Porsche Cayenne คือ ชื่อของรถ SUV รุ่นแรก จาก Porsche แบรนด์รถยนต์สปอร์ตสุดหรูจากเยอรมนี ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า Cayenne คือรถยนต์ที่สามารถทำรายได้อย่างเป็นกอบเป็นกำในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โดยถูกผลิตขึ้นและออกสู่สายตาคนทั่วโลก ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2002 ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากนักอนุรักษ์นิยมทั้งหลาย รวมถึงนักลงทุน ที่อยากเก็บภาพลักษณ์ของแบรนด์รถสปอร์ตสุดแรงเอาไว้
แต่ Cayenne (คาเยนน์) ก็สามารถพิสูจน์ให้เห็นว่า มันมีศักยภาพที่ดีมากพอ ด้วยยอดขายกว่า 760,000 คันทั่วโลก จนกลายเป็นรถยนต์รุ่นหนึ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งของแบรนด์ รวมทั้งได้รับการยอมรับทั่วโลก ในบทความนี้ เราจะพาไปเจาะลึกรายละเอียดเกี่ยวกับรถ SUV คันงามรุ่นนี้ ที่ซึ่งสามารถพลิกฟื้นสถานการณ์ของค่ายรถยนต์ในเมือง Stuttgart ให้กลับมามีรายได้มหาศาล เรื่องราวจะน่าสนใจเพียงใดนั้น ติดตามไปพร้อมกัน
PORSCHE CAYENNE
ย้อนกลับไปเมื่อช่วงก้าวเข้าสู่ศตวรรษใหม่ เหล่าบรรดาแฟนพันธุ์แท้รวมทั้งเหล่าผู้ชื่นชอบในรถสปอร์ตสุดหรูแบรนด์ Porsche (พอร์เชอร์) ต้องเผชิญกับช่วงเวลาที่สับสน เมื่อ พอร์เชอร์ ประกาศว่าจะผลิตรถรูปแบบ SUV คันแรก ก่อให้เกิดคำถามรวมทั้งเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากกลุ่มผู้อนุรักษ์นิยม ซึ่งกังวลว่าการที่แบรนด์ลุกขึ้นมาผลิตรถลักษณะนี้ จะทำให้สูญเสียภาพลักษณ์ของวงการรถสปอร์ตที่แบรนด์สร้างมาหรือไม่ ทำไมผู้ผลิตที่มีชื่อเสียงด้านรถสปอร์ตขนาดเล็กถึงหันมาผลิต SUV ?
คำตอบก็คือ เพื่อความอยู่รอดของแบรนด์ เนื่องด้วยในช่วงเวลานั้น ราคาซื้อขายรถสปอร์ตในตลาดลดลง เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ทางแบรนด์เริ่มได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ในช่วงต้นปี 1990s คือยุคที่เยอรมนีเพิ่งทุบกำแพงเบอร์ลิน พอร์เชอ ประสบปัญหาทางด้านการเงินอย่างหนักกับภาวะขาดทุนอย่างรุนแรง ด้วยความที่เป็นกลุ่มผลิตยานยนต์ขนาดเล็ก จึงมีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการบางอย่างเพื่อทำการกระตุ้นยอดขายและกระตุ้นความต้องการทางการตลาด
ขณะนั้น Wendelin Wiedeking เพิ่งเข้ารับตำแหน่ง ในฐานะผู้บริหารคนใหม่ของบริษัท ผู้ซึ่งมีวิสัยทัศน์กว้างไกลและมองเห็นความเปลี่ยนแปลงของโลก และพอร์เชอก็ต้องก้าวให้ทันรวมถึงมีการปรับตัวเช่นเดียวกัน โดยพยายามต่อสู้กับแนวคิดและวัฒนธรรมดั้งเดิมขององค์กรที่ว่า “เราสร้างแต่รถสปอร์ต และตราบใดก็ตามที่เราสร้างรถให้มันดีที่สุด ลูกค้าก็จะซื้อและรถมันก็จะขายได้เอง” ซึ่งความคิดนี้ เป็นส่วนหนึ่งที่มีส่วนทำให้แบรนด์ขาดทุน
