To top
2 May

LV The Place BKK แลนด์มาร์กแห่งใหม่ใจกลางกรุงเทพฯ

LV The Place BKK

LV The Place BKK แลนด์มาร์กแห่งใหม่ใจกลางกรุงเทพฯ เป็นที่ฮือฮาในกระแสโซเชี่ยล กับแลนด์มาร์คแห่งใหม่ เอาใจสายแฟลักชูเก่าแก่สัญชาติฝรั่งเศสอย่าง Louis Vuitton กับคาเฟ่และร้านอาหารสุดหรูใจกลางเมืองกรุงเทพ ศูนย์กลางแยกราชประสงค์ Louis Vuitton Visionary Journeys ณ ห้างเกษรอัมรินทร์ เชิญชวนผู้มาเยือนให้ดื่มด่ำไปกับหัวใจหลักในเรื่องความเชี่ยวชาญงานฝีมือ นวัตกรรม การเดินทาง และความคิดสร้างสรรค์ ได้สัมผัสประสบการณ์ความเป็นหลุยส์ วิตตองอย่างเต็มรูปแบบ

หลุยส์วิตตอง นำเสนอแนวคิดเชิงวัฒนธรรมแห่งใหม่ สไตล์อิมเมอร์ซีฟเปรียบดั่งดั่งการท่องโลกที่บอกเล่า พบกับหลุยส์วิตตองผ่านห้องต่างๆ เพื่อดื่มด่ำไปกับมรดกอันเป็นตำนานของตำนานเมซง นอกจากนี้ LV The Place Bangkok ยังคงเป็นที่ตั้งของคาเฟ่และร้านอาหารโดยเชฟ Gaggan Anand ดีไซน์เนอร์และเป็นแรงบันดาลใจให้กับเมนูต่าง ๆ ที่ถูกรังสรรค์และคัดสรรขึ้นโดยเฉพาะ

 

Louis Vuitton Visionary Journeys Bangkok

Visionary Journeys ถือเป็นภาคแรกของแนวคิด OMA ด้วยผลงานการออกแบบของบริษัทสถาปนิกที่มีชื่อเสียงระดับโลกอย่าง OMA และ Partner Shohei Shigematsu นับเป็นการทำงานร่วมมือในฐานะพันธมิตรครั้งแรกระหว่าง OMA และหลุยส์ วิตตอง โดยนำจินตนาการของเอกลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมมาถ่ายทอดในคอนเซ็ปต์ใหม่ให้กับงานนิทรรศการ Visionary Journeys

ในการออกแบบนิทรรศการและอัตลักษณ์ของ Louis Vuitton โครงการแรกนี้ตั้งอยู่ที่ชั้นล่างของเกษรอัมรินทร์ในกรุงเทพฯ โดยเป็นองค์ประกอบทางวัฒนธรรมของ “LV The Place” ซึ่งเป็นอินเทอร์เฟซใหม่ของ Maison ที่ผสมผสานนิทรรศการ คาเฟ่ ร้านค้า และร้านอาหารเข้าด้วยกัน

ฉากนี้ปรับบริบทใหม่ให้กับผลงานทางประวัติศาสตร์และร่วมสมัยผ่านสภาพแวดล้อมที่เหมือนความฝัน การออกแบบหรือช่วงเวลาที่โดดเด่นที่สุดของ Maison ได้รับการถ่ายทอดไปสู่สภาพแวดล้อมที่มีอยู่อย่างแท้จริง ห้องที่มีธีม 5 ห้อง ได้แก่ “Trunkscape”, “Origins”, “Iconic Bags”, “Collaboration” และ “Souvenirs”

