To top
21 Feb

แบรนด์เนมรุ่นยอดนิยม กระเป๋าที่ชีวิตนี้ขอมีสักใบ!

แบรนด์เนมรุ่นยอดนิยม หรือ Most Iconic “it-bag” at all time กระเป๋าที่สาวๆ หลายคนต่างหวังอยากได้มีไว้ในครอบครองสักใบในชีวิต ซึ่งนอกจากจะมีความสวยงามที่เป็นอมตะแล้ว ยังเลอค่าด้วยมูลค่าของกระเป๋าที่พุ่งสูงขึ้นทุกปี สาเหตุที่กระเป๋าเหล่านี้ขึ้นแท่นความคลาสสิคตลอดกาล เป็นเพราะดีไซน์ที่เข้ากันได้กับทุกยุคทุกสมัย ไม่ตกเทรนด์ รวมถึงการใช้งานที่คุ้มค่า ที่สำคัญยังสามารถเก็บไว้เก็งกำไรได้อีกด้วย

แบรนด์เนมรุ่นยอดนิยม

แบรนด์เนมรุ่นยอดนิยม

วันนี้เราขอเปิดตำนาน ของ 10 กระเป๋า แบรนด์เนมรุ่นยอดนิยม ที่ขึ้นแท่นขายดีตลอดกาล ยากจะมีใครมาทำลายสถิติความนิยมนี้ กระเป๋าที่ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นหัวข้อเสมอสำหรับสาวๆ ที่กำลังวางแผนจะซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมใบแรก เป็นกระเป๋าที่เป็นต้นแบบให้กับกระเป๋ารุ่นใหม่ๆ จะมีรุ่นไหนกันบ้าง ตามมาเลยค่ะ

 

1. Chanel ‘Classic Flap Bag’

"<yoastmark

Chanel Classic Flap Bag ได้รับแรงบันดาลใจมาจากกระเป๋า Chanel 2.55 ถูกนำมาดีไซน์ใหม่ในปี ค.ศ. 1983 โดย Karl Lagerfeld ผู้เข้ามารับตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ของชาแนล โดยทำการดัดแปลงตัวล็อคแบบใหม่เป็นรูปตัว C ไขว้ (CC turn-lock design) ซึ่งได้กลายเป็นเอกลักษณ์ของชาแนลในเวลาต่อมา

ปัจจุบัน Classic Flap Bag มีด้วยกัน 7 ขนาดคือ Mini , New Mini , Small , Medium , New Medium , Jumbo และ Maxi  มีการพัฒนาดีไซน์และรูปลักษณ์ใหม่ๆตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องวัสดุหนัง สีกระเป๋า สีของ Hardwear ที่มีออกมาให้เลือกอย่างหลากหลาย ด้วยการเปลี่ยนแปลงให้ทันยุคทันสมัยนี้ สร้างความตื่นเต้นให้กับเหล่าสาวกแฟชั่นไม่น้อย กลายเป็นหนึ่งในกระเป๋าที่สาวๆอยากได้มาครอบครองมากที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย

ขนาดของกระเป๋า Chanel Classic Flap Bag

  • Mini : 6.5 x 2.5 x 5.5 นิ้ว
  • New Mini : 8 x 2 x 5 นิ้ว
  • Small : 9.25 x 2.5 x 5.5 นิ้ว
  • Medium : 10 x 7 x 2.5 นิ้ว
  • New Medium : 11 x 7 x 3.5 นิ้ว
  • Jumbo : 12 x 3.5 x 8.25 นิ้ว
  • Maxi : 13 x 4 x 9 นิ้ว

 

2. Chanel ‘2.55’

CHANEL รุ่น 2.55

CHANEL 2.55

กระเป๋ารุ่นนี้ ได้รับการออกแบบมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1929 โดย Gabrielle Bonheur Chanel (กาเบรียล บอนเนอร์ ชาแนล) หรือโคโค่ ชาแนล ที่เรารู้จักกันดี ลักษณะเป็นกระเป๋าถือที่ทำจากหนัง มีลายข้าวหลามตัด แต่ด้วยความที่ชาแนลเป็นคนสูบบุหรี่ จึงพบกว่าการที่มือหนึ่งต้องคอยถือกระเป๋ามันช่างยุ่งยากและไม่สะดวก ทำให้เธอตัดสินใจออกแบบเพิ่มสายสะพายเข้าไปเพื่อใช้คล้องไหล่ได้ เป็นการนำเสนอกระเป๋ารูปแบบใหม่ที่มีทั้งความสวยงามและประโยชน์ใช้สอย

