เปิดประวัติแบรนด์ Longines เป็นเวลากว่า 190 ปี ที่แบรนด์นาฬิกาสัญชาติสวิส ยืนหยัดอยู่บนโลกของเครื่องบอกเวลาระดับตำนาน ซึ่งประสบความสำเร็จในด้านของความหรูหราสง่างาม เรื่องของคุณภาพ รวมถึงความเที่ยงตรง อันเป็นคุณสมบัติของนาฬิกาสวิส เป็นผู้บุกเบิกด้านกลไกนาฬิกา ในยุคช่วงท้ายศตวรรษที่ 19 เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นเมื่อ 190 ปีก่อน หรือเมื่อปี ค.ศ. 1832 และ KATEXOXO จะพาคุณกลับไปจุดเริ่มต้นพร้อม ๆ กัน
Early History
อุตสาหกรรมการผลิตนาฬิกาของสวิสดูแตกต่างไปจากเดิมมากในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 เมื่อเทียบกับในทุกวันนี้ โดยทั่วไปแล้วส่วนประกอบแต่ละชิ้นจะผลิตขึ้นในบ้านของครอบครัวทั่วภูมิภาค Jura อันเป็นเขตหนึ่งของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยแต่ละครอบครัวจะมีความเชี่ยวชาญแต่ละประเภทแต่ละส่วนแตกต่างกันออกไป เมื่อแต่ละชิ้นส่วนสำเร็จแล้ว ส่วนประกอบเหล่านี้จะถูกรวบรวมโดยสำนักงานการค้า Raiguel Jeune et Cie comptoirs อันเปรียบเสมือนแบรนด์ในปัจจุบัน
comptoirs จะทำหน้าที่ในการประกอบและจัดจำหน่าย จากนั้น Comptoir จะแจกจ่ายชิ้นส่วนให้กับช่างนาฬิกาแต่ละรายเพื่อประกอบผลงานในขั้นสุดท้ายที่บ้านของพวกเขาอีกครั้ง จากนั้นจึงนำนาฬิกาที่ประกอบสำเร็จมาประกอบเสร็จสรรพแล้วส่งกลับไปยัง Comptoir แล้วจึงนำไปจำหน่าย ซึ่งเราเรียกระบบแบบนี้ว่า “établissage” ระบบดังกล่าว คือการให้ช่างนาฬิกาทำงานจากที่บ้าน เมื่อสำเร็จ จึงนำผลิตภัณฑ์ส่งกลับให้สำนักงาน
Longines ก่อตั้งขึ้น เมื่อปี ค.ศ. 1832 โดย Auguste Agassiz (ออกุสต์ อากาซิซ) ผู้ซึ่งได้รับการฝึกอบรมด้านธุรกิจและทำงานในอุตสาหกรรมการธนาคารมาระยะหนึ่ง ในปีนั้น เขาและหุ้นส่วนอีก 2 คน นามว่า Henri Raiguel และ Florian Morel (ซึ่งมีศักดิ์เป็นพี่เขย) ได้ตัดสินใจที่จะเปิดบริษัทผลิตนาฬิกาของตนเองขึ้น ในฐานะโรงงานประกอบที่เมือง Saint-Imier ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เป็นที่รู้จักภายใต้ชื่อ Raiguel Jeune & Cie.
