New Rolex 2022 เปิดตัวอย่างเป็นทางการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับ 10 รุ่นนาฬิกาจากแบรนด์นาฬิการะดับโลกอย่าง Rolex โดยในปี 2022 นี้ ได้ทำการเปิดตัวถึง 10 รุ่นด้วยกัน ซึ่งทั้งหมดได้วางจำหน่ายบนหน้าเว๊ปของแบรนด์เป็นที่เรียบร้อย พร้อมเปิดเผยราคาที่ทำให้ใจนักลงทุนและนักสะสมหวั่นไหว ใจเต้นกันไม่เป็นจังหวะ KATEXOXO ถือโอกาสพาทุกคนไปยลโฉมนาฬิกาทั้ง 10 รุ่นนี้ไปพร้อมกัน ว่าจะมีรุ่นใดบ้าง ตรงใจเหล่าสาวก Rolex เพียงใด ติดตามได้จากบทความนี้
New Rolex 2022
จากความมุ่งมั่น สู่ความเป็นเลิศที่ได้รับการพัฒนาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด Rolex ได้เปิดตัวนาฬิกาแห่งปี 2022 ซึ่งได้รับการพัฒนาในด้านสุนทรีศาสตร์และเทคโนโลยีที่ยังคงคุณภาพและความเที่ยงตรง อันเป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์ ผ่านทักษะการผลิตอันเชี่ยวชาญทุกขั้นตอน เปรียบเสมือนเป็นคำเชิญชวนให้ร่วมก้าวผ่านขีดจำกัด ไปสู่เป้าหมายที่สูงกว่า ผลงานสร้างสรรค์ใหม่ล่าสุด ที่จะส่งมอบทุกความงาม ถ่ายทอดความเป็นเอกลักษณ์ และนวัตกรรมของโลกแห่งการผลิตนาฬิกา
1. Rolex Air-King
บรรณาการแด่นักสำรวจบนฟากฟ้า Air-King สัญลักษณ์ที่เปรยถึงความสัมพันธ์ของ Rolex และยุคทองของการบิน การเดินทางโดยอากาศยานในช่วงทศวรรษที่ 1930 เพิ่มศักยภาพของมนุษย์ในการพิชิตฟากฟ้าอย่างต่อเนื่อง เป็นใบเบิกทางสู่เที่ยวบินระยะไกล โดยชื่อ Air-King ปรากฏบนหน้าปัดนาฬิกาครั้งแรกตั้งแต่การเปิดตัว เมื่อปี ค.ศ. 1958 ซึ่งมีจุดเด่นอันถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของนาฬิการุ่นนี้ นั่นก็คือ เข็มแสดงวินาทีสีเขียว ซึ่งเป็นตัวแทนของสีประจำแบรนด์ Rolex นั่นเอง
สำหรับ Air-King รุ่นใหม่ ที่เปิดตัวในปี 2022 นี้ ตัวเรือนตรงกลางรังสรรค์ขึ้นจากแท่ง Oystersteel อัลลอยที่ทนทานต่อการผุกร่อนเป็นพิเศษ เม็ดมะยมระบบ Twinlock ที่กว้างขึ้น ติดตั้งระบบกันน้ำสองชั้นพร้อมขอบป้องกันเม็ดมะยมเพื่อการปกป้อง เจาะยึดด้วยสกรูเข้ากับตัวเรือนอย่างแน่นหนา ขอบป้องกันเม็ดมะยม และเส้นแสงบาง ๆ รอบตัวเรือนตรงกลาง สายนาฬิกาแบบ Oyster ซึ่งได้รับการปรับปรุงใหม่ ลิงก์ตรงกลางได้รับการขยายให้กว้างขึ้น มีการติดตั้งชุดตัวล็อกนิรภัย Oysterlock เป็นครั้งแรกของรุ่นนี้
หน้าปัดซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากอุปกรณ์บนเครื่องบินแสดงเวลาที่เพิ่มความทันสมัยและมีความสมดุลมากยิ่งขึ้น ด้วยการเพิ่มเลข 0 ก่อนเลข 5 บนสเกลนาที โดยมีการแสดงเวลาทุกห้านาทีด้วยตัวเลขสองหลัก Air-King ได้รับการรับรอง Superlative Chronometer ความเที่ยงตรงเหนือชั้นด้วยวิถีแห่ง Rolex ซึ่งเหนือชั้นกว่า Chronometer ทั่วไป เป็นการรับประกันว่า นาฬิกาทุกเรือนได้ผ่านการทดสอบอย่างเข้มงวดหลายขั้นตอน หน้าปัดสีดำอันโดดเด่น Air-King เป็นนาฬิกาที่สืบทอดรูปแบบการบินมาจาก ROLEX OYSTER รุ่นดั้งเดิม
