To top
26 Jul

ประวัติแบรนด์ Hermes จากธุรกิจอานม้า สู่เครื่องหนังราคาแพง

Hermès แบรนด์ Luxury สัญชาติฝรั่งเศส ประวัติแบรนด์ Hermès  เริ่มต้นจากธุรกิจครอบครัวที่ผลิตและค้าอานม้า สู่การเป็นแบรนด์เครื่องหนังที่มีราคาแพงและซื้อยากที่สุดแบรนด์หนึ่งของโลก อะไรที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ Hermès ภายใต้โลโก้รูปม้าและถุงกระดาษสีส้มที่คุ้นตา ร่วมเดินทางค้นหาคำตอบบนเส้นทางที่โปรยไปด้วยมนต์เสน่ห์ ตามรอยประวัติศาสตร์ที่ยาวนานถึง 182 ปี ไปกับอาชา อันแสนสง่างามนี้

 

จุดเริ่มต้นของ Hermès

ประวัติแบรนด์ Hermès : Thierry Hermès (เทียร์รี่ แอร์เมส)

Thierry Hermès (เทียร์รี่ แอร์เมส)

เทียร์รี่ แอร์เมส (Thierry Hermès) เกิดเมื่อวันที่ 10 มกราคม ค.ศ. 1801 ที่เมืองเครเฟลด์ (Krefeld) ประเทศฝรั่งเศส มีพี่น้องทั้งหมด 6 คน บิดาซึ่งมีชื่อเดียวกับเขา Thierry Hermes เป็นชาวฝรั่งเศส ส่วนมารดานามว่า Agnese Kuehnen ชาวเยอรมัน เมืองเครเฟลด์ เป็นเมืองที่ได้รับการขนานนามว่า “City of Velvet and Silk” ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องการพิมพ์ลายและการผลิตสิ่งทอ ในขณะนั้นเมืองเครเฟลด์ยังถือเป็นส่วนหนึ่งของจักวรรดินโปเลียน (ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของประเทศเยอรมัน) เด็กชายเทียร์รี่จึงมีสัญชาติฝรั่งเศสโดยกำเนิด

ภาพวาด Thierry Hermes ในวัยเด็ก

ภาพวาด Thierry Hermes ในวัยเด็ก

ด้วยฉายาของเมืองที่หมายถึงกำมะหยี่ สะท้อนให้เห็นความยิ่งใหญ่ของอุตสาหกรรมการผลิตสิ่งทอในเมืองนี้ หล่อหลอมให้เทียร์รี่มีความสนใจในด้านการพิมพ์ลายและสิ่งทอ เขาศึกษาด้านศิลปะอย่างจริงจังรวมถึงสั่งสมประสบการณ์งานฝีมือจนเชี่ยวชาญตั้งแต่วัยเยาว์

แต่แล้วโชคชะตาก็เล่นตลก เมื่อปี ค.ศ. 1821 เทียร์รี่ สูญเสียครอบครัวไปจากโรคระบาดและสงคราม เขาได้จากบ้านเกิดเดินทางไปยังเมือง Pont Audemer ทางตอนเหนือของปารีส โดยอาศัยอยู่ที่บ้านเด็กกำพร้า ทำงานภายใต้การว่าจ้างของครอบครัว Pleumer ครอบครัวธุรกิจเครื่องหนัง ณ ที่แห่งนั้น เขาได้เรียนรู้ทักษะการผลิตเครื่องหนังจนชำนาญ ในปี ค.ศ. 1828 เขาได้แต่งงานกับ Christine Pétronille Pierrart มีโซ่ทองคล้องใจเพียงคนเดียวคือ ชาร์ลส์ เอมิล แอร์เมส (Charles Émile Hermès)

 

The French House of Hermes

จุดพลิกผันของชีวิตอันแสนเรียบง่ายของเทียร์รี่ เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1837 เทียร์รี่ เริ่มต้นกิจการแรกของเขา ภายใต้ชื่อ “the French house of Hermes” ตั้งอยู่บนถนน Rue Basse du Remparts (Grands Boulevards ในปัจจุบัน) กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ในยุคนั้นการคมนาคมยังคงใช้ม้าเป็นหลัก สินค้าของเทียร์รี่จึงมีเพียงเครื่องหนังและอุปกรณ์เกี่ยวกับการขี่ม้าเท่านั้น