ทั้งสามคนร่วมกันดำเนินการสร้างคอมไพล์ Raiguel Jeune et Cie ซึ่งต่อมาจะค่อยๆ กลายเป็น Comptoir Agassiz หรือโรงงาน Agassiz ชิ้นส่วนนาฬิกาทั้งหมดผลิตขึ้นในประเทศ สร้างขึ้นอย่างพิถีพิถันในโรงปฏิบัติงานโดยช่างฝีมือผู้มีทักษะสูง ก่อนประกอบเข้าด้วยกัน และในที่สุดก็จัดจำหน่ายโดยออกัสเทด อากัสซิซด้วยตัวเขาเอง นาฬิกาของ Comptoir ล้วนเป็นบรรพบุรุษของนาฬิกา Longines ที่เรารู้จักและชื่นชอบในปัจจุบัน
ต่อมา Auguste Agassiz (ออกุสต์ อากาซิซ) ได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้จัดการ และได้เปลี่ยนชื่อบริษัทมาเป็น Agassiz & Co. ซึ่งในตอนนั้นเค้าเริ่มการผลิตนาฬิกาในระบบ “établissage” รวมถึงขายนาฬิกาพกติดตั้งด้วยกลไกปล่อยจักรแบบคราวน์วีลเช่นเดียวกับที่ผลิตกันอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมนาฬิกาสวิสในขณะนั้น
ในปี ค.ศ. 1846 Agassiz ได้ขึ้นเป็นประธานบริษัท และประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในต่างประเทศ เขาเริ่มสร้างเครือข่ายคนรู้จักในแวดวงธุรกิจขึ้นมา ซึ่งช่วยให้เขาสามารถทำการจำหน่ายนาฬิกาในทวีปอื่น ๆ ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทวีปอเมริกาเหนือ และอีกฝากฝั่งหนึ่งของมหารสมุทรแอตแลนติก เนื่องจากสายสัมพันธ์ของครอบครัว Agassiz ที่มีในสหรัฐอเมริกา
ในช่วงทศวรรษ 1850 Ernest Francillon (เออร์เนสต์ ฟรานซิลลอน) ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานชายของ Agassiz ได้เข้ามามีบทบาทในด้านการบริหารแทน เนื่องจาก Agassiz เริ่มมีปัญหาเรื่องสุขภาพ หลังจากนั้นเป็นต้นมา นักเศรษฐศาสตร์ผู้เปี่ยมไปด้วยความสามารถผู้นี้ ก็เข้ามารับช่วงต่อกิจการของครอบครัว หลังการเสียชีวิตของ Agassiz ในปี ค.ศ. 1877
Francillon ได้ทำการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาความทันสมัยมากมาย ในปี ค.ศ. 1866 เขาได้ทำการซื้อที่ดินในบริเวณทางตอนใต้ของ Saint-Imier เพื่อสร้างโรงงานของ Longines โดยสร้างโรงงานในพื้นที่ที่เรียกว่า Es Longines หรือ long meadows ซึ่งเป็นทุ่งหญ้ายาว หรือที่เรียกกันว่า “Longines” จนกลายมาเป็นชื่อของตำนานเรือนเวลาอมตะอันเป็นนิยามของความคลาสสิก โดยมีสัญลักษณ์เป็นโลโก้รูปนาฬิกาทรายติดปีกอันโด่งดังมาจวบจนปัจจุบัน ซึ่งบริษัทได้ใช้ชื่อที่ทันสมัยในที่สุดในขณะนั้น
และในปีเดียวกัน ทาง Longines ยังได้เริ่มการผลิตกลไกของตนเองขึ้นเป็นครั้งแรก คือ กลไก 20A เป็นกลไกประเภท 20-line ได้รับการติดตั้งด้วยกลไกปล่อยจักรแบบสมอ ระบบไขลานและระบบปรับตั้ง ซึ่งได้รับรางวัล Universal Exhibition งานนิทรรศการระดับโลก ซึ่งจัดขึ้น ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อปี ค.ศ. 1867
