To top
12 Jun

เปิดประวัติ Bugatti type 57SC สู่ Bugatti The La Voiture Noire รถแพงที่สุดในโลก

Bugatti รถแพงที่สุดในโลก – หากมีการตั้งคำถามว่า รถยนต์อะไรหายากที่สุด และแพงที่สุด? นักสะสมรถสปอร์ตหรูหลาย ๆ ท่านน่าจะให้คำตอบเดียวกัน คือ Bugatti type 57SC Atlantic จากค่ายบูกัตติ (BUGATTI) รถสปอร์ตสัญชาติฝรั่งเศสที่คนรักรถสปอร์ตคงรู้จักกันดี ผู้ผลิตรถยนต์สมรรถนะสูงระดับหรูหรา อันมีประวัติความเป็นมายาวนานนับร้อยปี บูกัตติมีชื่อเสียงอย่างมากจากการประสบความสำเร็จในสนามแข่งด้วยการกวาดแชมป์ได้หลายรายการในยุโรปจนกลายเป็นค่ายที่ผลิตรถยนต์ที่เร็วที่สุดในโลกในปัจจุบัน

เปิดประวัติ Bugatti type 57SC Atlantic รถที่หายากที่สุด และแพงที่สุดในโลก

Bugatti Type 57 SC Atlantic เป็นรถยนต์ที่ได้รับการออกแบบโดย Jean Bugatti (ณอง บูกัตติ) ลูกชายของ Ettore Bugatti (เอตโตเร่ บูกัตติ) ผู้ก่อตั้ง Bugatti ความพิเศษของมันอยู่ที่ผลิตออกมาเพียง 4 สี 4 คันในโลกเท่านั้น โดยผลิตขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1936 – 1938 ด้วยวิธีการผลิตแบบ hand-crafted เป็นงานทำมือทั้งคัน มีขั้นตอนและวิธีการผลิตที่ยาก อีกทั้งต้องอาศัยฝีมืออันละเอียดอ่อนเป็นมาก ทำให้โรงงานผลิตและจำหน่ายรถรุ่นนี้เพียง 3 คันเท่านั้นในโลก ซึ่งอีก 1 คัน ไม่ได้ออกวางขายให้กับลูกค้าทั่วไป

 

“Rothschild Atlantic”

หมายเลขแชสซีส์ 57374  สี : เทาเมทัลลิก – น้ำเงิน

ถูกผลิตขึ้นคันแรกในปี ค.ศ. 1936 ให้กับนายธนาคารชาวอังกฤษนามว่า Victor Rothschild ต่อมารถคันนี้ถูกรู้จักในชื่อ “Rothschild Atlantic” ถูกจำหน่ายครั้งล่าสุดในปี ค.ศ. 2010 ในราคากว่า 30 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยผู้ที่ได้ครอบครองคือ Peter W. Mullin (ปีเตอร์ ดับบลิว มัลลิน) เป็นนักธุรกิจและผู้ใจบุญชาวอเมริกัน เขาเป็นผู้ก่อตั้งและผู้มีพระคุณของพิพิธภัณฑ์มัลลินยานยนต์ ตั้งอยู่ใน Oxnard, แคลิฟอร์เนีย ซึ่งปัจจุบันรถคันนี้ถูกจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์แห่งนั้น

 

“Holzschuh Atlantic”

หมายเลขแชสซีส์ 57473  สี : สีฟ้าอ่อน

คันต่อมาผลิตให้กับ Jacques Holzschuh ชาวฝรั่งเศส รู้จักกันในชื่อ “Holzschuh Atlantic” ถูกส่งต่อมาถึงเจ้าของคนที่สอง จากนั้นรถได้ประสบอุบัติเหตุถูกรถไฟชน จนมีสภาพพังยับเยิน และถูกขายทอดตลาดให้กับพ่อค้าเศษเหล็ก หลังจากนั้นจึงถูกซื้อต่อโดยนักสะสมนิรนาม และเริ่มทำการซ่อมแซมใหม่ แต่ผลจากการชน ทำให้เครื่องยนต์เสียหายอย่างรุนแรง ชิ้นส่วนเดิมส่วนใหญ่จึงถูกแทนที่ด้วยของใหม่ดังนั้นมูลค่าของรถจึงลดลงอย่างมาก ปัจจุบันถูกจัดแสดงเป็นรถจำลองใน Torrota ประเทศสเปน