นอกจากนี้ Air-King เจเนอเรชันใหม่ ยังใช้ประโยชน์จาก Chromalight นวัตกรรมที่ช่วยเพิ่มการมองเห็นในสภาพแวดล้อมอันมืดมิด เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการอ่านเวลาในที่มืด เข็มนาฬิกาและเครื่องหมายชั่วโมงรูปสามเหลี่ยมที่ตำแหน่ง 12 นาฬิกาได้รับการเติมหรือเคลือบด้วยสารเรืองแสงใหม่ที่ส่องสว่างยาวนานกว่า ตัวเลข 3, 6 และ 9 ซึ่งแต่เดิมผลิตจากทองคำขาว 18 กะรัตทั้งตัว ปัจจุบันยังสามารถมองเห็นได้ในความมืด ด้วยวัสดุอันเป็นนวัตกรรมของ Rolex โดยเฉพาะ
Rolex Air-King 2022 นี้ ขับเคลื่อนด้วยกลไกอัตโนมัติ Caliber 3230 กลไกที่ได้รับการพัฒนาและเป็นลิขสิทธิ์ของ Rolex แต่เพียงผู้เดียว โดยเปิดตัวในปี 2020 และประกอบเข้ากับนาฬิการุ่นนี้ตั้งแต่ปี 2022 มาพร้อมกับโมดูลระบบไขลานอัตโนมัติผ่านโรเตอร์ Perpetual สำรองพลังงานได้ 70 ชั่วโมง หน้าปัดคริสตัลทำจากแซฟไฟร์ป้องกันการขีดข่วน ขนาด 40 มิลลิเมตร และผ่านการเคลือบป้องกันแสงสะท้อน กันน้ำที่ความลึก 100 เมตร (300 ฟุต) ราคาเปิดตัวอยู่ที่ 261,100 บาท
2. Yacht-Master 42
เรือนเวลาอันเป็นดั่งสัญลักษณ์ของการเดินเรือ Yacht-Master เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1992 ได้รับการออกแบบเป็นพิเศษสำหรับนักเดินเรือและกัปตันเรือ เรื่องราวที่เชื่อมโยงระหว่าง Rolex กับโลกแห่งการเดินเรือตั้งแต่ทศวรรษที่ 1950 ผสมผสานประสิทธิภาพเข้ากับสไตล์การเดินเรือได้อย่างลงตัว จุดเด่นซึ่งเป็นที่จดจำคือขอบหน้าปัดแสดงเวลา 60 นาทีหมุนได้สองทิศทางที่ทำจากโลหะมีค่าทั้งชิ้น หรือแผ่นขอบหน้าปัด Cerachrom ทำจากเซรามิกที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง
Yacht-Master 42 เวอร์ชันใหม่ประกอบด้วยขอบหน้าปัด Cerachrom พร้อมขั้นบอกเวลา 60 นาทีสีดำด้านทำจากเซรามิก สัญลักษณ์และตัวเลขที่มีลักษณะนูนถูกหล่อลงในเซรามิกเป็นอันดับแรกหลังจากนั้นจึงทำการขัดขึ้นเงา สัญลักษณ์บนขอบหน้าปัดบริเวณ 15 นาทีแรกแสดงนาทีต่อนาทีเพื่อให้อ่านระยะห่างของเวลาได้ถูกต้องแม่นยำ ขอบหน้าปัดยังสามารถหมุนปรับได้อย่างง่ายดายด้วยร่องบนขอบที่มอบการยึดเกาะได้อย่างดีเยี่ยม
ผลิตจากวัสดุโลหะผสมทองคำ แข็งแกร่งทนทาน ซึ่งได้รับการหล่อแบบที่เตาหลอมของ Rolex ในเมืองเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ สายนาฬิกา Oysterflex พร้อมชุดตัวล็อกนิรภัย Oysterlock ทำจากทองคำ 18 กะรัต ซึ่งมีวางจำหน่ายเป็นครั้งแรกสำหรับรุ่นนี้ ป้องกันการเปิดล็อกโดยไม่ตั้งใจ ระบบขยายสาย Rolex Glidelock ช่วยให้ผู้สวมใส่ปรับความยาวของสายนาฬิกาได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย และนวัตกรรมสายนาฬิกาแบบ Oysterflex ผสานความทนทานของสายนาฬิกาโลหะเข้ากับความยิดหยุ่นของสายอีลาสโตเมอร์
หน้าปัดแลคเกอร์สีดำพร้อมมาร์คเกอร์ชั่วโมงในรูปทรงเรขาคณิตเรียบง่าย คริสตัลผ่านการเคลือบป้องกันแสงสะท้อน และจอแสดง Chromalight ที่ผ่านการพัฒนาให้ดีขึ้นทำให้สามารถอ่านเวลาได้อย่างดีเยี่ยมในทุกสถานการณ์ Yacht-Master 42 มาพร้อมกับกลไกอัตโนมัติ Calibre 3235 ลิขสิทธิ์เฉพาะของ Rolex