สร้างขึ้นโดยใช้รูปแบบการจัดแสดงเฉพาะตามเนื้อหา องค์ประกอบและเทคนิค เช่น นวัตกรรมด้านโครงสร้าง รูปแบบการเก็บถาวรที่ไร้ขอบเขต คุณภาพของวัสดุและสัญลักษณ์สัญลักษณ์จะถูกแยกและแปลเป็นชุดชิ้นส่วนใหม่สำหรับแต่ละห้อง มุ่งหน้าออกสู่เส้นทางที่บอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาอันน่าประทับใจของเมซงในนิทรรศการสุดล้ำเสมือนจริงอย่าง Visionary Journeys ที่จัดขึ้นเพื่อเชิดชูนวัตกรรม รวมถึงจิตวิญญาณแห่งการเดินทางของหลุยส์ วิตตองผ่านห้องต่างๆ โดยผสมผสานเรื่องราวบริบทใหม่ทั้งประวัติศาสตร์ และชิ้นงานร่วมสมัย

ห้องแรก Trunkscape ถือเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวของ Louis Vuitton ด้วยงานศิลปะจัดวางที่สร้างด้วยหีบ Courrier Lozine 90 ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์สำคัญที่แสดงถึงประวัติศาสตร์แห่งงานฝีมือและนวัตกรรมที่เป็นแก่นแท้ของแบรนด์ หีบทรังก์ 96 ใบ ถูกนำมาเรียงต่อกันราวกับอุโมงค์ทางเดินที่ทอดยาวไปสู่เรื่องราวงานฝีมือและนวัตกรรม แสดงให้เห็นถึงความสมบูรณ์ของโครงสร้าง ความแข็งแกร่ง และเป็นจุดเริ่มต้นแรกของการเดินทาง

เน้นความชาญฉลาดและคุณภาพของการก่อสร้าง แต่ละแบบถูกสร้างขึ้นด้วยส่วนประกอบคุณภาพต่าง ๆ  เช่น ไม้ ผ้าใบโมโนแกรมอันเป็นเอกลักษณ์ของ Louis Vuitton และรายละเอียดโลหะแท้ วงแหวนโลหะแบบกำหนดเองช่วยยึดยูนิตให้อยู่กับที่ Trunkscape ที่เกิดขึ้นนั้นล้อมรอบด้วยฉากกั้นที่ขยายพื้นที่สำหรับการเล่าเรื่อง และนำพาผู้ชมผ่านพอร์ทัลอันน่าดึงดูดเข้าสู่นิทรรศการ

ห้อง Origins นำเสนอเรื่องราวของผู้ก่อตั้งกลุ่มแรกสุดของ Maison โดยเน้นถึงผลงานที่โดดเด่นและเฉพาะเจาะจงของ Louis Vuitton, Georges Vuitton, Gaston Louis Vuitton และทายาทของพวกเขาที่มีต่อ Maison ประวัติความเป็นมาโดยรวมของความคิดชิ้นงานที่เป็นแรงบันดาลใจ รวมทั้งดีไซน์ต่าง ๆ ในยุคแรก

รูปแบบของทรังก์ตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 แสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญในการรังสรรค์ทรังก์และบรรจุสิ่งของต่างๆ ส่วนตัวอย่างของโมโนแกรมแคนวาสหลากหลายรูปแบบที่พัฒนามาหลายทศวรรษ บ่งบอกถึงความต่อเนื่องและนวัตกรรมของแบรนด์อันไม่หยุดนิ่ง ล้อมรอบผู้ชมด้วยเมฆแห่งความทรงจำ ความรู้ และจินตนาการที่ประกอบเป็นเรื่องราวที่มีวิสัยทัศน์ของหลุยส์ วิตตอง

ห้อง Iconic Bags คือการเที่ยวชมกระเป๋าที่มีเอกลักษณ์ที่สุดของแบรนด์ ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาสำคัญในประวัติศาสตร์ของ จัดแสดงเพื่อเฉลิมฉลอง 25 ปี ในประวัติศาสตร์แฟชั่นของหลุยส์ วิตตอง ถ่ายทอดเรื่องราวของดีไซน์กระเป๋าไอคอนิกทั้ง 5 รุ่น คือ Alma, Keepall, Speedy, Noé และ Petite Malle