Wendelin นำทีมไปศึกษาดูงานที่โรงงานรถในประเทศญี่ปุ่น ทั้งแบรนด์ Toyota, Honda, Mazda และ Nissan พบว่า ทั้ง Toyota และ Mazda สามารถผลิตรถสปอร์ตคุณภาพดี เทียบเท่ากับ Porsche ได้ โดยใช้เวลาในการผลิตน้อยกว่า 4 เท่า อีกทั้งต้นทุนที่น้อยกว่าถึง 3 เท่า เขาจึงได้ทำการขอร้องให้ บริษัท Shin-giutsu ซึ่งมีประธานเป็นอดีต Production Director ของ Toyota ที่ทำงานที่นั่นมา 30 ปี มาช่วยทำการตรวจสอบรวมถึงแก้ไขจุดอ่อนของโรงงาน
ผลการตรวจสอบพบเห็นจุดอ่อนมากมาย ในกระบวนการผลิต Wendelin สั่งการเด็ดขาด ให้ยุติการผลิตรถที่ไม่สามารถทำเงินได้นับจากนั้น เป็นจุดสิ้นสุดของ Porsche 968 และ 928 แต่เป็นการแจ้งเกิดรถรุ่นใหม่ ภายใต้ชื่อ “Boxster” ซึ่งพัฒนาร่วมกับ 911 (996) โดยใช้ลำตัวซีกหน้าร่วมกัน
หลายต่อหลายคน ตำหนิ Wendelin ถึงการตัดสินในในครั้งนั้น ด้วยความคิดเห็นที่ว่า มันอาจเป็นการทำลายมนต์ขลังของ 911 จากการแชร์ชิ้นส่วนกับรถรุ่นที่มีราคาถูกกว่า แต่ผลลัพท์กลับกลายเป็นว่า Boxster ช่วยให้ Porsche กลับมาตั้งตัวและเริ่มจ่ายหนี้สะสมได้ ในขณะที่ 911 (966) นั้นก็ยังสามารถขายได้เกือบ 120,000 คัน ในระยะเวลาเพียง 5 ปีแรก
หลังจากสถานการณ์เริ่มดีขึ้น Wendelin เริ่มให้ลูกน้องทำการวิจัยลูกค้าของ Porsche จำนวนหลายพันคน และพบว่าเจ้าของรถจำนวน 65% จะมีรถยี่ห้ออื่นอย่างน้อย 2 คันในบ้าน โดยหนึ่งในนั้นมักจะเป็นรถ SUV จากการวิจัยนั้น ทำให้ Wendelin ชะลอการผลิตรถยนต์รุ่นอื่นทั้งหมด ซึ่งนั่นนำไปสู่การกำเนิดของรถยนต์แบบ SUV ครั้งแรกของแบรนด์ อัศวินม้าขาวที่เข้ามาช่วยกอบกู้วิกฤติทางการเงินของบริษัท ภายใต้ชื่อ “Cayenne”
พอร์เชอร์ คาเยนน์ ถูกสร้างขึ้นมาภายใต้แนวคิด “Spread” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นรถที่มีครบทุกสุนทรียภาพในการขับขี่กับทุกรูปแบบท้องถนน ทั้งในชีวิตประจำวัน การขับขี่แบบ Off-Road หรือแม้แต่การขับขี่บนสนามแข่ง โดยเปิดตัวในยุโรปช่วงปลายปี 2001 หลังจากนั้นจึงได้ทำการขยายตลาดสู่แถบอเมริกาเหนือในช่วงปี ค.ศ. 2003 โดยแบ่งออกเป็น 3 Generation ดังนี้
The First Generation : 955
Cayenne Generation แรก เป็นรถยนต์แบบ 4 ประตูขนาด 5 ที่นั่งคันแรกของแบรนด์ ออกจำหน่ายภายใต้รหัส 955 ได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากพี่ชายคนดังอย่าง “911” โดยไฟหน้ามีลักษณะคล้ายกับ 911 รุ่น 996 กับการผสมผสานการเป็นยานยนต์ในแบบฉบับ SUV ที่แฝงไว้ด้วยขุมพลังอันทรงพลัง ทำการผลิตออกสู่ตลาดในช่วงแรกเป็นจำนวน 2 รุ่นด้วยกันคือ Cayenne S และ Cayenne Turbo
Cayenne S มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด V8 ขนาด 4.5 ลิตร ขุมพลัง 335 แรงม้า ความเร็วสูงสุด 241 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตราเร่งจาก 0-60 กิโลเมตรใน 7.1 วินาที ระบบหล่อลื่นแบบแห้ง (Dry-Sump Lubrication System) และวาร์วแบบแปรผัน สำหรับในรุ่น Turbo และ Turbo S มาพร้อมกับระบบกันสะเทือนแบบออฟโรดที่ปรับความสูงได้และเฟืองท้าย