นาฬิกาจากโรงงานทุกเรือน จะได้รับการประทับชื่อ Longines บนหน้าปัด นอกจากนี้ ยังมีการสลักรูปนาฬิกาทรายติดปีกบนกลไกด้วยเช่นกัน
ในช่วงแรก ๆ ของการผลิตนาฬิกา การเคลื่อนไหวทั่วไปมีรูกุญแจและไขลานด้วยกุญแจ อย่างไรก็ตาม Francillon ตัดสินใจต่อต้านกลไกการไขลานกุญแจและเริ่มต้นในปี ค.ศ. 1867 ผลิตเฉพาะนาฬิกาที่ไขลานผ่านเม็ดมะยม ในปีนั้นเอง Francillon ได้ชักชวนให้ Jaques David วิศวกรผู้มีศักดิ์เป็นญาติของเขา มาดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิค เข้ามาพัฒนาในเรื่องเครื่องจักรกล ที่จะยกระดับการผลิตนาฬิกาให้สมบูรณ์แบบ และการที่ Francillon ตัดสินใจใช้ระบบอุตสาหกรรมก็เกิดผลดีให้เป็นที่ประจักษ์
ในช่วงทศวรรษ 1870 โรงงานได้ขยายกิจการอย่างต่อเนื่อง โดยได้ส่ง David เดินทางไปเข้าร่วมงาน Universal Exhibition ซึ่งจัดขึ้นในนครฟิลาเดเฟีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ในฐานะตัวแทนของ Society Intercantonale des Industries du Jura (สมาคมอุตสาหกรรมระหว่างรัฐแห่ง Jura) เมื่อการเดินทางสิ้นสุดลง เขาได้เขียนรายงานขึ้นฉบับหนึ่ง ซึ่งกลายเป็นที่ยอมรับว่า เป็นเครื่องผลักดันให้วงการผลิตเรือนเวลาสวิสเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม จากเดิมที่ใช้ระบบ établissage
จากวิจารณญาณของ Francillon และความทุ่มเทของ David นำทางให้ Longines กลายเป็นผู้บุกเบิกการผลิตเรือนเวลาโดยใช้เครื่องจักร โดยในปี ค.ศ. 1878 ได้เริ่มผลิตกลไกโครโนกราฟแบบไม่ซับซ้อนรุ่น 20H จากสิทธิบัตรของช่างนาฬิกา Alfred Lugrin นับเป็นกลไกแบบแรกที่สามารถจับเวลาได้อย่างแม่นยำ และยังเป็นสิ่งที่ทางแบรนด์ให้ความสำคัญและทุ่มเทเป็นอย่างมาก ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19
หลังจากได้วางรากฐานกระประยุกต์นำเครื่องจักรมาร่วมในระบบการผลิต จึงทำให้ Longines เข้ามามีบทบาทในโลกแห่งการผลิตเรือนเวลาที่มีความแม่นยำสูง ในปี ค.ศ. 1888 จึงได้ทำการผลิตกลไก Caliber 21.59 ขึ้น โดยปรับปรุงจากพื้นฐานกลไกที่ประดิษฐ์ขึ้นในปี ค.ศ. 1878 ให้มีความเที่ยงตรงมากขึ้น ซึ่งนับเป็นกลไกรุ่นแรกของแบรนด์ ที่ได้รับการรับรองความเที่ยงตรงระดับโครโมมิเตอร์
Expo Universelle
ในปี ค.ศ. 1900 Longines ได้เข้าร่วมงาน Expo Universelle Paris ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส โดยได้จัดแสดงนาฬิกาพก La Renommée ที่ได้รับการติดตั้งด้วยกลไกโครโนมิเตอร์ Caliber 21.59 และสามารถชนะรางวัล Grand Prix อีกทั้งแบรนด์ Longines ยังได้รับรางวัล Grand Prix มากกว่าแบรนด์ใด ๆ ที่เคยเข้าร่วมอีกด้วย