ซึ่งนำกลับมาตีความใหม่โดยผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ ตั้งแต่มาร์ค จาคอบส์, คิม โจนส์, นิโกลาส์ เฌสกิเยร์, เวอร์จิล อาโบลห์ และฟาเรลล์ วิลเลียมส์ ที่แสดงวิสัยทัศน์ความก้าวล้ำของสไตล์และความเชี่ยวชาญด้านงานฝีมือ รูปทรงและเอกลักษณ์ของกระเป๋าไอคอนิกซึ่งมีความสำคัญต่อเมซงถูกนำเสนอผ่านกระเป๋า 21 ใบ พร้อมเสื้อผ้า 2 ลุค

ถูกจัดวางเป็นสี่กลุ่มของสิ่งของที่ห่อหุ้มด้วยฟองอะคริลิกใสเพื่อเน้นรูปร่างและรูปทรงของกระเป๋าแต่ละใบ อิทธิพลของหลุยส์ วิตตองซึ่งถูกระงับอยู่ในอวกาศ ก่อให้เกิดกลุ่มดาวแห่งสิ่งประดิษฐ์เหนือกาลเวลาและเรื่องราวที่รวบรวมไว้ จัดแสดงภายในลูกบอลอะคริลิกใสทรงกลม 19 ลูก เพื่อขับเน้นให้เห็นวิสัยทัศน์บนผลงานของดีไซเนอร์ต่าง ๆ อย่างชัดเจน

ห้อง Collaboration แสดงให้เห็นถึงวิวัฒนาการและความคิดสร้างสรรค์ของแบรนด์ผ่านความร่วมมือที่สร้างขึ้นบนพื้นฐานของไอคอน LV อย่าง Speedy และ Keepall Speedy และ Keepall ทำหน้าที่เป็นผืนผ้าใบสำหรับผู้ร่วมงานในการมอบชีวิตและเรื่องราวใหม่ ๆ ให้กับกระเป๋าเหนือกาลเวลา โดยปรับบริบทใหม่ให้เข้ากับยุคสมัย จากความเป็นไปได้ที่ไม่สิ้นสุดผ่านการทำงานร่วมกันและแก่นแท้ของกระเป๋าในฐานะประติมากรรม

ค้นพบความสัมพันธ์กับเหล่าศิลปินที่รังสรรค์ให้เกิดผลงานกระเป๋าที่ได้รับความนิยมและเป็นที่จดจำสูงสุดจากการตีความของสตีเฟน สเปราส์, ริชาร์ด ปรินซ์, ทากาชิ มุราคามิ หรือยาโยอิ คุซามะ โดยนำผลงานดั้งเดิมทั้ง 7 ชิ้น มาเป็นตัวแทนสะท้อนความร่วมมือและศักยภาพอันไร้ขีดจำกัด ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็นจอสกรีนแอนิเมชั่นครึ่งวงกลมฉายแพทเทิร์นงานของศิลปินแต่ละคนที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวลงบนฉากหลังซึ่งเป็นกระเป๋าชุบโครมจำนวน 184 ใบ

กระเป๋าชุบโครเมียม 184 ใบ ซึ่งทำหน้าที่เป็นทั้งวัตถุจัดแสดงและฉากหลังสำหรับเนื้อหาที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ม้าหมุนที่หมุนได้ของผลงานดั้งเดิมทั้ง 7 ชิ้น จะซิงค์กับครึ่งวงกลมของหน้าจอแอนิเมชันที่เปลี่ยนห้องสะท้อนแสงให้กลายเป็นการแสดงภาพยนตร์ของผู้ร่วมงานแต่ละคน ตลอดจนงานศิลปะและลวดลายที่แตกต่างกันจากวัตถุ

ห้อง Souvenirs Room แสดงถึงความสนุกสนานของหลุยส์ วิตตอง ในตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติขนาดใหญ่ของแบรนด์ชั่วคราว โดยเป็นวัตถุเฉพาะในนิทรรศการ เช่น โปสเตอร์ กระเป๋า สติ๊กเกอร์ และโปสการ์ด เอกลักษณ์เฉพาะของนิทรรศการครั้งแรกในกรุงเทพฯ การออกแบบได้มาจากการผสมผสานความหลากหลายและสีสันของตลาดกลางคืนของเมือง เครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติถูกรวมเข้ากับตารางของแสงสีสดใสที่สะท้อนจากผนังกระจกเพื่อเติมเต็มห้องด้วยจักรวาลอันมีสีสันของ Louis Vuitton