ในรุ่น Turbo S มาพร้อมเครื่องยนต์แบบ V8 ความจุ 4.5 ลิตร เทอร์โบคู่ พละกำลัง 514 แรงม้า เกียร์อัตโนมัติ Tiptronic แบบ6 สปีด ทำความเร็วสูงสุดที่ 171 ไมล์ต่อชั่วโมง และอัตราเร่งจาก 0-60 กิโลเมตร ใน 5 วินาที สำหรับรุ่นพื้นฐานนั้น มาพร้อมเครื่องยนต์แบบ V6 ความจุ 3.2 ลิตร ขุมพลัง 245 แรงม้า ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ และระบบเกียร์อัตโนมัติ Tiptronic 6 สปีด อัตราเร่งจาก 0-60 กิโลเมตร ใน 7.5 วินาที สำหรับรุ่นเกียร์ธรรมดา และ 8.1 วินาที สำหรับเกียร์อัตโนมัติ
จนกระทั่งปี ค.ศ. 2008 ได้มีการอัพเกรดเครื่องยนต์ในรุ่น Turbo เป็นขนาดที่ใหญ่ขึ้น คือ 4.8 ลิตร พร้อมกับขุมพลัง 550 แรงม้า ในปีถัดมา มีการจำหน่ายในรุ่นดีเซล ซึ่งมาพร้อมกับเครื่องยนต์แบบ V6 VW TDI ความจุ 3 ลิตร พละกำลัง237 แรงม้า โดยตั้งแต่ปี 2008 เป็นต้นมา เครื่องยนต์ของ Cayenne ทั้งหมด ได้มีการนำเทคโนโลยีไดเรคอินเจคชั่นเข้ามาใช้ในการผลิตเครื่องยนต์ สำหรับรุ่นแรกนี้ มีการผลิตตั้งแต่ปี ค.ศ. 2003-2010
The Second Generation – 958
เริ่มจำหน่ายในเดือนเมษายน – พฤษภาคม 2010 ซึ่งถือเป็นรุ่นปี 2011 โดยเปิดตัวอย่างเป็นทางการที่งานเจนีวามอเตอร์โชว์ 2010 (Geneva Motor Show) ตัวถังมีขนาดใหญ่กว่ารุ่นก่อน ๆ แต่มีน้ำหนักเบากว่าถึง 250 กิโลกรัม เนื่องจากการถอดกล่องถ่ายโอนช่วงต่ำ รวมถึงมีการนำอลูมิเนียมและแมกนีเซียมมาใช้ ซึ่งช่วยให้น้ำหนักเบา อีกทั้งยังประหยัดน้ำมันกว่าอีกด้วย
สำหรับรุ่นพื้นฐาน มาพร้อมกับเครื่องยนต์ขนาด V6 ขนาดความจุ 3.6 ลิตร ให้พละกำลัง 296 แรงม้า ระบบปรับอากาศแบบดูอัลโซน (Dual-zone climate-control AC) รวมถึงแผ่นกรองอากาศภายในและพวงมาลัยหุ้มด้วยหนังปรับเอียงได้ซึ่งควบคุมวิทยุและ ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ นอกจากนี้มาตรฐานยังมีเบาะหนังเบาะนั่งด้านหน้าแบบปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง
Cayenne S มาพร้อมกับเครื่องยนต์ขนาด V8 ขนาด 4.8 ลิตร ให้กำลัง 395 แรงม้า บวกกับหลังคาแบบซันรูฟและหน่วยความจำตำแหน่งที่นั่งคนขับ ในส่วนของรุ่น GTS ที่เน้นสมรรถนะนั้น มาพร้อมกับเครื่องยนต์แบบเดียวกัน แต่ให้แรงม้าที่เพิ่มขึ้น ที่ 414 แรงม้า รวมถึงมีการปรับเปลี่ยนช่วงล่างและแชสซีเพื่อการควบคุมที่ดีขึ้น
Cayenne Turbo และ Turbo S มาพร้อมกับเครื่องยนต์ขนาด V8 ความจุ4.8 ลิตร แบบเทอร์โบคู่ ให้กำลัง 493 แรงม้าและ 542 แรงม้าตามลำดับ มีการติดตั้งระบบนำทางที่ควบคุมด้วยเสียง ระบบควบคุมสภาพอากาศแบบสี่โซนที่นั่งด้านหลัง รวมทั้งระบบเสียงระดับพรีเมียม ไฟหน้าแบบ Bi-Xenon ในส่วนของหลังคา มีให้เลือกทั้งแบบมูนรูฟ (Moonroof) ธรรมดาหรือ หลังคาพาโนรามา (Panoramic)
ในปี 2012 มีการเปิดตัว รุ่น Cayenne Diesel และ Cayenne S Diesel พร้อมเครื่องยนต์ V6 3.0 ลิตร เทอร์โบ 240 แรงม้า และV8 Volkswagen TDI 4.1 ลิตร 385 แรงม้า ตามลำดับ อีกทั้งในปี 2014 รถยนต์ Cayenne ทั้งหมดได้รับการปรับโฉม ซึ่งรวมถึงการเปลี่ยนแปลงภายนอกกระจังหน้าและกันชนหลังและไฟท้ายท่อไอเสียคู่ และยังถูกนำไปสร้างสถิติโลก Guinness ด้วยการลาก Airbus A380 ไปได้ไกลถึง 42 เมตร