Calibre 3235 ผลิตออกสู่ตลาดครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 2015 มาพร้อมโมดูลระบบไขลานอัตโนมัติผ่านโรเตอร์ Perpetual ด้วยรูปทรงโค้งครึ่งวงกลมและประสิทธิภาพชั้นเยี่ยมของเฟืองแกว่ง ทำให้ความสามารถในการสำรองพลังงานของ Calibre 3235 เพิ่มขึ้นถึง 70 ชั่วโมงโดยประมาณ
ตัวเรือน Oyster ขนาดหน้าปัด 42 มิลลิเมตร รับประกันการกันน้ำ ที่ความลึก 100 เมตร (330 ฟุต) คริสตัลที่ประดับบนเลนส์ Cyclops บริเวณตำแหน่ง 3 นาฬิกาเพื่อให้อ่านวันที่ได้ง่ายทำจากแซฟไฟร์ป้องกันการขีดข่วน และผ่านการเคลือบป้องกันแสงสะท้อน ตัวเรือน Oyster กันน้ำให้การปกป้องกลไกการทำงานของเรือนเวลาได้อย่างดีเยี่ยม ราคาเปิดตัวอยู่ที่ 1,007,100 บาท
3. GMT-MASTER II
เริ่มต้นจากการออกแบบนาฬิกาเพื่อเป็นอุปกรณ์ช่วยนำทางสำหรับนักเดินทางท่องโลกระดับอาชีพ เมื่อเวลาผ่านไป GMT-Master ได้กลายมาเป็นนาฬิกาที่บรรดาเหล่านักเดินทางไว้วางใจ การออกแบบเฉพาะตัวอันเป็นเอกลักษณ์ เป็นที่จดจำง่าย ด้วยขอบหน้าปัดหมุนได้สองทิศทางและแผ่นขอบหน้าปัดแสดงเวลา 24 ชั่วโมงที่วางจำหน่ายในเวอร์ชั่นสองสี (ครึ่งล่างแทนเวลาในช่วงกลางวันและครึ่งบนแทนเวลาในช่วงกลางคืน) และเวอร์ชั่นสีเดียว
GMT-Master คือ ‘อุปกรณ์บอกเวลา’ ตัวจริงที่ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทางเทคนิค ในปี ค.ศ. 1982 Rolex ได้เปิดตัว GMT-Master II พร้อมกลไกการทำงานที่ทำให้เข็มแสดงชั่วโมงถูกปรับตั้งได้อย่างเป็นอิสระจากเข็มนาฬิกาอื่น ด้วยเข็มแสดงชั่วโมง นาที และวินาทีแบบดั้งเดิมที่ปลายเข็มนาฬิกาเป็นรูปสามเหลี่ยม 24 ชั่วโมง
พร้อมขอบหน้าปัด Cerachrom แสดงเวลา 24 ชั่วโมงแบบหมุนได้สองทิศทาง GMT-Master II สามารถแสดงเวลาตามเวลาท้องถิ่นและเวลาอ้างอิง หรือเวลาท้องถิ่นและเขตเวลาอื่นได้ตามต้องการ วันที่ยังสอดคล้องกับเวลาในท้องถิ่น
สำหรับเวอร์ชั่นปี 2022 นี้ ได้สะท้อนความเป็นตัวตนของ GMT-Master II ที่ถูกรังสรรค์ขึ้นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1955 มีการปรับเปลี่ยนโดยย้ายเม็ดมะยมมาอยู่ด้านซ้ายมือของตัวเรือนและช่องวันที่มาอยู่ในตำแหน่ง 9 นาฬิกา นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงกระบวนการตรวจวัดความเที่ยงตรงของนาฬิการะหว่างการทดสอบในขั้นตอนสุดท้าย
ขอบหน้าปัด Cerachrom ผสมผสานสีเขียวและสีดำอันเป็นคู่สีดั้งเดิมที่สงวนไว้สำหรับนาฬิการุ่นนี้ ขั้นบอกเวลา 24 ชั่วโมงช่วยให้สามารถอ่านเวลาในเขตเวลาที่สองไปพร้อมกับเข็มบอกเวลา 24 ชั่วโมงปลายลูกศรสีเขียวอันโดดเด่น จอแสดง Chromalight พร้อมสารเรืองแสงที่พัฒนาขึ้น และคริสตัลเคลือบป้องกันแสงสะท้อนใหม่ช่วยให้สามารถอ่านเวลาได้ดีขึ้นในทุกสถานการณ์