ในปี ค.ศ. 1902 ก็ได้มีการผลิตนาฬิกาข้อมือเรือนแรกสำหรับสุภาพสตรี ลองจินส์ รังสรรค์นาฬิกาสำหรับสุภาพสตรี มาตั้งแต่ปลายยุคศตวรรษที่ 19 โดยตัวเรือนสีทองจากปี 1902 นี้นับว่าเป็นเรือนที่เก่าแก่ที่สุดที่ได้เก็บรักษาอยู่ในคอลเลกชั่นประวัติศาสตร์ของ ลองจินส์
ต่อมาก็เป็นยุคที่มีความนิยมในการแข่งขันกีฬาต่าง ๆ ซึ่งกีฬาแข่งม้าก็ได้รับความนิยมอย่างมากในยุคนั้น ปี ค.ศ. 1911 นาฬิกาพกสำหรับนักแข่งม้าก็ถูกผลิตออกมา เป็นนาฬิกาพกโครโนกราฟและบอกเวลาด้วยเสียง (minute repeater) จากปี 1911 เรือนนี้ตกแต่งด้วยศีรษะม้า 3 ตัวที่อยู่ระหว่างการแข่งขัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความหลงใหลที่ ลองจินส์ มีต่อกีฬาขี่ม้า นับว่าเป็นส่วนหนึ่งของซีรีส์นาฬิกาพกที่ได้นำกลับมาทำใหม่ในจำนวนจำกัด
ในปี ค.ศ. 1913 Longines ได้ทำการพัฒนากลไก Caliber 13.33Z กลไกรุ่นแรกที่ถูกออกแบบมาสำหรับข้อมือโครโนกราฟชนิดปุ่มกดเดียว กลไกคุณภาพสูงรุ่นนี้ มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 29 มิลลิเมตร รวมถึงหน้าปัดย่อยจับเวลา 30 นาทีแบบชั่วขณะ (instantaneous) และระดับความเที่ยงตรงถึง 1/5 วินาที รวมถึงทางบริษัทเริ่มพัฒนากลไกรูปทรงต่าง ๆ และผลิตกลไกรูปวงรีและสี่เหลี่ยมขึ้นหลายแบบ เพื่อติดตั้งในนาฬิกาข้อมือ
ปี ค.ศ. 1916 ลองจินส์ ได้เริ่มผลิต นาฬิกาจิวเวลรี่ ออกมาจำหน่าย โดย นอกจากจะรังสรรค์นาฬิกาข้อมือเรือนเล็กสุดหรูสำหรับสุภาพสตรีแล้ว ลองจินส์ยังได้นำเสนอเรือนเวลาที่เป็นทั้งนาฬิกาและเครื่องประดับที่สามารถเป็นจี้ห้อยคอ แหวน หรือเข็มกลัดอีกด้วย
ในปี 1935 ในช่วงยุคสงครามโลก ลองจินส์ก็ได้ผลิตนาฬิกาให้กับกองทัพสหรัฐฯ โดยเรือนนี้มีความสมบูรณ์แบบทั้งในแง่ของความสวยงามและคุณสมบัติทางเทคนิคที่ตรงตามความต้องการของทหารทุกประการ จึงทำให้นาฬิกาเรือนนี้ได้จัดประเภทเป็น Type A-7 ซึ่งเป็นโมเดลที่โดดเด่นในเรื่องของหน้าปัดเอียง
ปี ค.ศ. 1936 ลองจินส์ได้พัฒนาเครื่อง Siderograph เพื่อบอกเวลาทางดาราคติ ณ เมืองกรีนิช ซึ่งเครื่องนี้เปรียบเสมือนกับต้นแบบของเครื่อง GPS และเป็นที่นิยมในหมู่นักบินและนักเดินเรือ โดยเลือกใช้กลไก 21.29 ที่มีความเที่ยงตรงสูง แสดงค่าเป็นองศา ลิปดา และฟิลิปดา เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถคำนวนหาตำแหน่งได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ปัจจุบันนักสะสมต่างก็พากันตามหาเครื่องนี้ เนื่องจากเป็นไอเท็มหายาก
Notable calibres and references
ในปี ค.ศ. 1936 ทางโรงงานได้เริ่มผลิต 13ZN กลไกนาฬิกาข้อมืออันโด่งดัง ให้ความยืดหยุ่นสูง จนรองรับความต้องการที่หลากหลายได้ ทั้งฟังก์ชั่นจับเวลาทั้งชนิดปุ่มกดเดียวหรือสองปุ่ม หน้าปัดย่อยจับเวลา 30 นาที แบบกึ่งชั่วขณะ (semi-instantaneous) หรือหน้าปัดย่อยจับเวลา 60 นาทีแบบต่อเนื่อง นับเป็นหนึ่งในกลไกที่โดดเด่นที่สุดในประวัติศาสตร์ ที่ได้รับการจดสิทธิบัตรโดย Longines