หลังจากนั้น เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 1955 กระเป๋า CHANEL รุ่น 2.55 ได้ออกวางจำหน่ายเป็นวันแรก โดยชื่อรุ่น 2.55 นั้น มาจากเดือน 2 (กุมภาพันธ์) ปี 55 (1955) ซึ่งเป็นวันที่เปิดตัวกระเป๋า ผลคือได้รับการตอบรับที่ดีเยี่ยม ทำให้ตั้งแต่ปี 1955 ผู้คนก็เริ่มหันมาใช้กระเป๋าแบบมีสายสะพายกันแทบทั้งเมือง Chanel 2.55 กลายเป็นซิกเนเจอร์อีกชิ้นหนึ่ง ที่เหล่าบรรดาหญิงสาวทั่วโลกต่างก็อยากมีไว้กันในครอบครองแทบทั้งสิ้น

ในปี ค.ศ. 2005 Karl Lagerfeld ได้ออกแบบกระเป๋ารุ่น “Chanel 2.55 Reissue” เป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี ของกระเป๋า Chanel 2.55 ซึ่งทำการดัดแปลงรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ จากกระเป๋ารุ่นดั้งเดิม เพื่อให้มีความทันสมัยขึ้น รวมถึงหนังแบบใหม่ “Aged Calfskin” ให้เอกลักษณ์ผิวกระเป๋าที่ดูยับย่น คงความคลาสสิคของกระเป๋ารุ่นนี้ไว้อย่างเต็มเปี่ยม มีการเปลี่ยนขนาดในบาง Size รวมทั้งมีการเปลี่ยนชื่อเรียกแต่ละขนาดเป็นตัวเลขอีกด้วย

Chanel 2.55 Reissue

Chanel 2.55 Reissue

ขนาดของกระเป๋า Chanel 2.55 Reissue

  • Reissue224 : 5.7 x 7.9 x 3 นิ้ว
  • Reissue225 : 6.3 x 9.4 x 3 นิ้ว
  • Reissue226 : 6.7 x 11 x 3.3 นิ้ว
  • Reissue227 : 7.5 x 12.6 x 3.7 นิ้ว

 

3. Chanel ‘BOY’

boy chanel

Boy Chanel

ชาแนลบอย เปิดตัวเมื่อปี ค.ศ. 2011 และกลายเป็นหนึ่งใน Iconic Bag ยอดนิยมของชาแนลอย่างรวดเร็ว ดีไซน์โดย Karl Lagerfeld ได้รับแรงบันดาลใจมาจากกระเป๋าใส่กระสุนปืน สำหรับนักล่าสัตว์ ชื่อรุ่น “Boy” มาจากชื่อของบุคคลที่สำคัญและมีอิทธิพลที่สุดในชีวิตของ Coco Chanel “Boy Capel” (ประวัติแบรนด์ Chanel)

ตัวกระเป๋าออกแบบมาเพื่อสะพายไหล่หรือเป็น Crossbody ตรงกันข้ามกับชาแนลรุ่น 2.55 ซึ่ง Chanel Boy ถือว่าเป็นกระเป๋าที่มีขนาดใหญ่กว่ามาก ด้วยดีไซน์ที่เรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยความทันสมัย รายละเอียดของโซ่สายสะพายที่ดูทะมัดทะแมง ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากในโลกแฟชั่น ตัวล็อคที่ทำออกมาละม้ายคล้ายตัวต่อเลโก้ ภายในกระเป๋าบุด้วยผ้าแทนหนัง เป็นกระเป๋าที่ผสมผสานทั้งความเป็นผู้ชายและผู้หญิงเข้าด้วยกันอย่างลงตัว

ปัจจุบัน Chanel Boy มีทั้งหมด 5 ขนาด คือ small , medium , New Medium , large และ Shopping Tote กระเป๋าใบเล็กสามารถใช้เป็นกระเป๋าถือได้ ขนาดกลางเหมาะสำหรับใช้ในชีวิตประจำวัน และรุ่นใหญ่เหมาะสำหรับคนที่ชอบพกสิ่งของติดตัวเยอะๆ นอกจากขนาดที่แตกต่างกันแล้วกระเป๋า Boy ยังมีวัสดุและสีที่หลากหลาย ทำให้ Chanel Boy เป็น แบรนด์เนมรุ่นยอดนิยม อีกรุ่นที่สาวๆ หลายคนหวังที่จะได้ครอบครอง