และ ในปี 2015 มีการเปิดตัวรถยนต์รุ่น Plug-in E-Hybrid model มาแทนที่ตัว Hybrid เดิมซึ่งถือว่าเป็นรถยนต์ SUV แบบ Hybrid คันแรก นอกจากนี้ยังแทนที่เครื่องยนต์ขนาด V8 ความจุ 4.8 ลิตรของ Cayenne S ด้วยเครื่องยนต์ขนาดV6 ขนาด 3.6 ลิตร พร้อม turbocharged ที่ให้พละกำลังถึง 414 แรงม้า สำหรับรถยนต์รุ่นที่ 2 มีการผลิตตั้งแต่ปี ค.ศ. 2011-2018
The Third Generation – PO536
Generation ล่าสุด ได้ทำการดีไซน์ใหม่ทั้งหมด แต่ยังคงมีกลิ่นอายความเป็น Cayenne จากทั้ง 2 รุ่นก่อนอย่างครบถ้วน แต่ตัวถังมีความยาวกว่าเดิมถึง 63 มิลลิเมตร มาพร้อมกับขุมพลังใหม่ เครื่องยนต์เบนซิน ทวินเทอร์โบ 2.9 ลิตร V6 พละกำลัง 440 แรงม้า ที่ 5,700-6,600 รอบ/นาที แรงบิด 550 นิวตันเมตรที่ 1,800-5,500 รอบ/นาที แรงได้ใจสูงสุด 265 กม./ชม. อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ 5.2 วินาที
ในรุ่น Cayenne S และเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ 3.0 ลิตร V6 พละกำลัง 340 แรงม้าที่ 5,300-6,400 รอบ/นาที แรงบิด 448 นิวตันเมตรที่ 1,340-5,300 รอบ/นาที แรงได้ใจ 245 กม./ชม. อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ 6.2 วินาที ทั้ง 2 รุ่นมาพร้อมกับระบบเกียร์ Tiptronic S 8 สปีด และระบบขับเคลื่อนแบบ 4 ล้อ เสริมด้วยระบบ Porsche Traction Management (PTM) ซึ่งช่วยจัดสรรค์กำลังขับจากเครื่องยนต์ให้แบ่งไปยังเพลาคู่หน้าและคู่หลังอย่างเหมาะสมกับสภาพพื้นผิวต่าง ๆ
นอกเหนือจากระบบไฟหน้าแบบ LED ที่จะถูกติดตั้งมาเป็นมาตรฐานใน All NEW Cayenne ทุกคันแล้ว Porsche ยังได้นำเสนอนวัตกรรมไฟหน้า Porsche Dynamic Light System Plus ซึ่งทำงานโดยใช้หลอด LED จำนวน 84 หลอด เปล่งความเข้มแสงแบบอิสระ สามารถปรับองศาของจานฉาย ตามการหมุนพวงมาลัย นอกจากนั้นยังมีการใช้กล้องตรวจจับรถยนต์ที่อยู่ในระยะของลำแสงไฟหน้า และ จัดการเพื่อไม่ให้เกิดแสงรบกวน ซึ่งมีให้เลือกเป็นอุปกรณ์เสริม
ในปี 2019 มีการเปิดตัวรถยนต์ The new Cayenne E-Hybrid รุ่นใหม่ล่าสุด ยนตรกรรมสปอร์ต สายพันธุ์ SUV ที่สืบทอดแนวทางการออกแบบมาจาก รถซูเปอร์สปอร์ตอย่าง ปอร์เช่ 918 สไปเดอร์ ด้วยเครื่องยนต์ V6 ความจุ 3.0 ลิตร ให้พละกำลัง 340 แรงม้า เสริมพลังด้วยระบบขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้า (136 แรงม้า/100 กิโลวัตต์) ซึ่งให้พละกำลังรวมกว่า 462 แรงม้า อัตราการเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายในระยะเวลา 5 วินาที
เป็นเวลากว่า 18 ปีแล้ว ที่ Cayenne ยังคงยืนหยัดอยู่ในวงการ เรียกได้ว่า แทบจะเป็นค่ายรถยนต์แรก ที่เปิดตลาดรถ SUV ระดับ Premium ที่มีสมรรถนะสูง ให้กับโลกแห่งยานยนต์เลยก็ว่าได้ ซึ่งในยุคนั้น รถยนต์แบบ SUV ยังไม่ได้รับความนิยมในหมู่ผู้ขับขี่รถสปอร์ตและกลุ่มรถยนต์หรูเท่าใดนัก แต่ Porsche Cayenne ก็สามารถทลายกำแพงแห่งอคติทั้งหลาย พิสูจน์ตัวเองด้วยยอดขายรถยนต์รุ่นแรก กว่า 276,000 คันทั่วโลก สร้างความนิยมถล่มทลาย รวมทั้งทัศนคติใหม่ ๆ ที่ดี มาจนถึงปัจจุบัน