 

“Pope Atlantic”

หมายเลขแชสซีส์  57591  สี : สีน้ำเงินแซฟไฟร์

ผลิตให้กับ Briton R.B. Pope รถคันนี้ถูกเรียกว่า “Pope Atlantic” ส่งต่อมาถึงเจ้าของคนปัจจุบัน คือ ราล์ฟ ลอเรน (Ralph Lauren) นักออกแบบชื่อดัง ซึ่งได้มันมาครอบครองตั้งแต่ปี ค.ศ. 1988 และถูกเปลี่ยนเป็นสีดำในภายหลัง ความพิเศษคือมีเพียงรถคันนี้คันเดียวเท่านั้น ที่ยังสามารถขับขี่ใช้งานได้อย่างสมบูรณ์ ทำให้มูลค่าของมันจึงพุ่งไปที่ราว ๆ 40 ล้านเหรียญสหรัฐ  หรือราว 1,270 ล้านบาท ปัจจุบันถูกเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์ Mullin Automotive Museum ลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา

 

“La Voiture Noire”

หมายเลขแชสซีส์ 57453 สีเดิม : สีดำ

รถคันนี้ไม่ได้ผลิตมาเพื่อการค้า แต่สั่งทำออกมาเป็นพิเศษสำหรับ Jean Bugatti ผู้ออกแบบ โดยผลิตมันเองเพื่อใช้ส่วนตัวและเพื่อนคนใกล้ชิด รู้จักกันในนามภาษาฝรั่งเศส  “La Voiture Noire” อันมีความหมายว่า “The Black Car” หรือรถสีดำ อีกทั้งยังใช้เป็นรถโมเดลสำหรับถ่ายภาพเพื่อโปรโมทรถหรูจากค่ายของพ่อนั่นเอง ต่อมาในช่วงสงครามรถคันนี้กลับ “สูญหาย” ไปอย่างไร้ร่องรอย คาดว่าน่าจะเป็นผลจากสงครามโลกครั้งที่ 2 หลังเยอรมนีบุกเข้าฝรั่งเศส จนถึงตอนนี้ก็ยังหาไม่เจอ และยังคงเป็นปริศนา ให้ฉงนถึงการสาบสูญ จนถึงทุกวันนี้

ด้วยเหตุนี้เองทำให้ Bugatti Type 57 SC Atlantic “La Voiture Noire” เป็นรถในตำนานที่สูญหายอันโด่งดัง เล่าขานในวงการนักสะสมรถคลาสสิคหรูว่าถ้าหากมีใครค้นพบรถคันนี้อีกครั้ง รับรองว่าต้องมีผู้ที่ยินยอมจ่ายเงินมูลค่ามหาศาลเพื่อให้ได้เป็นเจ้าของมัน ซึ่งมีการตีมูลค่ารถคันนี้ไว้สูงถึง 100 ล้านเหรียญสหรัฐเลยทีเดียว ทำให้มัน ขึ้นแท่นกลายเป็นรถที่แพงที่สุดในโลกระดับตำนานที่ไม่อาจมีรถคันใดมาแทนเทียบได้

 

เปิดตัว Bugatti The La Voiture Noire รถแพงที่สุดในโลก!