Chanel Boy

Chanel Boy

ขนาดของกระเป๋า Chanel BOY

  • Small : 7.9 x 4.7 x 3.1 นิ้ว
  • Medium : 9.8 x 5.9 x 3.5 นิ้ว
  • New Medium : 11 x 7 x 3.5 นิ้ว
  • Large : 11.8 x 8.3 x 3.9 นิ้ว
  • Boy Tote (Shopping Tote) : 12.6 x 9.1 x 6.5 นิ้ว

 

 

4. Louis Vuitton ‘Speedy’

Louis Vuitton Speedy

Louis Vuitton Speedy

จุดเริ่มต้นของกระเป๋ารุ่นนี้ พัฒนามากจากกระเป๋า Louis Vuitton รุ่น Keepall จากรีเควสพิเศษของดาราสาว อย่าง Andrey Hepburn (ออเดรย์ แฮปเบิ้น) ให้ออกแบบกระเป๋าเดินทาง Keepall ขนาดเล็ก ในปี ค.ศ. 1930 ผลของการออกแบบในครั้งนั้น ได้ถือกำเนิดกระเป๋ารุ่น Speedy ขนาด 25 นิ้ว ซึ่งเป็นต้นแบบของกระเป๋า Louis Vuitton Speedy size 25 ในเวลาต่อมา รูปทรงเรียบง่าย น้ำหนักเบา สามารถจุของได้เยอะ เรียกว่าเป็น “Everyday Bag” กระเป๋าที่สามารถใช้ได้ทุกวัน และได้รับความนิยมอย่างสูง

ปัจจุบัน Louis Vuitton รุ่น Speedy มีทั้งหมด 4 ขนาดด้วยกัน คือ ขนาด 25 นิ้ว , 30 นิ้ว , 35 นิ้ว และ 40 นิ้ว มีทั้งรุ่นธรรมดาที่ไม่มีสายสะพาย และมีสายสะพาย โดยรุ่นที่มีสายสะพายมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า Speedy bandouliere มีทั้งหมด 4 ขนาดเช่นเดียวกัน รวมทั้งผลิตจากลวดลายและวัสดุที่หลากหลาย สำหรับลายที่เป็นนิยม จะเป็นลายผ้าใบ Monogram และ Damier เป็นเวลากว่า 90 ปีแล้ว ที่กระเป๋ารุ่นนี้ถือกำเนิดมา ด้วยราคาที่สามารถจับต้องได้ จึงไม่แปลกใจที่ Speedy จะขึ้นแท่นเป็นหนี่งในกระเป๋ายอดนิยมตลอดกาล

Louis Vuitton Speedy

Louis Vuitton Speedy

ขนาดของกระเป๋า Louis Vuitton Speedy 

  •  Speedy25 :  9.85 x 7.5 x 6 นิ้ว
  •  Speedy30 : 11.8 x 8.5 x 7 นิ้ว
  •  Speedy35 : 13.8 x 9 x 7 นิ้ว
  •  Speedy40 : 15.8 x 9.8 x 7.5 นิ้ว

 

5. Louis Vuitton ‘Neverfull’

Louis Vuitton Neverfull

Louis Vuitton Neverfull

ยังอยู่กับแบรนด์สุดหรู Louis Vuitton กับกระเป๋ารุ่นยอดนิยมใบต่อใบ “Neverfull” กระเป๋าที่สาวๆ หลายคนรู้จักและคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี กระเป๋าทรง Tote ที่เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 2007 ดีไซน์การออกแบบที่สวยงาม เข้ากับทุกกระแสแฟชั่น รวมทั้งประโยชน์ใช้สอยที่เต็มเปี่ยม สมชื่อ “Neverfull” ที่มีความหมายว่า “ไม่มีวันเต็ม” ด้วยความพิถีพิถันในการผลิตกระเป๋า 1 ใบ ซึ่งใช้เวลาตัดเย็บถึง 45 ชั่วโมงทีเดียว