เทียร์รี่ นำเทคนิคงานศิลปะที่เขาฝึกฝนมาตั้งแต่วัยเยาว์มาปรับใช้และผสมผสานกับงานฝีมือตัดเย็บเครื่องหนังที่ร่ำเรียนมา รังสรรค์อุปกรณ์สำหรับม้า ไม่ว่าจะเป็นบังเหียน สายคล้อง อานม้า การพิถีพิถันเลือกหนังเพื่อนำมาใช้เป็นวัสดุรวมถึงการตัดเย็บที่ละเอียด ผลงานของเขาจึงเป็นที่เลื่องลือถึงฝีมืออันไม่ธรรมดาของเด็กหนุ่มจากเครเฟลด์คนนี้ ลูกค้าของเขาเป็นกลุ่มคนชั้นสูงผู้ดีมีเงิน ขุนนาง ราชวงศ์ รวมถึงจักรพรรดิ นโปเลียนที่ 3 ก็มีรับสั่งให้เขาทำอานม้าถวาย

เทียร์รี่ได้ริเริ่มสายงานใหม่ๆ ทั้งหีบเก็บของ กระเป๋าถือ และเครื่องแต่งกาย ในปี ค.ศ.1855 สายคล้องและบังเหียนคุณภาพที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นโดยเทียร์รี่ ได้รับรางวัลชนะเลิศมากมายรวมไปถึงรางวัลเหรียญทอง จากงาน Exposition of Paris และในปี ค.ศ. 1867 ที่งาน Expositions Universelles กับผลงานการออกแบบรองเท้าแตะ ก็ได้รับรางวัลเหรียญทองเช่นกัน นั่นทำให้ Hermès ขึ้นสู่การเป็นแบรนด์หรูหรา อันดับต้นของฝรั่งเศสได้อย่างไม่ยากนัก

Exposition Universelle ปี ค.ศ. 1867

Exposition Universelle ปี ค.ศ. 1867

เทียร์รี่ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 10 มกราคม ปี ค.ศ.1878 รวมอายุได้ 77 ปี และนั่นทำให้ ลูกชายคนเดียวของเขา ชาร์ลส์ เอมิล แอร์เมส (Charles Émile Hermès) ก้าวขึ้นมาคุมบังเหียน Hermès เป็นทายาทรุ่นที่ 2 ชาร์ลส์ได้ทำการย้ายร้านมาตั้งอยู่ที่ ถนน Rue du Faubourg Saint-Honoré (ที่ตั้งร้านจนถึงปัจจุบัน) เรียกได้ว่าเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาด เนื่องจากเป็นทำเลทองที่รายล้อมไปด้วยที่อยู่ของชนชั้นสูงและขุนนางในสมัยนั้น

แบรนด์มีโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าชนชั้นสูงได้มากขึ้น ทราบความต้องการของลูกค้าได้ชัดเจนมากกว่าเดิม ทำให้ผลิตสินค้าออกมาได้ตรงตามความต้องการของผู้บริโภค และอีกประการหนึ่งที่ย้ายร้านมาก็คือ เพื่อเป็นการขยายพื้นที่การค้า ทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักในวงกว้าง ช่วงจังหวะทองคำเช่นนี้ ชาร์ลส์ เอมิล แอร์เมส จึงได้ดึงสินค้ายอดนิยมอย่าง “อานม้า” มาขยายตลาด มุ่งเน้นการขายปลีกระหว่างประเทศ โดยมีฐานลูกค้าที่เป็นชนชั้นสูงมากมาย ทั้งในยุโรป รัสเซีย แอฟริกาเหนือ เอเชียและอเมริกา

ในปี ค.ศ. 1900 ด้วยความช่วยเหลือของลูกชายทั้ง2 Adolphe และ Emile-Maurice ชาร์ลได้ออกแบบกระเป๋าสำหรับเก็บอานม้า เพิ่มความสะดวกสบายให้กับคนขี่ม้าที่ต้องการพกพาอานม้าสำหรับเดินทาง เป็นต้นแบบของกระเป๋ารุ่น “Haut à Courroies” และ “Birkin Bag” ในปัจจุบัน นับเป็นจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้ามาสู่อุตสาหกรรมแฟชั่น และในปี 1902 ชาร์ลเกษียนตัวเอง มอบอำนาจการจัดการให้ลูกชายทั้ง 2 ของเขารับช่วงบริหารต่อเป็นทายาทรุ่นที่ 3

ต้นแบบกระเป๋า Haut a Courroies

ต้นแบบกระเป๋า Haut a Courroies

 