ต่อมาในปี 2019 Bugatti ได้แสดงความเคารพและระลึกถึง ต่อรถรุ่นในตำนานของค่าย Bugatti Type 57SC Atlantic ด้วยการเปิดตัว Hyper Car “ไฮเปอร์คาร์” รุ่นใหม่ในสายการการผลิต ในงาน Geneva International Motor Show 2019 ภายใต้ชื่อ Bugatti The La Voiture Noire พร้อมเตรียมขึ้นแท่นเป็นรถแพงที่สุดในโลกในทันที สนนราคารถอยู่ที่ 18.7 ล้านเหรียญสหรัฐ (613 ล้านบาท)

ที่มาของชื่อ “La Voiture Noire” เปรียบเหมือนเป็นการสานต่อรถในตำนานคันนั้นที่หายไป ตาม “รถสีดำ”ในต้นฉบับของ Bugatti Type 57 SC Atlantic และรถคันที่หายไปนั้นเป็นรถคันที่ 2 ในสายการผลิตซึ่งเป็นคัน “สีดำ” นั่นเอง ทำให้ดีไซน์ของ Bugatti The La Voiture Noire มีการนำเสน่ห์ของรถต้นฉบับในมาสอดแทรกไว้หลาย ๆ จุด แทบทั้งคัน

สิ่งที่ได้มาจากความระลึกถึง The Black Car ใน Bugatti The La Voiture Noire จัดว่าเป็นงาน Bespoke มีเพียงคันเดียวในโลกและเป็นงาน Handcraft ตัวถังเป็นคาร์บอนไฟเบอร์เส้นใยละเอียด (ultra-fine fiber) พ่นสีดำฉ่ำลึกแบบ Deep Black Gloss กระจกหน้าบังลมหน้าที่แทบจะผสานเป็นหนึ่งเดียวกับกระจกของประตู เสา A แทบมองไม่เห็น ปลายท่อไอเสีย 6 ท่อใน Type 57SC Atlantic ที่คันของ The La Voiture Noire ก็ทำออกมาให้เหมือนกัน เช่นเดียวกับเส้นสายของไฟท้ายที่เลียบแบบคาแรคเตอร์ของ Type 57SC Atlantic ออกมาได้อย่างลงตัว

ส่วน Key Design ที่เป็น Signature ของ Bugatti Type 57 SC Atlantic คือครีบสันกลางเดินยาวจากหน้าจรดท้ายรถ มนต์เสน่ห์ในดีไซน์ถูกซ่อนไว้ผสานกับความเป็นรถของยุคนี้ได้อย่างไม่น่าเชื่อ มันคือร่องรอยที่ใช้บอกถึงความล้ำยุคของ Bugatti Type 57 SC Atlantic ช่วงก่อนสงครามโลก ตามรถต้นแบบ Bugatti Type 57 Atlantic แปลว่า “เบาหวิวเหมือนอากาศ” ซึ่งเกิดจากการประกบตัวถังทรงหยดน้ำที่แบ่งเป็น 2 ซีกเข้าด้วยกัน จึงแตกต่าง ไม่เหมือนใคร

แม้รถรุ่นใหม่อย่าง Bugatti The La Voiture Noire ที่เปิดราคามาว่าแพงสุดในโลกแล้ว แต่ก็ยังเทียบไม่ได้กับรถต้นฉบับที่หายากระดับตำนาน Bugatti Type 57SC Atlantic คันที่หายสาบสูญ ที่ราคาสูงกว่าถึง 5 เท่าตัว Bugatti รถแพงที่สุดในโลก อาจจะฟังดูเป็นเรื่องเกินจริง แต่เมื่อเทียบกับเรื่องมูลค่าทางจิตใจ ยังไงก็ไม่อาจทดแทนกับรถคันที่หายไปของ Jean Bugatti ได้อย่างแน่นอน รถในตำนานคันนี้คงทำให้ใครหลาย ๆ คนหวนคิดถึงของรักของสำคัญ หรือของสะสมที่มีมูลค่าทางจิตใจ มีคุณค่าเกินกว่าจะตีค่าเป็นตัวเงิน และไม่อาจหาสิ่งอื่นมาทดแทนได้อีกแล้วในบนโลกนี้

KATE