 

LE CAFÉ LOUIS VUITTON

Le Café Louis Vuitton ตกแต่งในบรรยากาศอันรื่นรมย์ผสมผสานดีไซน์องค์ประกอบของพืชพรรณธรรมชาติและมาในสไตล์ที่เน้นความสดชื่นด้วยหลากหลายเมนูแสนอร่อยซึ่งตกแต่งด้วยสัญลักษณ์ของเมซง มีให้เลือกตั้งแต่เค้ก พาร์เฟต์ ไปจนถึง Mango Sticky Rice Fizz สุดเอ็กซ์คลูซีฟ สนนราคาของไอศครีมและเค้กต่าง ๆ จะเริ่มต้นที่ 390 – 550 บาทต่อชิ้น ราคาเครื่องดื่มเริ่มต้นที่ 130 – 350 บาท

ตั้งอยู่บริเวณชั้นล่าง ตกแต่งในบรรยากาศอันรื่นรมย์ ผสมผสานดีไซน์องค์ประกอบของพืชพรรณธรรมชาติ และดีเทลทันสมัยของเมซง ตั้งแต่พื้นปาร์เก้ไม้ที่ปูเป็นลวดลายโมโนแกรม ไปจนถึงเฟอร์นิเจอร์ในดีไซน์ที่ตีความจาก Objets Nomades ที่นี่นำเสนอซีเลกชันเมนูขนมที่พิถีพิถันรังสรรค์ ตั้งแต่เค้ก ทาร์ต พาร์เฟต์ และไอศกรีมแซนด์วิชหลากหลายรสชาติ พร้อมทั้งตกแต่งรายละเอียดอันเป็นเอกลักษณ์ของหลุยส์ วิตตอง ขนมที่รังสรรค์ขึ้นพิเศษอย่างเช่น Star Blossom Cake เป็นเค้กชอคโกแลตคาราเมล

รสละมุนต่อเนื่องคาราเมลเข้มข้น Monogram Cake เค้กพิสตาชิโอที่ได้ความหอมอ่อน ๆ ของกลิ่นส้มและข้าวเหนียวมะม่วง ฟองเบียร์เย็นสดชื่นเพื่อให้ได้ข้าวเหนียวมะม่วงของไทยและน้ำเชื่อมสกัดรสชาติ จากข้าวเหนียวมะม่วงมาควบคุมน้ำโทนิคโซดา โซนนี้สะท้อนการมองเห็นของคลื่นเอเซียและทิศทางวัสดุจากไม้ หวาย และต้นไม้ที่ให้จุดเด่นคือตรงกลาง pièce de ความต้านทานเคาน์เตอร์โค้งมนที่ตั้งโชว์ ซีกชันขนมอันสวยงามน่ารับประทานให้กับลูกค้าเซิร์ฟเวอร์สรรได้ตามอัธยาศัยโดยคาเฟ่ชื่อดังบริษัท สยามพิวรรธน์

The Store

รีเทลสโตร์ภายใน LV The Place Bangkok เป็นการผสมผสานดีไซน์โก้หรูเข้ากับการตกแต่งที่มีชีวิตชีวา รายล้อมไปด้วยเฟอร์นิเจอร์วินเทจและงานศิลปะสีสันสดใส พร้อมมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ดื่มด่ำและร่วมสมัยด้วยสินค้าที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เช่น Alma Nano Rainbow ที่มีให้เลือก 5 สี และเสื้อยืด ในคอลเล็กชั่น Cruise 2024 สำหรับสุภาพสตรี มีให้เลือก 4 โทนสี และรองเท้าผ้าใบ LV Trainer Upcycling สำหรับผู้ชาย ในโทนสีอันเป็นเอกลักษณ์

