BVLGARI (บุลการิ) แบรนด์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องการทำอัญมณี ด้วยเอกลักษณ์การดีไซน์ ที่มีการผสมผสานระหว่างศิลปะของกรีกโรมันเข้าด้วยกัน ใครจะรู้ว่าจากร้านเครื่องเงินเก่าแก่ธรรดา จะกลายเป็นเจ้าแห่งอัญมณีชั้นสูงที่นิยมไปทั่วโลกได้ เราจะนำท่านไปทำความรู้จักกับ ประวัติแบรนด์ BVLGARI ย้อนรอยตำนานเครื่องประดับรูปงู อัญมณีเครื่องรางที่มีความสร้างสรรค์สวยงาม และมีความล้ำค่าเหนือกาลเวลา
จุดเริ่มต้นของ BVLGARI
ประวัติแบรนด์ BVLGARI เริ่มต้นจาก นาย โซเทริโอ บุลการิ (Sotirio Bulgari) ชายซึ่งอาศัยอยู่ทางตอนเหนือของกรีก ที่หมู่บ้าน Kalarites โซเทริโอเป็นช่างฝีมือที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องการทำเครื่องประดับจากเงิน และเครื่องเงินโบราณ เขาได้อพยพมาอยู่ที่อิตาลีในปี ค.ศ. 1880 และอีกสี่ปีต่อมา เขาก็ได้เปิดร้านเครื่องประดับบนถนน Via Sistina ในกรุงโรม เป็นแห่งแรก
ด้วยฝีมือการทำเครื่องประดับที่ปราณีต มีสไตล์ที่โดดเด่น มีการสร้างสรรค์เครื่องประดับจากสีสันที่สดใสของหินสีและอัญมณี ทำให้ BVLGARI สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศอิตาลีในด้านความเป็นเลิศของการทำเครื่องประดับ รวมทั้งแบรนด์เองก็ได้พัฒนาแนวความคิดเกี่ยวกับอัญมณีตามจักรราศี ถือเป็นภาพลักษณ์ที่โดดเด่นของแบรนด์ BVLGARI
จากเครื่องเงินเก่าแก่สู่อัญมณีชั้นสูง
เครื่องประดับเงินที่ปราณีตซึ่งสร้างขึ้นโดย โซเทริโอ บุลการิ ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากจากนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ ที่เดินทางมายังกรุงโรม ซึ่งเป็นการท่องเที่ยวเพื่อเยี่ยมชมวัฒนธรรมดั้งเดิมของท้องถิ่น ทำให้ธุรกิจเครื่องประดับของเขาประสบความสำเร็จ หลังจากการเปิดร้านแรกที่ Via Sistina โซเทริโอ บุลการิ ก็ได้เปิดร้านค้าแห่งใหม่อีกหลายแห่ง ทั้งใน Via Condotti และแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ
โซเทริโอ บุลการิ มี ลูกชายสองคน คือ โจรโจ่ บุลการิ (Giorgio Bulgari) และ คอสแตนติโน่ บุลการิ (Costantino Bulgari) พวกเขาทั้งคู่ได้เข้าร่วมธุรกิจเครื่องประดับของครอบครัว และมองเห็นช่องทางในการพัฒนาธุรกิจ โจรโจ่และคอสแตนติโน่ เสนอแนวคิดที่จะสร้างจุดยืนของแบรนด์ ให้มุ่งเน้นไปที่การผลิตเครื่องประดับอัญมณีชั้นสูง เพื่อที่ธุรกิจจะได้เติบโตมากขึ้น
ช่วงต้นของการทำเครื่องประดับอัญมณีชั้นสูงเริ่มเมื่อปี ค.ศ. 1920 ด้วยการนำทองคำขาว มาประดับด้วยเพชรที่เจียระไนเป็นรูปทรงเรขาคณิต และการออกแบบสไตล์ Art Déco (อลังการศิลป์) แบรนด์ BVLGARI เริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้าง เนื่องจากสไตล์การออกแบบเครื่องประดับที่เป็นศิลปะแบบอิตาเลียนแท้ พร้อมกับเครื่องประดับเฉดสีเหลืองทองให้ความรู้สึกหรูหรา ทำให้เอกลักษณ์ของแบรนด์เริ่มโดดเด่นและชัดเจนมากขึ้น