ขับเคลื่อนด้วยกลไก Calibre 3285 ซึ่งเปิดตัวในปี 2018 สำรองพลังงานได้ประมาณ 70 ชั่วโมง ขอบหน้าปัด Cerachrom แบบหล่อชิ้นเดียวสองสีทำจากเซรามิกสีเขียวและสีดำ คู่สีที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนสำหรับรุ่นนี้ นาฬิกาเวอร์ชันดั้งเดิมให้ความสำคัญกับความพร้อมของ GMT-Master II ในการออกค้นหาและตีความใหม่
ตัวเรือน Oyster ขนาด 40 มิลลิเมตร กันความลึกได้ถึง 100 เมตร (330 ฟุต) เม็ดมะยม Triplock ที่ติดตั้งระบบกันน้ำสามชั้นเจาะยึดด้วยสกรูเข้ากับตัวเรือนไว้อย่างแน่นหนาพร้อมการ์ดป้องกันเม็ดมะยมภายใน คริสตัลที่ประดับบนเลนส์ Cyclops บริเวณตำแหน่ง 3 นาฬิกาเพื่อให้อ่านวันที่ได้ง่ายทำจากแซฟไฟร์ป้องกันการขีดข่วน และผ่านการเคลือบป้องกันแสงสะท้อน สายนาฬิกา Oyster แบบข้อต่อสามชิ้นที่พัฒนาขึ้นในปลายทศวรรษ 1930
มาพร้อมชุดตัวล็อกนิรภัยแบบพับ Oysterlock และยังประกอบด้วยระบบขยายสาย Easylink ที่พัฒนาโดยแบรนด์ ซึ่งช่วยให้ผู้สวมใส่สามารถปรับเพิ่มความยาวของสายประมาณ 5 มม. ได้โดยง่าย นอกจากนี้ระบบยึดติดแบบซ่อนยังทำให้สายนาฬิกาและตัวเรือนเชื่อมต่อกันอย่างแนบสนิทไร้รอยต่อ GMT-Master II พร้อมเม็ดมะยมด้านซ้ายมือวางจำหน่ายพร้อมสายนาฬิกา Oyster หรือ Jubilee ราคาเปิดตัวอยู่ที่ 391,600 บาท
4. Day-Date 40
Oyster Perpetual Day-Date เปิดตัวครั้งแรก เมื่อปี ค.ศ. 1956 นาฬิกาข้อมือพร้อมปฏิทินเรือนแรก ที่แสดงวันของสัปดาห์สะกดแบบเต็มคำในหน้าต่างรูปโค้งบนตำแหน่ง 12 นาฬิกาบนหน้าปัดนอกเหนือจากการแสดงวันที่ นับว่าเป็นความสำเร็จด้านเทคนิคในขณะนั้น โดยมีวันของสัปดาห์ให้เลือกถึง 26 ภาษา นาฬิกาในตระกูล Day-Date ผลิตขึ้นจากโลหะล้ำค่าโดยเฉพาะ ได้แก่ ทองคำ ทองคำขาว และเอเวอโรสโกลด์ 18 กะรัต หรือแพลทินัม 950
นาฬิการุ่นนี้ มาพร้อมกับคามหรูหราด้วยสายนาฬิกาแบบ President ด้วยชื่อที่สะท้อนตัวตนและชื่อเสียงของผู้สวมใส่เป็นเครื่องประกันว่า Day-Date กลายเป็นที่รู้จักในนาม “นาฬิกาของผู้นำ” ตัวเรือน Oyster ขนาด 40 มิลลิเมตร ตัวเรือนตรงกลางรังสรรค์ด้วยมือจากแท่งแพลทินัม 950 เม็ดมะยม Twinlock ติดตั้งระบบกันน้ำสองชั้น เจาะยึดด้วยสกรูเข้ากับตัวเรือนอย่างแน่นหนา โดดเด่นด้วยหน้าปัดสีฟ้าไอซ์บลู อันเป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่น ของนาฬิกา Rolex ที่ทำจากแพลทินัม 950
Day-Date ใหม่รุ่นนี้ ทำจากแพลตินัม 950 ซึ่งประกอบด้วยขอบหน้าปัดแบบร่อง รังสรรค์จากโลหะมีค่าประเภทเดียวกันเป็นครั้งแรกสำหรับ Rolex คุณสมบัติด้านความงามและเทคนิคนี้ต้องใช้เวลาหลายปีในการวิจัยและพัฒนาเพื่อประยุกต์ขั้นตอนในการเซาะร่องบน “โลหะล้ำค่า”
Day-Date 40 เวอร์ชั่นล่าสุด ประกอบด้วยเข็มวินาทีสีฟ้า รวมถึงตัวเลขโรมันแยกส่วนหน้าตัด และมาร์คเกอร์ชั่วโมงหน้าตัดทำจากทองคำ 18 กะรัต มาพร้อมกับขอบหน้าปัดแบบร่องซึ่งทำจากแพลตินัมเป็นครั้งแรก ขับเคลื่อนด้วยกลไก Calibre 3255 ซึ่งเปิดตัวในปี 2015 สำรองพลังงานได้ประมาณ 70 ชั่วโมง วัสดุพร้อมประกายอันโดดเด่นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขสว่าง อันเต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ สำหรับนาฬิการุ่นนี้ ยังไม่มีการเปิดเผยราคา