Louis Vuitton Neverfull ผลิตออกมา 3 ขนาดด้วยกัน คือขนาดเล็กสุด PM ขนาดกลาง MM และขนาดใหญ่ GM เป็นทางเลือกให้กับสาวๆได้มีโอกาสเลือกกระเป๋าที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของตัวเอง นี่คืออีกเหตุผล ที่นอกจาก Neverfull จะเป็นหนึ่งในกระเป๋ายอดนิยมของทาง Louis Vuitton เองแล้ว ยังเป็นหนึ่งในกระเป๋าที่อยู่ครองใจสาวๆมายาวนานถึง 13 ปี

Louis Vuitton Neverfull

Louis Vuitton Neverfull

ขนาดของกระเป๋า Louis Vuitton Neverfull 

  • PM : Petite Modele (ขนาดเล็ก) 11.2 x 8.7 x 5.1 นิ้ว
  • MM : Moyen Modele (ขนาดกลาง) 12.5 x 11.5 x 6.5 นิ้ว
  • GM : Grand Modele (ขนาดใหญ่) 15.6 x 12.8 x 7.9 นิ้ว

 

6. Dior ‘Lady Dior’

Dior Lady Dior

Dior Lady Dior

กระเป๋ารุ่นนี้ ออกแบบเป็นพิเศษโดย จอห์น กัลลิอาโน (John Galliano) ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ของ Dior ในสมัยนั้น เพื่อมอบให้กับเจ้าหญิงไดอาน่า ในขณะเสด็จเยือนกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อปี ค.ศ. 1995 ถูกออกแบบขึ้นโดยใช้หนังแกะสีดำคุณภาพดี จำนวน 130 ชิ้น ใช้ช่างฝีมือ 7 คน โดยช่าง 1 คนจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 8 ชั่วโมง ในการเย็บกระเป๋าด้วยมือรวมถึงประกอบอะไหล่ทั้งหมดเข้าด้วยกัน

เจ้าหญิงไดอาน่า ทรงถือกระเป๋ารุ่นใหม่ของ Christian Dior นี้ ครั้งแรกเมื่อเดือน ตุลาคม ขณะเสด็จเยี่ยมเด็กในเบอร์มิงแฮม ประเทศอังกฤษ และทรงถือติดต่อกันในหลายที่ ที่พระองค์เสด็จเยือนทั้งในอังกฤษและอาร์เจนตินา ภาพของกระเป๋าปรากฏอยู่ในทุกภาพที่ปาปารัซซีถ่ายเอาไว้ ทำให้เหล่าผู้คลั่งไคล้ในแฟชั่นต่างพากันกล่าวถึงกระเป๋าใบนี้กันอย่างแพร่หลาย สร้างปรากฏการณ์ยอดขายกระเป๋ารุ่นนี้พุ่งถึง 200,000 ใบ ในระยะเวลาเพียง 2 ปี

หลังจากนั้นไม่นาน ทาง Christian Dior จึงตั้งชื่อกระเป๋ารุ่นนี้ว่า “Lady Dior” เพื่อเป็นเกียรติแด่เจ้าหญิงไดอาน่า ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมกระเป๋ารุ่นนี้ถึงเป็นที่ใฝ่ฝันของสาวๆหลายๆคน เพราะแม้กาลเวลาจะผ่านไปกี่ปี กระเป๋ารุ่นนี้ก็ไม่เคยตกเทรนด์ มีการปรับเปลี่ยนสีและวัสดุที่นำมาใช้เพิ่มคอลเลกชั่นใหม่ๆให้ทันสมัยอยู่เสมอ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไม Lady Dior จึงยืนหยัดเป็นกระเป๋า แบรนด์เนมรุ่นยอดนิยม มานานถึง 25 ปีแล้ว

Lady Dior

Lady Dior

ขนาดของกระเป๋า Dior Lady Dior Bag

  • Micro (ขนาดมินิ) : 6 x 5 x 2.6 นิ้ว
  • Mini (ขนาดเล็ก) : 6.7 x 5.9 x 2.8 นิ้ว
  • Medium (ขนาดกลาง) : 9 x 8 x 4 นิ้ว
  • Large (ขนาดใหญ่) : 12.5 x 10 x 4 นิ้ว