ในปี ค.ศ. 1939 Longines ได้พัฒนาอุปกรณ์จับเวลาแบบกลไกขึ้น โดยอาศัยกลไกพื้นฐานแบบ 24-line อุปกรณ์ดังกล่าว ประกอบด้วยนาฬิกาโครโนกราฟที่มีหน้าปัดย่อยจับเวลา 30 นาทีแบบกึ่งชั่วขณะ และเข็ม Fly back และในปี ค.ศ. 1945 ได้เปิดตัวและจดสิทธิบัตร caliber 22A ซึ่งนับได้ว่าเป็นกลไกไขลานอัตโนมัติรุ่นแรกของบริษัท การพัฒนาต้นแบบรวมถึงการปรับนำเทคโนโลยีไขลานอัตโนมัติมาใช้ในการผลิตกลไกดังกล่าวแบบปริมาณมากครั้งแรก นับว่าเป็นความท้าทายครั้งสำคัญของบริษัท
นับตั้งแต่ช่วงปี ปี ค.ศ. 1950 เป็นต้นมา นาฬิกาของลองจินส์ ก็ได้มีการแบ่งนาฬิกาให้เป็นหมวดหมู่ โดยคอลเล็กชั่น Conquest นับเป็นตระกูลแรกของแบรนด์ มีเอกลักษณ์ที่ฝาหลังตกแต่งรูปเหรียญลงยา ซึ่งเป็นการหลอมรวมคอนเซปต์ของเครื่องบอกเวลาที่แบรนด์มี และนับเป็นก้าวแรกในยุทธศาสตร์การพัฒนาเรือนเวลาแบบใหม่
อีกหนึ่งก้าวสำคัญที่ทำให้ลองจินส์ขึ้นมาเป็นผู้นำในด้านกลไกควอตซ์คือการพัฒนารุ่น Conquest V.H.P. (Very High Precision) ขึ้นมาได้สำเร็จในปี 1984 มาพร้อมความเที่ยงตรงสูง (± 1 นาที/5 ปี) ทำให้นาฬิกามีความเที่ยงตรงสูง 5-10 เท่ากว่านาฬิกาควอตซ์ทั่วไปในยุคนั้น
Officially Partner
ในปี ค.ศ. 1983 Longines ได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ Societe Suisse de Microeletronique et d’Horlogerie (SMH) หรือที่ปัจจุบันเป็นที่รู้จักกันในนาม Swatch Group เครือผู้นำด้านการผลิตเรือนเวลาระดับโลก ซึ่งก่อตั้งโดย Nicolas G. Hayek โดยในปี ค.ศ. 1985 แบรนด์ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จับเวลาอย่างเป็นทางการ ในการแข่งขันยิมนาสติกสากลและยิมนาสติกลีลาทั้งหมด ที่สหพันธ์ยิมนาสติกนานาชาติ (IFG) เป็นผู้จัดขึ้น
ในปี ค.ศ. 1992 เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ 160 ปี ของกิจการ และ 125 ปี ของการใช้ตราสัญลักษณ์ Nicolas G. Hayek ผู้ก่อตั้งและประธานเครือ Swatch Group พร้อมด้วย Walter von Kanelประธานบริษัท Longines ได้ร่วมพิธีเปิดพิพิธภัณฑ์ Longines ขึ้นอย่างเป็นทางการ ณ สำนักงานใหญ่ ของบริษัทใน Saint-Imier ภายในพิพิธภัณฑ์มีแกลลอรีจัดแสดงความเป็นมาอันยาวนานของบริษัท
โดยพิพิธภัณฑ์นี้ ได้รับการปรับโฉมใหม่อีกครั้ง ในปี ค.ศ. 2012 เนื่องในโอกาสครบรอบ 180 ปีของบริษัท โดยได้รับการปรับโฉมใหม่ทั้งหมดมีการออกแบบให้มีความทันสมัยมากขึ้น พร้อมเพิ่มสื่อประเภทปฏิสัมพันธ์ ซึ่งพร้อมนำเสนอทุกแง่มุมทั้งหมดของประวัติศาสตร์แบรนด์