5. Rolex Datejust 31
Datejust คือต้นแบบของนาฬิกาคลาสสิกตามมาตรฐานของ Rolex ด้วยประสิทธิภาพและความงามที่ไม่เคยล้าสมัย เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1945 เป็นนาฬิกาข้อมือโครโนมิเตอร์กันน้ำไขลานอัตโนมัติเรือนแรกที่แสดงวันที่ในตำแหน่ง 3 นาฬิกาบนหน้าปัด และรวบรวมนวัตกรรมสำคัญทั้งหมดที่แบรนด์สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อนาฬิกาข้อมืออันทันสมัยจวบจนปัจจุบัน Datejust คงอยู่มาหลายยุคสมัยพร้อมความงดงามอมตะซึ่งทำให้นาฬิการุ่นนี้เป็นที่จดจำได้ทันทีที่พบเห็น
Datejust 31 รุ่นใหม่ล่าสุด สวยโดดเด่นด้วยหน้าปัดลายดอกไม้สดใส ผสานสามพื้นผิวอันแตกต่าง ได้แก่ แบบซันเรย์ แบบด้าน และแบบหยาบ ทักษะอันประณีตในการผลิตหน้าปัด ซึ่งต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูงสำหรับเทคนิคการตกแต่งในขั้นตอนสุดท้ายด้วยความพิถีพิถันสูงสุด พื้นผิวยังถูกยกระดับด้วยเพชร 24 เม็ดในขนาดต่าง ๆ ที่ส่องประกายกลางมวลดอกไม้
ลวดลายบอบบางที่ตัดขอบด้วยเลเซอร์รังสรรค์คุณลักษณะพิเศษอย่างเห็นได้ชัด ด้วยเทคโนโลยีเลเซอร์เฟมโตวินาที ที่ถูกพัฒนาขึ้นเป็นครั้งแรกเพื่อใช้ในการผ่าตัด แสดงทักษะเฉพาะตัวของ Rolex ในศาสตร์การผลิตหน้าปัด กระบวนการผลิตเริ่มจากการเสาะหาอัญมณีชั้นเลิศ ช่างอัญมณีจัดวางเพชรลงในช่องบนหน้าปัดอย่างปราณีต เพื่อเป็นการรับประกันว่าความงดงามของอัญมณีแต่ละเม็ด จะเปล่งประกายเจิดจรัสอย่างสมบูรณ์แบบที่สุด
Datejust 31 รุ่นใหม่นี้ มาพร้อมกับหน้าปัดขนาด 31 มิลลิเมตร กันน้ำได้ถึง 100 เมตร (330 ฟุต) ตัวเรือนตรงกลางรังสรรค์ขึ้นจากแท่ง Oystersteel อัลลอยที่ทนทานต่อการผุกร่อนมากเป็นพิเศษ หรือจากทองคำ 18 กะรัต ขับเคลื่อนด้วยกลไก Calibre 2236 ซึ่งถูกผลิตขึ้นในปี 2014 และเปิดตัวในนาฬิการุ่นนี้ ตั้งแต่ปี 2018 เป็นต้นมา ประกอบด้วยแฮร์สปริง Syloxi ที่ผ่านการจดสิทธิบัตรและผลิตโดย Rolex แฮร์สปริงซิลิคอนที่ผ่านการจดสิทธิบัตรชิ้นนี้รับประกันถึงการทำงานของ Calibre ที่เป็นปกติในทุกตำแหน่ง
Datejust 31 วางจำหน่ายในสามเวอร์ชั่น ได้แก่
- เวอร์ชั่น White Rolesor (การผสมผสานระหว่าง Oystersteel และทองคำขาว) มาพร้อมหน้าปัดลายดอกไม้สีฟ้าอัซซูร์โร ขอบหน้าปัดแบบร่อง
- สายนาฬิกา Oyster เวอร์ชั่นทองคำ 18 กะรัต มาพร้อมหน้าปัดลายดอกไม้สีเขียวมะกอก ขอบหน้าปัดประดับเพชรเจียระไนเหลี่ยมเกสร 46 เม็ด และสายนาฬิกา President
- เวอร์ชั่น Everose Rolesor (การผสมผสานระหว่าง Oystersteel และเอเวอโรสโกลด์) มาพร้อมหน้าปัดลายดอกไม้สีเงิน ขอบหน้าปัดประดับเพชรเจียระไนเหลี่ยมเกสร 46 เม็ด และสายนาฬิกา Jubilee
