยู่ ณ เมือง Le Meux ประเทศฝรั่งเศส ไปยังศูนย์กระจายสินค้าที่เมือง Piscataway ประเทศสหรัฐอเมริกา และในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 2019 สัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 80% อีกทั้งในเมืองปารีสและมิลาน การขนส่งในประเทศจะใช้รถยนต์ไฟฟ้าเป็นหลัก รวมถึงเป้าหมายในการเปลี่ยนจากรถตู้เป็นรถไฟฟ้าในสหราชอาณาจักร ในอีก 2 ปีข้างหน้า เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการขนส่ง และการใช้ยานพาหนะที่ปล่อยมลพิษต่ำลง
2. เปลี่ยนเป็นไฟฟ้าหมุนเวียน 100% ทั่วโลกภายในปี ค.ศ. 2025 เนื่องจากต้นทุนพลังงานหมุนเวียนที่ลดลง จะเป็นการเปลี่ยนแปลงสมการของการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไปอย่างสิ้นเชิง ทางชาแนล ได้เข้าร่วมกลุ่มพันธมิตร RE100 ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีอิทธิพล มุ่งมั่นที่จะใช้พลังงานหมุนเวียนจากไฟฟ้าทั่วโลก โดยในปี ค.ศ. 2019 ชาแนลได้จัดหาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนไปแล้ว 41% และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 97% ภายในปี ค.ศ. 2021
ชาแนลเป็นเจ้าของโรงงานสำหรับการผลิตและการจัดจำหน่ายหลายแห่ง ซึ่งเป็นใบเบิกทางที่ดี ในการปรับปรุงคุณภาพของโครงสร้างอาคาร การออกแบบเพื่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงรองรับการใช้พลังงานหมุนเวียนได้อย่างเต็มที่ ซึ่งอาคารและสิ่งก่อสร้างได้รับการรับรองมาตรฐาน จากหน่วยงานที่เข้มงวดที่สุด เช่น LEED (Leadership in Energy and Environmental Design) , BREEAM (Building
Research Establishment Environmental Assessment Method) และ HQE (Haute Qualité Environnementale)
ธุรกิจแฟชั่นของชาแนล ดำเนินการภายใต้โครงการสถาปัตยกรรมล้ำสมัยหลายแห่งในฝรั่งเศส หนึ่งในนั้นคือ Ateliers de Verneuil โรงงานผลิตเครื่องหนัง ซึ่งกำลังได้รับการขยายและจะใช้แผงเซลล์แสงอาทิตย์เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าสำหรับการเป็นอาคารประหยัดพลังงานสูง เพื่อใช้ประโยชน์จากแสงธรรมชาติอย่างเต็มที่ โครงการดังกล่าว ได้หลอมรวมเข้ากับระบบนิเวศน์รอบข้างได้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นแหล่งน้ำล้อมรอบหรือแม้กระทั่งพื้นที่สีเขียว เป็นการส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพ นอกจากนี้ ยังจะนำไปสู่โอกาสในการทำงานเพิ่มเติมสำหรับชุมชนท้องถิ่นด้วย
นอกจากนี้ ชาแนลยังมีอาคารที่ได้รับการรับรองจาก BEPOS (Bâtimentà Energie Positive) ซึ่งเป็นการรับรองจากฝรั่งเศสสำหรับการสร้างพลังงานเชิงบวก ในเมืองโป (Pau) ประเทศฝรั่งเศส นั่นก็คือ House of ACT3 โรงงานผลิตผ้า CHANEL Tweed อันเลื่องชื่อ ซึ่งมีการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ในปี ค.ศ. 2018 และในวันนี้สามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าทดแทนได้ถึง 40%
3. ปรับสมดุลการปล่อยคาร์บอนที่เหลือ ทางชาแนลกำลังดำเนินการ โดยการลงทุนในโซลูชันจากธรรมชาติ เช่น โครงการปกป้องและฟื้นฟูป่าชายเลนและพื้นที่พรุ ซึ่งรองรับเฉพาะโปรเจ็กต์ อันเป็นไปตามหลักการของ International Carbon Reduction and Offset Alliance (ICROA) โครงการเหล่านี้ ได้รับการรับรองมาตรฐานคาร์บอนความหลากหลายทางชีวภาพและชุมชนสูงสุด (เช่น VCS และ CCBA) ซึ่งประสบความสำเร็จตามเป้าหมายในปี ค.ศ 2019
ชาแนลให้ความสำคัญ ในการเลือกใช้วัตถุดิบ ในไลน์การผลิตสินค้าเกี่ยวกับความงามและเครื่องหอม เพื่อให้กระทบกับสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด ประกอบด้วยการลดน้ำหนักและขนาดของบรรจุภัณฑ์ รวมถึงการลดการปล่อยมลพิษระหว่างการขนส่ง โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากเศรษฐกิจหมุนเวียน หลักการสามารถช่วยเราในเส้นทางการลดคาร์บอนโดยนำกลับมาใช้ใหม่ (re-usable) ของบรรจุภัณฑ์ ตัวอย่างเช่น ผลิตภัณฑ์รองพื้น ที่มีการขายแบบรีฟิล (Refillable) ถือเป็นการลดขยะอีกทางหนึ่งด้วย