Hermès Frères กับชื่อเสียงระดับโลก

ภายหลังการเกษียนของชาร์ล Adolphe และ เอมิล โมริช แอร์เมส (Émile Maurice Hermès) เข้ารับช่วงบริหารต่อ โดยเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น “Hermès Frères” ซึ่งมีความหมายว่า “2 พี่น้องแอร์เมส” เอมิล ได้ทำการขยายตลาดไกลถึงเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก มีโอกาสผลิตอานม้าถวายให้กับกษัตริย์ซีซ่าแห่งรัสเซีย ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่เกิดขึ้นตามมาทันที Hermès เป็นที่รู้จักในฐานะผู้ค้าอานม้าสุดหรูและมีชื่อเสียงทั่วโลก

Hermès Frères

Hermès Frères

ในปี ค.ศ. 1914 Hermès มีช่างฝีมือในสังกัดมากถึง 80 คน นั่นเป็นเพราะมี การนำซิปมาใช้สำหรับผลิตเสื้อผ้าและเครื่องหนัง เอมิลกลายเป็นนักออกแบบคนแรกที่เริ่มนำซิปมาใช้ในวงการแฟชั่นในฝรั่งเศสเป็นการวางรากฐานอนาคตแฟชั่นของแบรนด์ แจ็คเก็ตหนังสีทองมีซิปที่ตัดเย็บขึ้นโดยเฉพาะสำหรับเอ็ดเวิร์ดเจ้าชายแห่งเวลส์ เป็นผลงานแรกที่ออกสู่สายตาประชาชน รวมถึงมีการตั้งชื่อซิปอย่างหรูหราว่า “Hermès fastener”

กระเป๋าหนังใบแรกถูกผลิตขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1922 ได้แรงบันดาลใจจากภรรยาของเอมิลเอง เมื่อเธอรู้สึกว่า ไม่มีกระเป๋าใบไหนที่สามารถตอบสนองความต้องการและความชอบของเธอได้เลย เอมิลจึงเกิดความคิดที่จะออกแบบกระเป๋าให้แก่เธอด้วยตัวเอง นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของ Hermès เป็นการเปิดหน้าประวัติศาสตร์ของการผลิตกระเป๋าถือ

หลังการเสียชีวิตของ เอมิล เมื่อวันที่ 11 กันยายน ปี ค.ศ. 1951 ปีเดียวกับที่เขาประกาศวางมือ โดยก่อนหน้าที่จะเสียชีวิต เขาได้มอบอำนาจการบริหาร ส่งไม้ต่อให้กับคนนอกสายเลือดเป็นครั้งแรกคือ Robert Dumas Hermes และ Jean René Guerrand ซึ่งมีศักดิ์เป็นลูกเขยของเขา

โดยโรเบิร์ต เป็นสามีของ Jacqueline Hermes และ Jean René Guerrand เป็นสามีของ Aline Hermes  (Aline Hermes และ Jacqueline Hermes เป็นทายาทรุ่นที่ 4 ของตระกูลแอร์เมส) โรเบิร์ต รับหน้าที่ดูแลเรื่องเครื่องหนังและสิ่งทอ ส่วน Jean René Guerrand รับหน้าที่ในส่วนของเครื่องหอม ตำนานบทต่อไปของแอร์เมสกำลังจะเริ่มขึ้น

 

จากอานม้า สู่กระเป๋าหนังสุดหรู

การพัฒนาของอุตสาหกรรมยานยนต์ ได้เข้ามาแทนที่การเดินทางด้วยม้า ธุรกิจอานม้าได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่ออานม้าไม่ได้รับความนิยมอีกต่อไป Hermès จึงหันมาผลิตและจำหน่ายกระเป๋าสตรี  ในปี ค.ศ. 1956 Hermès เปิดตัวกระเป๋าถือที่มีชื่อเรียกว่า Sac à dépêches เป็นกระเป๋าที่อดีตนักแสดง เกรซ เคลลี่ คู่หมั้นของเจ้าชายแรนีแยร์ (Prince Rainier) แห่งโมนาโค ได้นำกระเป๋ามาบังท้องของเธอไว้ เพื่อปิดข่าวการตั้งครรภ์ขณะกำลังถูกถ่ายภาพโดยปาปารัซซี่ของนิตยสารไลฟ์

ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อภาพได้ถูกตีพิมพ์ออกไป กลายเป็นกระแสฮือฮาชั่วข้ามคืน เหล่าสตรีผู้หลงไหลในแฟชั่นต่างพากันมาที่ร้านแอร์เมสพร้อมกับถามหา “Kelly Bag” ทางแบรนด์เห็นโอกาสอันดีในการเปลี่ยนชื่อรุ่นกระเป๋าเพื่อให้รับกับกระแสที่กำลังเป็นนิยมรวมทั้งให้ง่ายต่อการจดจำ ชื่อรุ่น “Hermès Kelly” จึงถือกำเนิดขึ้น โดยที่มาของชื่อมาจาก Grace Kelly นั่นเอง Grace Kelly - Kelly Bag