ในช่วงปี ค.ศ. 1940 สินค้าที่โดดเด่นที่สุดของแบรนด์ BVLGARI แน่นอนว่าหนีไม่พ้นกำไลรูปงู Serpenti ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากตำนานโบราณและเรื่องเล่าเกี่ยวกับงู ตีความหมายออกมาว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งปัญญา การเกิดใหม่ และความมีชีวิตชีวา ดังนั้น BVLGARI จึงหยิบยกลวดลายของงูมารังสรรค์เป็นนาฬิกาอัญมณี และกำไรข้อมือ หลายองค์ประกอบของงูถูกจำลองแบบขึ้นเป็นตัวเรือน ทั้งการทำอัญมณีเลียนแบบเกล็ดของงู และส่วนของนาฬิกาถูกซ่อนไว้ในหัวของงูซึ่งมีเอกลักษณ์การดีไซน์เฉพาะตัว
การปรับโฉมนาฬิกา Serpenti สู่ Item ยอดนิยมแห่งยุค
การปรับโฉมรูปแบบของนาฬิกา Serpenti ใหม่ในคอลเลคชั่นปี 2018 โดยแนวคิดการออกแบบเหมือนกับกำไล Tubogas ตัวเรือนนาฬิกาที่ขดม้วนราวกับตัวงูนั้นทำจาก ทองคำ ทองคำขาว และพิงค์โกลด์ เป็นการผสมผสานของทองคำทั้งสามชนิดที่แตกต่างกันได้อย่างลงตัว ส่วนหน้าปัดที่ดีไซน์ให้คล้ายกับหัวของงูนั้นประดับด้วยเพชรทั้งหมด 38 เม็ด นาฬิกางูเรือนนี้สร้างเสน่ห์ ความเย้ายวนใจจนทำให้เป็นที่นิยมของผู้คนมากมาย และยิ่งตอกย้ำชื่อเสียงในด้านการออกแบบที่โดดเด่น สง่างามและหรูหรา ของแบรนด์ BVLGARI
Daring Colours อีกขั้นของอัญมณีจากหิน
ในช่วงกลางทศวรรษที่ 1950 BVLGARI ได้ก้าวไปอีกขั้น ด้วยการนำเสนออัญมณีที่สร้างขึ้นจากหินสีนานาชนิด คุมสีด้วยโทน Daring Colour และ Cabochon ใช้การเจียระไนเพชรแบบโบราณที่เรียกว่าเทคนิค “หลังเบี้ย” เพื่อตกแต่งให้อัญมณีมีสีสันสดใส จนกลายมาเป็นจุดเด่นของแบรนด์
ด้วยความโด่งดังของภาพยนตร์เรื่อง La Dolce Vita ที่ใช้ย่าน Via Condotti เป็นโลเคชั่นถ่ายทำของหนัง ทำให้กลายเป็นสถานที่พบปะกันของเหล่าดาราภาพยนตร์ และหมู่ชนชั้นสูง ส่งผลให้ร้านค้าต่างๆ ในย่านนี้เฟื่องฟู รวมถึงร้านของ BVLGARI ด้วย จึงทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ ไม่นานบริษัทก็ได้ขยายตัวไปทั่วยุโรปและสหรัฐอเมริกา ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1970
หนึ่งในเครื่องประดับที่มีชื่อเสียงในเวลานั้น คือ สร้อยคอทองคำประดับด้วยพลอย ทับทิม และเพชร มีจี้แปดเหลี่ยมทำด้วยมรกตที่ถูกเจียระไนแบบ Cabochon เป็นการเจียระไนแบบเบี้ยหลังเต่า ล้อมรอบไปด้วยทับทิมและเพชรที่เจียระไนเป็นรูปทรงเรขาคณิต ซึ่ง BVLGARI ได้รับแรงบันดาลใจจากการตกแต่งลวดลายอนุสาวรีย์ๆ ในกรุงโรม ซึ่งเป็นงานดีไซน์สไตล์เฉพาะตัวของแบรนด์ จี้ตัวนี้สามารถถอดออกเป็นเข็มกลัดได้ รวมแล้วน้ำหนักอัญมณีที่ตัวสร้อยอยู่ที่ 44 กะรัต และน้ำหนักอัญมณีที่ตัวจี้อยู่ที่ 60 กะรัต
Modular อัญมณีที่ฉีกกฎ
ในช่วงทศวรรษที่ 1980 ถึง 1990 BVLGARI ยังคงคิดค้นและเปิดตัวอัญมณีที่โดดเด่นอยู่หลายชิ้น อย่างเช่น Chandra Collection ที่ทำจาก Porcelain สีขาวตกแต่งด้วยอัญมณีสีสันสดใส กระเป๋า Melon Evening Bag ที่ทำจากทองคำประดับตกแต่งด้วยไพลิน และเพชร, สร้อยคอทองคำที่ประดับตกแต่งด้วยเส้นไหม ไพลิน ทับทิม และเพชร จากการสร้างสรรค์เครื่องประดับอัญมณีด้วยแนวความคิดที่โดดเด่น มีความเป็นเอกลักษณ์จึงทำให้ความ Luxury ถูกเผยออกมา
กรุงโรมแหล่งแห่งแรงบันดาลใจ
ตั้งแต่ปี 1884 เป็นต้นมา BVLGARI ได้ค้นพบแหล่งที่มาของแรงบันดาลใจจากอนุสาวรีย์ และสมบัติทางสถาปัตยกรรมในกรุงโรม ความงดงามของกรุงโรม ได้ถูกถอดรหัสกลายมาเป็นอัญมณีของ BVLGARI อยู่หลายชิ้น เปรียบได้ว่าเรื่องราวของกรุงโรมสามารถบอกเล่าเป็นเรื่องราวของ ประวัติแบรนด์ BVLGARI ด้วยเช่นกัน