โดยทั้ง 3 เวอร์ชั่น มาพร้อมกับหน้าปัดลวดลายดอกไม้อันโดดเด่น สะท้อนภาพของทุ่งหญ้าในฤดูร้อน ลวดลายดอกไม้ 24 ดอกที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเนื่องจากผิวสัมผัส ไม่ว่าจะเป็นแบบซันเรย์ แบบด้าน หรือแบบหยาบ แต่ละดอกเบ่งบานจากภายในด้วยการประดับเพชรจนถึงใจกลาง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงทักษะอันปราณีตและเทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งต้องใช้ความพิถีพิถันสูงสุด ราคาเปิดตัวอยู่ที่ 365,600 บาท
6. Datejust 41
นิยามความหรูหราสุดคลาสสิกตลอดกาล คือความสอดคล้องของความเป็นเลิศและความน่าเชื่อถือ ดดเด่นด้วยความงดงามเปี่ยมเอกลักษณ์ที่เหนือกาลเวลา Datejust 41 รุ่นใหม่นี้ มาพร้อมกับหน้าปัดขนาด 41 มิลลิเมตร ซึ่งประกอบด้วยขอบหน้าปัด แบบเป็นร่อง นาฬิการุ่น Datejust คงความงดงามและทนทานผ่านกาลเวลา โดยเฉพาะในรุ่นดั้งเดิม กลายเป็นหนึ่งในนาฬิการุ่นที่ได้รับการยอมรับและจดจำมากที่สุด
โดดเด่นด้วยหน้าปัดสีเขียวมินท์ และสายนาฬิกาแบบ Oyster แสงสะท้อนจากด้านข้างตัวเรือนและสลักตะขอเพิ่มความโดดเด่นให้แก่รูปลักษณ์อันสง่างามของตัวเรือนแบบ Oyster มาร์คเกอร์ชั่วโมงอันมีเอกลักษณ์เฉพาะทำจากทองคำเพื่อป้องกันความหมอง ขอบหน้าปัดแบบเซาะร่องทำจากทองคำ อันเป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นของ Rolex พร้อมสายนาฬิกาแบบ Oyster ประกอบด้วยชุดตัวล็อก Oysterclasp และระบบข้อต่อสายนาฬิกา Easylink
Datejust 41 ขับเคลื่อนด้วยกลไกลอัตโนมัติ calibre 3235 ตัวเรือนผลิตจากวัสดุ White Rolesor (การผสมผสานระหว่าง Oystersteel และทองคำขาว) สำรองพลังงานได้ประมาณ 70 ชั่วโมง กันน้ำได้ 100 เมตร (330 ฟุต) กระจกหน้าปัดแบบ sapphire ป้องกันรอยขีดข่วน ราคาเปิดตัวอยู่ที่ 354,300 บาท
7. Rolex Deepsea
นาฬิกา Rolex Sea-Dweller ได้รับการออกแบบโดย Rolex เพื่อการสำรวจใต้ทะเลโดยเฉพาะ เป็นนาฬิกาของนักดำน้ำที่มีความทนทานสูงมากเป็นพิเศษ โดดเด่นด้วยหน้าปัด D-blue เพื่อเป็นเกียรติแก่การดำน้ำครั้งประวัติศาสตร์ เพื่อเป็นการรำลึกถึงการดำดิ่งสู่ก้นมหาสมุทรโดยลำพังครั้งประวัติการณ์ของ James Cameron จากสีฟ้าแพรวพรายไปถึงสีดำสนิท หน้าปัดไล่สี 2 เฉดนี้ ผลิตขึ้นเพื่อร่วมเฉลิมฉลองความสำเร็จของชายผู้หนึ่งซึ่งได้เดินทางไปสู่แนวร่องลึกใต้ทะเลที่ลึกที่สุดในโลก หรือมาเรียนา เทรนช์
หน้าปัดขนาด 44 มิลลิเมตร โดดเด่นด้วย Chromalight เคลือบมาร์คเกอร์แสดงชั่วโมงและเข็มแสดงวินาทีเรืองแสงขนาดใหญ่ นาฬิกาที่สามารถกันน้ำลึกได้ถึงระดับความลึก 3,900 เมตร (12,800 ฟุต) พร้อมทั้งขอบหน้าปัดแสดงเวลา 60 นาทีแบบหมุนได้หลายทิศทางนักดำน้ำควบคุมเวลาดำน้ำและหยุดปรับแรงดันได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย
ขอบนาฬิกาเซรามิกและพรายน้ำที่ส่องสว่าง Cerachrom สีดำ ทำจากเซรามิกที่มีความทนทานต่อรอยขีดข่วนและป้องกันการซีดจางจากรังสีอัลตราไวโอเลต ผ่านกระบวนการเคลือบ PVD (การเคลือบด้วยไอเชิงฟิสิกส์) ด้วยแพลทินัมบาง ๆ หน้าปัดสีดำที่บางเฉียบ พร้อมกับพรายน้ำที่จะปล่อยแสงสีฟ้าติดต่อกันเป็นเวลานาน ทำให้อ่านเวลาในความมืดได้นานขึ้นกว่าเดิม