7. Hermès ‘Kelly’

Hermès Kelly

Hermès Kelly

กระเป๋ารุ่นนี้มีต้นแบบมาจากกระเป๋าสำหรับเก็บอานม้า ที่ได้รับการออกแบบโดย เอมิล โมริช แอร์เมส (Émile Maurice Hermès) เมื่อปี ค.ศ. 1900 ต่อมาทาง Hermès ได้นำออกจำหน่ายเป็นกระเป๋าแฟชั่น โดยตั้งชื่อรุ่นว่า “Sac à dépêches” ชื่อเสียงของกระเป๋ารุ่นนี้เริ่มจาก นักแสดง เกรซ เคลลี่ คู่หมั้นของเจ้าชายแรนีแยร์ (Prince Rainier) แห่งโมนาโค ได้นำกระเป๋ารุ่น “Sac à dépêches” นี้มาบังท้องของเธอไว้ เพื่อปิดข่าวการตั้งครรภ์ขณะกำลังถูกถ่ายภาพโดยปาปารัซซี่ของนิตยสารไลฟ์ ในปี ค.ศ. 1956

ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อภาพได้ถูกตีพิมพ์ออกไป กลายเป็นกระแสฮือฮาชั่วข้ามคืน เหล่าสตรีผู้หลงไหลในแฟชั่นต่างพากันมาที่ร้านแอร์เมสพร้อมกับถามหา “Kelly Bag” ทางแบรนด์เห็นโอกาสอันดีในการเปลี่ยนชื่อรุ่นกระเป๋าเพื่อให้รับกับกระแสที่กำลังเป็นนิยมรวมทั้งให้ง่ายต่อการจดจำ ชื่อรุ่น “Hermès Kelly” จึงถือกำเนิดขึ้น โดยที่มาของชื่อมาจาก Grace Kelly นั่นเอง

Hermès Kelly มีรูปทรงที่เหมาะสำหรับทั้งคล้องแขนและสะพาย วัสดุหนังที่ใช้ทำก็แตกต่างกันออกไปในแต่ละรุ่น ตั้งแต่หนังลูกวัว หนังนกกระจอกเทศ หรือหนังจระเข้ กระเป๋าแต่ละใบ ใช้เวลาในการผลิตไม่ต่ำกว่า 16 ชั่วโมง โดยช่างทำกระเป๋าที่ต้องได้รับการฝึกอย่างน้อย 3 ปี ที่สำคัญ ไม่ใช่ว่าคนทั่วไปจะเดินเข้าไปหาซื้อกระเป๋ารุ่นนี้กันง่ายๆ เพราะต้องลงชื่อจองหรือต้องเป็นลูกค้าคนสำคัญของ Hermès เท่านั้น ถึงจะได้สิทธิ์จับจองเป็นเจ้าของ

"<yoastmark

ขนาดของกระเป๋า Hermès Kelly

  • Kelly15: 5.9 x 4 x 2 นิ้ว
  • Kelly20 : 7.8 x 6.3 x 4 นิ้ว
  • Kelly25 : 10 x 7.5 x 3.5 นิ้ว
  • Kelly28 : 11 x 8.5 x 4 นิ้ว
  • Kelly32 : 12.5 x 9 x 4 นิ้ว
  • Kelly35 : 14 x 9.5 x 4.7 นิ้ว
  • Kelly40 : 15.2 x 11 x 6.3 นิ้ว
  • Kelly50 : 19.6 x 13 x 9.8 นิ้ว

8. Hermès ‘Birkin’

Hermès Birkin

Hermès Birkin

กระเป๋า Hermès Birkin ถือเป็นหนึ่งในสุดยอดกระเป๋าที่สาวๆ หลายต่อหลายคนปรารถนา เพราะไม่ใช่ว่าจะได้ครอบครองกันง่ายๆ สถิติสูงสุดในการรอคิวซื้อที่ยาวนานถึง 6 ปี และราคาค่าตัว 6 หลัก ด้วยดีไซน์ที่หรูหราคลาสสิค ออกแบบโดย Jean-Louis Dumas (ฌอง หลุยส์ ดูมาร์) ทายาทบริหาร Hermès รุ่นที่ 5 ได้รับแรงบันดาลใจจาก นักแสดงหญิง Jane Birkin (เจน เบอร์กิน) ที่ทั้งคู่บังเอิญได้พบกันบนเครื่องบินระหว่างเดินทางจากปารีสไปลอนดอน เมื่อปี ค.ศ. 1981 (ประวัติแบรนด์ Hermès)