การตีความรูปทรงลักษณะของ โคลอสเซียม (Colosseum) อันงดงามแห่งกรุงโรม นำมาสู่การถอดรหัสให้กลายเครื่องประดับที่โดดเด่นและงามสง่าอย่าง Tubogas B.zero 1 ด้วยการออกแบบที่นำสมัย การสลักชื่อแบรนด์ BVLGARI ลงบนเครื่องประดับ เป็นการแสดงถึงความเป็นเจ้าของ และสะท้อนถึงภาษาละตินคลาสสิคได้อย่างลงตัว
เครื่องประดับและอัญมณีทุกชิ้นของ BVLGARI ส่องประกายเจิดจรัสด้วยความหรูหรามาเป็นเวลานาน ไม่เคยล้าสมัยเลยแม้แต่น้อย แบรนด์ BVLGARI ได้ใช้ความปราณีตในการสร้างสรรค์เครื่องประดับอัญมณีล้ำค่ามาตั้งแต่ปี 1920 ด้วยความใส่ใจในรายละเอียด และการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวทำให้ BVLGARI ได้กลายเป็นจ้าวแห่งตำนานอัญมณีชั้นสูงของโลก
นอกจากชื่อเสียงในด้านการผลิตเครื่องประดับอัญมณีแล้ว BVLGARI ยังได้มีไลน์ผลิตนาฬิกาที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแบรนด์ นาฬิกาที่มีดีไซน์หรูหรา เหมาะสำหรับการสวมใส่ในโอกาสสำคัญ และนาฬิการุ่นที่โด่งดังทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักไปทั่วโลกคือนาฬิกา the BVLGARI BVLGARI ที่สลักชื่อแบรนด์ไว้บนขอบ Bezel ซึ่งแรงบันดาลใจในการออกแบบได้มาจากเหรียญโรมันโบราณ
BVLGARI ได้พัฒนานาฬิกาจนกลายมาเป็นผู้ผลิตนาฬิกาที่สร้าง impact ให้กับวงการเครื่องบอกเวลา ซึ่ง BVLGARI มีโรงงานผลิตชิ้นส่วนนาฬิกาที่กระจายอยู่ในสวิทเซอร์แลนด์ถึง 4 แห่งด้วยกัน โดยมีโรงงานผลิตกลไกนาฬิกา ผลิตตัวเรือน ผลิตหน้าปัด ที่แยกออกจากกัน เนื่องมาจากนโยบายควบคุมคุณภาพการผลิตให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
BVLGARI ไม่ได้มีเพียงแค่อัญมณีหรือนาฬิกาเพียงเท่านั้น แต่ยังมีน้ำหอมซึ่งเปรียบเสมือนเครื่องประดับของร่างกายอีกรูปแบบหนึ่งเพราะน้ำหอมบ่งบอกถึงเอกลักษณ์ของผู้ใช้ และน้ำหอมที่สุดคลาสสิคของแบรนด์ก็คงจะหนีไม่พ้น BVLGARI Omnia Amethyste Eau de Toilette กลิ่นหอมหวานที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากอัญมณีสีม่วง Amethyste ซึ่งเป็นตัวแทนของความสง่างามและความมั่นใจของผู้หญิงยุคใหม่ น้ำหอมเป็นตัวช่วยที่ดึงตัวตนของผู้คนจากภายในสู่ภายนอกได้อย่างแท้จริง
ปัจจุบันแบรนด์ BVLGARI เป็นแบรนด์หรูที่ทรงอิทธิพลเป็นลำดับต้นๆ ของโลก และการเติบโตของธุรกิจมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นทุกๆ ปี ข้อมูลจากปี 2018 พบว่าแบรนด์ BVLGARI สร้างรายได้จนทำให้มีมูลค่าสูงถึง 80 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ หรือราวๆ 2,500 ล้านบาท จากความใส่ใจ ความพิถีพิถันในขั้นตอนการออกแบบซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของ BVLGARI การผลิตที่ปราณีต สวยงาม นอกจากจะทำให้ได้สินค้าที่มีคุณภาพสูงและราคาสูงแล้ว ยังทำให้คุณค่าของสินค้าสูงมากขึ้นตามไปด้วย จึงไม่เป็นที่แปลกใจ หากเรายังคงเห็น BVLGARI โลดแล่นอยู่ในวงการ Luxury Brand ยาวนานมากกว่า 140 ปี
รัก
xoxo