ตัวเรือนผลิตจากเหล็กกล้า Oystersteel ซึ่งทางแบรนด์ได้พัฒนาขึ้นเป็นพิเศษ ในตระกูลเหล็กกล้า 904L อัลลอยประเภทนี้ถูกนำมาใช้ในเทคโนโลยีชั้นสูงอย่างกว้างขวาง รวมถึงอุตสาหกรรมอวกาศและอุตสาหกรรมเคมีที่ซึ่งความทนทานต่อการสึกกร่อนสูงสุด มอบความเงางามเป็นพิเศษหลังการขัด และยังคงความงามแม้ในสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายที่สุด
มาพร้อมกับสายนาฬิกาแบบ Oyster ซึ่งประกอบด้วยชุดตัวล็อก Oysterlock เพื่อป้องกันสายนาฬิกาเลื่อนเปิดออกโดยไม่ตั้งใจ และระบบ Glidelock อันชาญฉลาด ช่วยให้สามารถปรับความยาวของสายนาฬิกาได้ง่ายโดยไม่ต้องใช้เครื่องมือใดช่วย ขับเคลื่อนด้วยกลไกอัตโนมัติ calibre 3235 สำรองพลังงานได้ประมาณ 70 ชั่วโมง ราคาเปิดตัวอยู่ที่ 503,600 บาท
8. Lady Datejust
Lady-Datejust นาฬิกาเพื่อสุภาพสตรีสุดคลาสสิก สำหรับเวอร์ชั่นล่าสุดนี้ มาพร้อมกับหน้าปัดขนาด 28 มิลลิเมตร ทำจาก ทองคำขาว 18 กะรัต โดดเด่นด้วยหน้าปัด สีดาร์คเกรย์ (สีเทาเข้ม) ประดับเพชร และสายนาฬิกา PRESIDENT ชุดตัวล็อก Crownclasp แบบซ่อนไว้รุ่นใหม่ เปิดออกได้ด้วยมงกุฎ Rolex ที่มีลักษณะเป็นบานพับ ขอบหน้าปัดประดับเพชร ถูกจัดเรียงด้วยความพิถีพิถันและยึดไว้อย่างแน่นหนาเข้ากับวัสดุทองคำหรือแพลทินัม
การจัดเรียงอัญมณีต่าง ๆ เต็มไปด้วยความแม่นยำ ทั้งตำแหน่งและระดับ ความสม่ำเสมอ ความแข็งแรงและสัดส่วนในการจัดเรียง รวมถึงความประณีตในการตกแต่งชิ้นงานโลหะขั้นตอนสุดท้าย ความงดงามเป็นประกายเพื่อเพิ่มเสน่ห์ให้แก่เรือนเวลาและผู้สวมใส่ เพิ่มความหรูหราด้วยวัสดุทองคำขาว 18 กะรัต
ขับเคลื่อนด้วยกลไกอัตโนมัติ calibre 2236 ซึ่งได้รับการพัฒนาอย่างสมบูรณ์ พร้อมด้วยระดับสุดยอดของ ประสิทธิภาพโครโนเมตริก ไม่ไวต่อสนามแม่เหล็ก แฮร์สปริง Syloxi ให้ความมั่นคงเมื่อเผชิญกับ แปรผันของอุณหภูมิและคงอยู่ได้ถึง 10 เท่า แม่นยำกว่าแฮร์สปริงทั่วไปในกรณีที่เกิดการกระแทก สามารถสำรองพลังงานได้ 55 ชั่วโมง กันน้ำได้ระดับความลึก 100 เมตร (330 ฟุต) ราคาเปิดตัวอยู่ที่ 1,391,400 บาท
9. Day-Date 40
Day Date 40 รุ่นเปิดตัวเวอร์ชั่นล่าสุดนี้ มาพร้อมกับหน้าปัดลายแนวทแยงสีดำสว่างขนาด 40 มิลลิเมตร ขอบหน้าปัดแบบเซาะร่อง ซึ่งทำหน้าที่ยึดขอบหน้าปัดลงบนตัวเรือนเพื่อประกันประสิทธิภาพในการกันน้ำของนาฬิกา ทำจากทองคำ ตัวเรือนทำจากวัสดุทองคำ 18 กะรัต ผลิตจากโลหะที่มีความบริสุทธิ์มากที่สุดเพียงเท่านั้น และผ่านการตรวจสอบภายในห้องปฏิบัติการของ Rolex อย่างพิถีพิถันด้วยเครื่องมือทันสมัย ก่อนที่จะมีการหล่อและขึ้นรูปทองคำ ด้วยความใส่ใจในคุณภาพของทุกขั้นตอน
มาพร้อมกับสายข้อมือแบบ President มาพร้อมกับข้อต่อสามชิ้นทรงครึ่งวงกลมผลิตขึ้นในปี ค.ศ. 1956 พร้อมการเปิดตัวของนาฬิการุ่น Oyster Perpetual Day-Date แสดงถึงชิ้นงานที่ประณีตสูงสุดและสวมใส่สบาย ทำด้วยโลหะล้ำค่าซึ่งผ่านการคัดสรรด้วยความพิถีพิถัน