Robert Dumas Hermes รับตำแหน่งบริหารจนวาระสุดท้ายของชีวิต เมื่อปี ค.ศ. 1978 มอบหน้าที่ให้กับลูกชาย Jean Louis Dumas ทายาทรุ่นที่ 5 ของตระกูลมารับช่วงบริหาารต่อ ในตำแหน่ง CEO และผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์

อีกหนึ่งปรากฏการณ์ทำให้กระเป๋า Hermès น่าจดจำอีกครั้ง เมื่อ Jean Louis ได้ออกแบบกระเป๋า ให้แก่นักแสดงหญิง เจน เบอร์กิน (Jane Birkin)  ทั้งคู่พบกันโดยบังเอิญบนเครื่องบิน ระหว่างเดินทางจากปารีสไปลอนดอน เจน พูดกับ ฌอง-หลุยส์ ว่า “มันยากนะที่จะหากระเป๋าสำหรับการเดินทางในวันหยุดสักใบ”  สิ่งที่ ฌอง-หลุยส์ ได้เห็นนั้น คือ ภาพเจนพยายามเก็บตะกร้าสานของเธอบนที่เก็บของเหนือศีรษะ แต่แล้วตะกร้าก็หล่นลงมาฝาเปิด ของกระจัดกระจายไม่เป็นท่า

เจน เบอร์กิน Jane Birkin

เจน เบอร์กิน (Jane Birkin)

ฌอง-หลุยส์ จึงเกิดไอเดียในการออกแบบกระเป๋าเพื่อเจนโดยเฉพาะ เป็นรุ่นที่ผลิตมาเพื่อตอบสนองการใช้งานของเธอ เมื่อทำการผลิตเสร็จแล้ว เขาได้ส่งมอบกระเป๋าให้แก่เจน เรื่องราวแรงบันดาลใจในการออกแบบกระเป๋าใบนี้เป็นที่กล่าวถึงและโด่งดังทันทีที่ออกสื่อ จนกระทั่ง กระเป๋ารุ่นนี้ได้ชื่อรุ่นอันคุ้นหูว่า Brikin Bag ในปัจจุบันกระเป๋ารุ่นนี้ยังคงรูปแบบกระเป๋าดังเดิมไว้ไม่มีเปลี่ยนแปลง และยังคงเป็น ITEM ที่ได้รับความนิยมเสมอมา

Jean-Louis Dumas เกษียนอายุตัวเอง หลังจากกุมบังเหียนของแอร์เมสมาเป็นเวลาถึง 28 ปี สิ่งที่เขาสร้างไว้เป็นตำนานแห่งความหรูหราและความสำเร็จอย่างสูงของแฟชั่นยุโรป เขาเสียชีวิตเมื่อปี 2010 ด้วยอาการป่วยที่เผชิญมาเป็นเวลาหลายปี Patrick Thomas ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นมือขวาของเขา ด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมจากการร่วมงานกับ Jean-Louis Dumas ตั้งแต่ปี 2005 เข้ามาดำรงตำแหน่ง CEO ของ แอร์เมส ตั้งแต่บัดนั้น ซึ่งเป็นครั้งแรกที่แอร์เมสจะถูกขับเคลื่อนโดยบุคคลนอกสายเลือดแอร์เมส

ITEM ที่หลายคนคุ้นตา

hermès silk scarf

ควีนเอลิซาเบธที่ 2, แจ็กเกอลีน เคนเนดี โอนาสซิส อดีตสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งแห่งสหรัฐอเมริกา และ ออดรีย์ เฮปเบิร์น

ปี ค.ศ. 1928 Hermès ได้ทำการผลิตผ้าพันคอ ออกมาเป็นครั้งแรก โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากผ้าพันคอของทหารในกองทัพ นโปเลียน ทางแบรนด์ได้ทำการออกแบบ และสรรหาวัตถุดิบที่ดีที่สุดเพื่อสินค้าที่มีคุณภาพ โดยขนาดของผ้าพันคอของ Hermès อยู่ที่ 90 ตร.เซนติเมตร ผ้า 1 ผืน มีน้ำหนัก 65 กรัม