สิ่งที่ ฌอง-หลุยส์ ได้เห็นนั้น คือ ภาพเจนพยายามยัดตระกร้าสานของเธอไว้บนที่เก็บของเหนือศีรษะ สุดท้ายก็ตกลงมาจนฝาตะกร้าเปิด ข้าวของกระจัดกระจาย เจน จึงพูดกับ ฌอง-หลุยส์ ว่า “มันยากนะที่จะหากระเป๋าสำหรับการเดินทางในวันหยุดสักใบ” ฌอง-หลุยส์ จึงเกิดไอเดียในการออกแบบกระเป๋าเพื่อเจนโดยเฉพาะ เรื่องราวแรงบันดาลใจในการออกแบบกระเป๋าใบนี้เป็นที่กล่าวถึงและโด่งดังทันทีที่ออกสื่อ Hermès Birkin ถือกำเนิดขึ้นโดยตั้งชื่อตามนามสกุลของเธอ ในปัจจุบัน Birkin ยังคงรูปแบบกระเป๋าดังเดิมไว้ไม่มีเปลี่ยนแปลง และยังคงเป็น ITEM ที่ได้รับความนิยมเสมอมา

กระเป๋า Hermès Birkin 1 ใบ ใช้เวลาตัดเย็บทั้งหมด 48 ชั่วโมงด้วยช่างฝีมือเพียงคนเดียว พิถีพิถันทุกขั้นตอนตั้งแต่การเลือกหนังจนขึ้นรูปกระเป๋าทั้งหมด ถูกผลิตออกมาหลากหลายสี มากกว่า 20 เฉดสี ในปัจจุบัน Birkin ขึ้นชื่อว่าเป็นกระเป๋าที่บ่งบอกถึงฐานะของผู้ถือ ด้วยรูปแบบกระเป๋าที่คงแบบดั้งเดิมไว้ไม่เปลี่ยนแปลง ทำให้ Hermès Birkin ติดอันดับแบรนด์เนมรุ่นยอดนิยมไปแบบไม่ต้องสงสัย

Hermès Birkin

Hermès Birkin

ขนาดของกระเป๋า Hermès Birkin

  • Birkin25 (ขนาดมินิ) : 9.8 x 7.8 x 5 นิ้ว
  • Birkin30 (ขนาดเล็ก) : 11 x 8.7 x 6.3 นิ้ว
  • Birkin35 (ขนาดกลาง) : 14 x 9.8 x 7 นิ้ว
  • Birkin40 (ขนาดใหญ่) : 15.7 x 12 x 8 นิ้ว

9. Balenciaga ‘Classic City Bag’

"<yoastmark

Balenciaga Classic City Bag ถือได้ว่าเป็น It Bag ที่ครองใจเหล่าแฟชั่นนิสต้าอย่างมากในยุค 90s เป็นกระเป๋ารุ่น Iconic ที่ดาราและเซเลปบริตี้ส่วนใหญ่ยกให้เป็น Favourite Bag เลยทีเดียว ด้วยดีไซน์หนังย้วยๆ ที่โดดเด่น แต่ทนทาน เป็นรอยได้ยาก มาพร้อมกับ Hardwear ขัดเงาสีเงิน หรือสี Palladium ที่เป็นหมุดโลหะรอบกระเป๋า กระเป๋าช่องซิปด้านหน้าประดับด้วยพู่หนังยาวแปลกตา

ภายใน บุด้วยผ้าสีดำ กระเป๋าซิปตีตราแบรนด์ Balenciaga ไว้บนแผ่นหนัง พร้อมกระจกแบบพกพามีสายหนังคล้องไม่ต้องห่วงว่าข้าวของจะร่วงหล่นด้วยซิปเปิดปิดด้านบน สายสะพายสามารถปรับระดับ ถอดออกได้และเสริมด้วยที่รองไหล่ ปัจจุบันกระเป๋า Balenciaga Classic City Bag มีด้วยกัน 4 ขนาด คือ Nano , Mini , Small และ Large ด้วยสไตล์การออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร แถมสามารถเข้ากันได้กับทุกลุคการแต่งตัว และการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ Classic City Bag ยังคงเป็นขวัญใจสาวๆจนถึงทุกวันนี้