ปี ค.ศ. 2017 ชาแนลได้ทำการเปิดตัวน้ำหอม GABRIELLE CHANEL ซึ่งตัวบรรจุภัณฑ์ใช้คาร์บอนในการผลิต ลดลงจากปกติ 40% ขวดน้ำหอมขนาด 50 มล.นี้ เป็นตัวอย่างของความท้าทายในการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ เนื่องจากแต่เดิม ขวดจะผลิตจากแก้วชั้นดี ที่มีความหนา ซึ่งต้องผ่านกรรมวิธีการผลิตยาวนาน ปรับเปลี่ยนเป็นการสร้างขวดที่มีผนังบางลง ด้วยเส้นที่ทำมุมเอียง จากแก้วชั้นดีเช่นเดียวกัน ซึ่งเป็นการลดขั้นตอนการผลิตและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน ออกสู่ชั้นบรรยากาศ
ในปี ค.ศ. 2019 ทางชาแนลได้จัดตั้ง perfume fountains ขึ้นมา ที่ร้านบูทีคของชาแนล ที่ซึ่งลูกค้าสามารถนำขวดน้ำหอมเปล่ามาเติมได้ ซึ่งน้ำหอมที่ถูกนำมาเป็นส่วนหนึ่งของการโปรโมตในครั้งนี้ คงไม่พ้นน้ำหอมตำนานระดับโลกอย่าง CHANEL N°5 นอกจากจะเป็นการลดขยะแล้ว ยังเป็นการส่งเสริมให้ผู้บริโภค มีส่วนร่วมในแคมเปญระดับโลกนี้ด้วย
4. การเงินการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สนับสนุนโครงการริเริ่มต่าง ๆ เช่นกองทุนภูมิต้านทานต่อภูมิทัศน์ บริษัท มีเป้าหมายที่จะจัดหาเงินทุนให้กับโครงการที่ช่วยให้ชุมชนที่เปราะบางสามารถปรับตัวให้เข้ากับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดความเปราะบางของเกษตรกรและผู้ประกอบการรายย่อย ในขณะเดียวกันก็สร้างห่วงโซ่อุปทานวัตถุดิบที่ยืดหยุ่นทั้งภายนอกและภายในห่วงโซ่ของบริษัท
ในประเทศสหรัฐอเมริกา ชาแนลได้ร่วมมือกับ Sunrun ผู้ให้บริการพลังงานแสงอาทิตย์ในที่อยู่อาศัยชั้นนำ เพื่อนำพลังงานแสงอาทิตย์มากระจายสู่ผู้อยู่อาศัยในชุมชนที่มีรายได้น้อย เป็นจำนวนกว่า 30,000 คน และอีกหลายครัวเรือนในรัฐแคลิฟอร์เนีย ในอีก 20 ปีข้างหน้า การลงทุนดังกล่าว มุ่งไปที่การติดตั้งแผงโซล่ากว่า 27 เมกะวัตต์ในชุมชน ซึ่งได้รับผลกระทบอย่างหนักด้านมลภาวะ และขาดหนทางในการทำความสะอาด โดย 80% ของผู้อาศัย มีรายได้ต่ำกว่า 60% ของรายได้เฉลี่ยปานกลาง
ภายใต้ชื่อโครงการ California’s Solar on Multifamily Affordable Housing (SOMAH) การร่วมทุนจะเป็นไปในทางด้านขยายช่องทางการทำความสะอาดพลังงานให้กับผู้มีรายได้ต่ำ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานไฟฟ้า การร่วมทุนกับ Sunrun นี้ จะครอบคลุมไปถึงการหาทางฝึกฝนและหาโอกาสทางอาชีพให้กับชุมชน ในเรื่องของการเป็นวิศวกรติดตั้งพลังงานโซล่า
นอกจากนี้ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2018 เป็นต้นมา ทางชาแนลได้ประกาศเลิกใช้ขนสัตว์หรือการนำหนังสัตว์หายากมาตัดเย็บผลิตภัณฑ์เครื่องหนัง หลังจากนั้นในปี ค.ศ. 2019 ได้ร่วมลงทุนกับ Evolved by Nature ซึ่งเป็นบริษัทแนวรักษ์สิ่งแวดล้อมในการจัดหาผ้าไหมมาใช้แทนสารเคมีที่เป็นพิษในกระบวนการผลิต อีกหนึ่งผลงานโดดเด่นคือ การทำงานร่วมกับชาวไร่หัวบีทในฝรั่งเศส ซึ่งแอลกอฮอล์ทั้งหมดในกลุ่มน้ำหอมของ Chanel ผลิตจากหัวบีทน้ำตาล (sugar-beet) เหล่านี้
ในวันนี้ Chanel ได้ให้คำมั่นสัญญาอย่างชัดเจน ในการเป็นส่วนสำคัญ ที่จะเร่งผลักดัน ในการก้าวไปสู่การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่มีผลกระทบโดยตรงกับโลกและทุกสิ่งมีชีวิตที่อยู่บนโลกใบนี้ Mission 1.5 สะท้อนให้เห็นถึงความทะเยอทะยาน และความต้องการที่จะมีส่วนร่วมในการเผชิญหน้ากับความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษยชาติ ซึ่งทางชาแนล ใส่ใจในทุกขั้นตอนตั้งแต่การออกแบบ การผลิตไปจนถึงการจัดจำหน่าย ด้วยหัวใจหลักของค่านิยมของแบรนด์คือการสร้าง “แฟชั่นที่มีคุณค่าในระยะยาว”
รัก
xoxo