ในปี ค.ศ. 2009 Longines ได้เป็นผู้สนับสนุนรายการและผู้จับเวลาอย่างเป็นทางการของรายการแข่งขันเทนนิส “เฟรนช์โอเพ่น” ที่โรลังด์ การ์รอส และการแข่งขันสกีอัลไพน์อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งจัดโดยสมาพันธ์สกีระหว่างประเทศ
ในวันที่ 16 มิถุนายน ปี ค.ศ. 2013 Chantilly ประธาน IFHA “Louis Romanet” และ “Walter von Kanel” ประธานของ Longines ได้ประกาศข่าวการลงนามเป็นพันธมิตรระยะยาวระหว่าง International Federation of Horseracing Authorities (IFHA) กับ Longines ด้วยสัญญาฉบับนี้ Longines จึงได้กลายเป็นพันธมิตรและผู้สนับสนุนเรือนเวลาอย่างเป็นทางการของ IFHA
หลังจากที่เคยได้รับหน้าที่ เป็นผู้สนับสนุนรายการ ผู้สนับสนุนการจับเวลาและผู้สนับสนุนเรือนเวลาอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1962 ที่เมืองเพิร์ท ประเทศออสเตรเลีย ทาง Longines ได้หวนกลับมาทำหน้าที่ดังกล่าวอีกครั้ง ตลอดกาลแข่งขันตลอดทั้ง 11 วันของกีฬาเครือจักรภพครั้งที่ 20 ซึ่งจัดขึ้นในปี ค.ศ. 2014 ที่เมือง กลาสโกว์และครอบคลุมกว่า 10 ประเภทกีฬา
Longevity Of The Logo
ชื่อแบรนด์ Longines ถูกยื่นต่อสำนักงานทรัพย์สินทางปัญญาของสวิตเซอร์แลนด์ในปี ค.ศ. 1880 และโลโก้ได้รับการจดทะเบียนกับสำนักงานเดียวกัน ในปี ค.ศ. 1889 Francillon ได้นำโลโก้นาฬิกาทรายติดปีก ชื่อแบรนด์และโลโก้ยื่นต่อ United International Bureaux for the Protection of Intellectual Property (ซึ่งจะกลายเป็นองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก) ในปี ค.ศ. 1893 ทั้งหมดนี้ทำให้ Longines เป็นแบรนด์ที่เก่าแก่ที่สุดที่จดทะเบียนกับ WIPO ที่ยังคงใช้งานอยู่ในปัจจุบัน
โรงงานของ Longines ยังคงตั้งอยู่ที่ Saint-Imier ในประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1832 ความเชี่ยวชาญด้านการผลิตนาฬิกาของบริษัทสะท้อนให้เห็นถึงความทุ่มเทอย่างแรงกล้าต่อประเพณี ความสง่างาม และประสิทธิภาพ ด้วยประสบการณ์หลายปีในฐานะผู้จับเวลาสำหรับการแข่งขันกีฬาระดับโลกหรือในฐานะพันธมิตรของสหพันธ์กีฬานานาชาติ
อีกทั้ง Longines ยังมีชื่อเสียงในด้านความสง่างามของนาฬิกา รวมถึงเป็นสมาชิกของ Swatch Group Ltd ซึ่งเป็นผู้ผลิตผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเครื่องบอกเวลาชั้นนำของโลก แบรนด์ที่รู้จักในโลโก้นาฬิกาทรายติดปีกมีวางจำหน่ายแล้วในกว่า 140 ประเทศ และทั้งหมดนี้ คือ เปิดประวัติแบรนด์ Longines ตำนานเรือนเวลา ที่มีความอมตะ นิยามของความคลาสสิก โดยมีสัญลักษณ์ เป็นโลโก้รูปนาฬิกาทรายติดปีกซึ่งยังยืนหยัดด้วยความแข็งแกร่ง สมกับสโลแกน Elegance is an attitude (ความสง่างามอย่างทัศนคติ) มาจนจวบปัจจุบันนี้
รัก
xoxo