ผลิตภัณฑ์เหล่านี้เป็นผลิตภัณฑ์พิเศษเฉพาะทั่วโลกและมีจำหน่ายเฉพาะที่ร้านนี้เท่านั้น บริการเพิ่มความเป็นตัวคุณด้วย Hot Stamping ในดีไซน์พิเศษเป็นรูป “น้อง Vivienne” ในโอกาสเปิดร้านค้าใหม่แห่งนี้เท่านั้น

 

GAGGAN AT LOUIS VUITTON

 

Gaggan at Louis Vuitton ตั้งอยู่บนชั้นสองของคอนเซ็ปต์สโตร์แห่งนี้ นับเป็นร้านอาหารร้านแรกของเมซงในภูมิภาคเอเชียใต้ โดยมีเชฟอินเดียผู้มีชื่อเสียงโด่งดังอย่าง Gaggan Anand มาสร้างสรรค์ประสบการณ์ในการรับประทานอาหาร ทั้งมื้อกลางวันและมื้อเย็น

การเดินทางแห่งประสบการณ์อาหาร เริ่มต้นจากทางเข้าซึ่งต้อนรับด้วยทรังก์อันเป็นสัญลักษณ์เรียงต่อกันเป็นรูปปิระมิด ก่อนจะนำไปสู่ห้องโถงตกแต่งผนังด้วยแท่งเรซินดีไซน์โดย Draga & Aurel โคมไฟดอกไม้โมโนแกรม และเชือกขึงตกแต่ง ร้านอาหารแบบไฟน์ไดนิ่งใช้โต๊ะรับประทานอาหารทำด้วยหินอ่อนจากอิตาลี สามารถรองรับแขกได้ 10 โต๊ะ พร้อมทั้งนำเสนอเมนูประจำซีซั่นที่รังสรรค์พิเศษให้กับหลุยส์ วิตตอง ภายใต้คอนเซ็ปต์ 5 S ได้แก่ Sweet, Sour, Salty, Spicy และ Surprise

ตั้งแต่เมนูล็อบสเตอร์กับซอสที่ได้แรงบันดาลใจรสชาติแบบไทย ไปจนถึงสูตรเมนูเห็ดในแผ่นแป้งที่มีแรงบันดาลใจจากแพทเทิร์น Damier โดยส่วนผสมแต่ละชนิดจะเป็นดาวเด่นที่นำเสนอผ่านเมนูในแต่ละจาน นอกจากนี้สำหรับลูกค้าที่ต้องการประสบการณ์อาหารสุดเอ็กซ์คลูซีฟ ยังสามารถจองห้องส่วนตัว พร้อมทั้งชื่นชมศิลปะแห่งการทำอาหารได้อย่างใกล้ชิด

มื้อกลางวันเวลา 12:00 น. และ 12:30 น. และจองอาหารค่ำเวลา 18:00 น. และ 19:00 น. สำหรับแขกในช่วงเย็นสามารถเลือกรับประทานอาหารแบบส่วนตัวได้ ราคาชุดละ 4,000++ บาท สำหรับมื้อกลางวัน 8 คอร์ส และ 8,000++ บาท สำหรับมื้อเย็น 17 คอร์ส นอกจากนี้ยังมีตัวเลือกสำหรับ Wine Journey ในราคา 6,000++ บาท

‘LV The Place’ ตั้งอยู่ที่ ชั้น G-2, 496-502 ภายในห้างเกษรอัมรินทร์บนถนนเพลินจิต เข้าถึงได้ง่ายสำหรับทั้งคนในพื้นที่และนักท่องเที่ยว นอกจากนี้ เกษรอัมรินทร์ยังเชื่อมต่อโดยตรงกับสถานีรถไฟฟ้า BTS ชิดลม ซึ่งช่วยให้ผู้มาเยือนทุกคนเข้าถึงได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเดินทางมาโดยรถประจำทาง MRT หรือแม้แต่เรือ แขกก็สามารถไปถึงจุดหมายปลายทางที่ ‘LV The Place’ ได้อย่างง่ายดาย

รัก
xoxo

 

KATE