"<yoastmark

ขนาดของกระเป๋า Balenciaga Classic City Bag

  • Nano : 7 x 4.5 x 2.5 นิ้ว
  • Mini : 9.4 x 6.5 x 3.5 นิ้ว
  • Small : 11.7 x 7.8 x 3.9 นิ้ว
  • Large : 20.5 x 13.5 x 8 นิ้ว

 

10. Celine ‘Belt Bag’

"<yoastmark

Celine Belt Bag แบรนด์เนมรุ่นยอดนิยม กระเป๋าสไตล์มินิมัล ทรงสี่เหลี่ยม วัสดุทำจากหนังวัว (Calf Skin)  มีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นคือสายหนังรัดที่หน้ากระเป๋าคล้ายกับเข็มขัด ซึ่งเป็นที่มาของชื่อรุ่น “Belt bag” รังสรรค์ผลงานด้วยความประณีตทุกขั้นตอน กระเป๋าถูกออกแบบเป็นรูป 6 เหลี่ยม มีฝาปิดด้านหน้า รวมถึงมีตัวล็อคพิเศษซ่อนอยู่ เพื่อความแข็งแรงอยู่ทรงและแน่นหนา หูของกระเป๋าถูกซ่อนเอาไว้ด้านใน สายสะพายสามารถถอดออกได้ จะสะพายไหล่หรือถือคล้องแขนไว้ก็สวยไม่แพ้กัน

Stylish Minimal Bag รุ่นนี้ ตอบโจทย์สาวๆ ที่กำลังมองหา Everyday Bag ได้อย่างเหมาะเจาะลงตัว ด้วยกระเป๋าที่ออกแบบมาอย่างเรียบหรูดูดีในสีโทนเรียบ สีคลาสสิคอย่าง สีดำ สีเทา สีครีม และสีน้ำตาล จึงเข้ากับทุกลุค ลงตัวทุกสไตล์การแต่งตัว จะสะพายเที่ยวหรือใช้ไปทำงานยังไงก็ปัง มีให้เลือก 3 ขนาด คือ Nano ขนาดเล็ก , Micro ขนาดกลาง และ Mini ขนาดใหญ่

หรือใครที่เป็นสายแฟชั่นเปรี้ยวจี๊ด กระเป๋ารุ่นนี้ ก็ตอบโจทย์เช่นเดียวกัน โดยผลิตออกมามีให้เลือกหลายสี ไม่ว่าจะเป็นสีเขียวสด สีแดง สีน้ำเงิน มีทั้งรุ่นที่เป็นสีเดียวกันทั้งใบหรือรุ่นที่เป็น Multicolor ทั้งสีดำ/ขาว และสีแดงเข้ม/ฟ้า มีให้เลือก 2 ขนาด คือขนาดเล็กและขนาดกลาง ครบสูตรขนาดนี้ จึงกลายเป็นกระเป๋าที่สาวๆพากันหลงไหล เป็นกระเป๋าที่สาวๆต้องมี

"<yoastmark

ขนาดของกระเป๋า Celine Belt Bag

  • Nano : 8 x 8 x 4 นิ้ว
  • Micro : 9 x 8 x 5 นิ้ว
  • Mini : 11 x 9 x 7 นิ้ว

 

กระเป๋าแบรนด์เนม อาจเป็นอะไรที่ดูเหมือนเป็นของแพงและฟุ่มเฟือย ทว่าชื่อเสียงที่สั่งสมมาอย่างยาวนานของแต่ละแบรนด์ รวมถึงดีไซน์การออกแบบ ฝีมือการตัดเย็บ รวมถึงการเลือกวัสดุที่พิถีพิถัน ก่อเกิดผลลัพธ์คือกระเป๋าแบรนด์เนมที่มีคุณค่าทางจิตใจและทรัพย์สิน ถือเป็นการลงทุนอย่างหนึ่งซึ่งให้ผลกำไรที่สวยงาม เรียกได้ว่าเป็น “TimeLess Invesment” ก็ไม่ผิด

กระเป๋าแบรนด์เนมหลายๆ รุ่น ยิ่งนานวัน ยิ่งเป็น Item หายาก เป็นที่ต้องการของตลาด นั่นยิ่งเป็นการเพิ่มมูลค่า จนกลายมาเป็นความคลาสสิคที่ยังคงเป็นแบรนด์เนมขายดีตลอดกาล มาจนถึงทุกวันนี้

 

รัก
xoxo

 

 

 

 

KATE