การแสดงวันที่บนหน้าปัดนาฬิการุ่น Day Date เป็นนาฬิการุ่นแรกของโลก ที่มีการระบุวันในสัปดาห์เป็นคำเต็ม ซึ่งแสดงในหลากหลายภาษา ถูกสวมใส่โดยผู้นำระดับโลกหลายคน ซึ่งถูกนำเสนอครั้งแรกพร้อมการเปิดตัวของนาฬิการุ่นนี้ เมื่อปี ค.ศ. 1956 ขับเคลื่อนด้วยกลไกอัตโนมัติ calibre 3255 ใช้งานง่าย ทนต่อแรงกระแทกและสนามแม่เหล็ก สำรองพลังงานอยู่ที่ 70 ชั่วโมง กันน้ำได้ระดับความลึก 100 เมตร (330 ฟุต) ราคาเปิดตัวอยู่ที่ 1,708,300 บาท
10. Datejust 36
Datejust ความงดงามที่ข้ามผ่านกาลเวลามาอย่างยาวนาน ด้วยอัตลักษณ์ที่ง่ายแก่การจดจำ สำหรับเวอร์ชั่น 2022 นี้ มาพร้อมกับหน้าปัดขนาด 36 มิลลิเมตร ทำจาก Oystersteel และทองคำ ลายต้นปาล์มประดับเพชรประดับทองคำ 18 กะรัต แสงสะท้อนจากด้านข้างตัวเรือนและสลักตะขอเพิ่มความโดดเด่นให้แก่รูปลักษณ์อันสง่างาม ขอบหน้าปัดแบบเซาะร่องทำจากทองคำ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการกันน้ำของนาฬิกา
ตัวเรือนใช้วัสดุ YELLOW ROLESOR ซึ่งถือว่าเป็นการพบกันระหว่างทองคำ อันเป็นสุดยอดปรารถนาเนื่องจากความงดงามมันวาวและทรงคุณค่า ผสมผสานกับเหล็กกล้า เสริมความแข็งแกร่งและความน่าเชื่อถือ เมื่อรวมตัวกันวัสดุทั้งสองผสานคุณสมบัติชั้นเลิศของตนให้เข้ากันได้อย่างลงตัว Rolesor สัญลักษณ์ที่แท้จริงของ Rolex ถือเป็นหนึ่งในองค์ประกอบอันโดดเด่นของคอลเลกชัน Oyster
สายนาฬิกาแบบ Jubilee เป็นสายโลหะประกอบด้วยข้อต่อห้าชิ้นที่มีความยืดหยุ่นและสวมใส่สบาย ถูกออกแบบและผลิตขึ้นเป็นพิเศษสำหรับการเปิดตัว Oyster Perpetual Datejust ในปี ค.ศ. 1945 กระจกหน้าปัดมาพร้อมกับเลนส์ Cyclops เพิ่มการมองเห็นด้วยการขยายส่วนของวันที่ขนาด 2.5 เท่า เพื่อให้อ่านได้ง่ายยิ่งขึ้น และกระจกแบบ sapphire ป้องกันรอยขีดข่วนได้เป็นอย่างดี
ขับเคลื่อนด้วยระบบกลไกอัตโนมัติ calibre 3235 ซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องของความเที่ยงตรง ความทนทานต่อสนามแม่เหล็ก การสำรองพลังงานอยู่ที่ 70 ชั่วโมง กันน้ำได้ระดับความลึก 100 เมตร (330 ฟุต) ราคาเปิดตัวอยู่ที่ 309,600 บาท
นาฬิกา Rolex ถือได้ว่าเป็นนาฬิกาแบรนด์สัญชาติสวิส ที่ได้รับความนิยมมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในหมู่นักสะสมที่ชื่นชอบในเรื่องราวของประวัติศาสตร์ความเป็นมา รวมถึงเหล่านักลงทุนที่ตามล่าหาไอเท่มเด็ด ๆ หายากเพื่อนำมาลงทุน ด้วยค่าตัวที่เพิ่มสูงขึ้นทุกปี เป็นสิ่งที่เพิ่มเสน่ห์และมนต์ขลังให้กับนาฬิกาแบรนด์นี้ไม่รู้จบ ซึ่งทั้ง 10 รุ่นที่ทำการเปิดตัวใหม่ในปี 2022 นี้ นับว่าเป็นการสร้างสรรค์ผลงานที่ได้รับพัฒนาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด สมการรอคอยของเหล่าบรรดาสาวก Rolex ที่แบรนด์สัญชาติสวิสนี้ ไม่เคยทำให้ผิดหวัง
รัก
xoxo