เริ่มต้นวิธีการผลิตจากคัดเลือกเส้นไหมที่มีคุณภาพ โดยทาง Hermès นั้นต้องใช้รังไหมแท้ทั้งหมดถึง 250 รัง ในการผลิตผ้าพันคอ  1 ผืน ส่วนขั้นตอนการผลิตนั้นใช้เทคนิคการทอแบบพิเศษ โดยใช้ไหมถึง 16 รัง ในขณะของแบรนด์อื่น ใช้ไหมเพียง 8 รังเท่านั้น จนใน ปี ค.ศ. 1937 Hermès ได้ตัดสินใจเปิดตัวสินค้าใหม่เป็น “ผ้าพันคอไหม” นับเป็น ITEM ที่สามารถสร้างความนิยมให้กับ Hermès ได้อีกครั้ง

ด้วยกรรมวิธีการผลิตที่พิถีพิถัน โดยช่างฝีมือชาวฝรั่งเศส การพิมพ์ลายลงบนผ้าไหม (silk screen) นั้น ต้องใช้ช่างฝีมือล้วนๆ ไม่ได้ใช้เครื่องจักรแต่อย่างใด ทำให้เกิดเป็นความ พิเศษเฉพาะ ในด้านของงานฝีมือ ยกตัวอย่างเช่น 1 ผืน อาจจะมี 30 กว่าสีก็เป็นได้ การพิมพ์ลายให้เนียนและให้งดงาม จึงต้องใช้ช่างฝีมือระดับสูงเท่านั้น มีขั้นตอนการทำกว่า 40 ขั้นตอน มิหน่ำซ้ำยังต้องใช้ระยะเวลาในการผลิตถึง 18 เดือนอีกด้วย

ในส่วนการตรวจสอบสีผ้าต่างๆ บนผืนผ้า ใช้เวลามากกว่า 6 เดือน การสกรีนลวดลายก็ต้องใช้เวลามากถึง 750 ชั่วโมง ซึ่งในปัจจุบัน Hermès ยังคงใช้ไหมดิบ ในการผลิตผ้าพันคอยอดนิยมชิ้นนี้อยู่ กว่าจะออกมาเป็นผ้าพันคอที่งดงามได้แต่ละผืน เรียกได้ว่าขั้นตอนการผลิตของ Hermès ต้องใช้ความละเอียดอ่อน ความใส่ใจ และพิถีพิถันในแต่ละขั้นตอนเป็นอย่างมาก จนสามารถเทียบชั้นได้กับงานศิลปะหรือภาพพิมพ์ได้อย่างไม่มีเงื่อนไข จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมผ้าพันคอของ Hermès บางผืนถึงมีราคาสูงมากเหยียบแสน

ผ้าพันคอ Hermès

ห้องผลิตผ้าพันคอ Hermès

ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1937 เป็นต้นมา Hermès ได้ทำการผลิตผ้าพันคอมาแล้วมากกว่า 25,000 ลาย โดยในแต่ละปี Hermès จะผลิตลาย  ผ้าพันคอมาเพียง 2 คอลเลคชั่นเท่านั้น  และในบางปีอาจมีรุ่น Limited Edition ออกมาเนื่องในโอกาสพิเศษต่างๆ อีกด้วย นอกจากนี้ ผ้าพันคอของ Hermès ยังเป็นที่นิยมมากในหมู่ของนักสะสม โดยเฉพาะรุ่น Limited Edition หายากต่างๆ นั้น เป็นที่ต้องการของนักสะสมไม่แพ้งานศิลปะกันเลยทีเดียว

ดังนั้น นอกจากที่ผ้าพันคอจะเป็น Accessories สำหรับคุณผู้หญิงแล้ว ในมุมมองของนักสะสมยังสามารถนำมาเป็นผลงานศิลปะ ตกแต่งได้อีกด้วย หากลองสังเกตลวดลายของผ้าพันคอให้ดี จะพบว่าลายที่ปรากฏส่วนมาก มักจะมีลักษณะของการเล่นเส้นสาย เล่นสีสันต่างๆ เกิดเป็นความสวยงามที่ไม่แพ้งานศิลปะแขนงอื่นๆ เลย

การตกแต่งบ้านด้วยผ้าพันคอ Hermès

การตกแต่งบ้านด้วยผ้าพันคอ Hermès

 

เอกลักษณ์ของแบรนด์

ปี ค.ศ. 1945 Hermès กำหนด รถม้า 4 ล้อกับผู้ติดตาม ให้เป็นเครื่องหมายการค้า ออกแบบโดย Alfred de Dreux โดยเป็นการสื่อว่า แม้ปัจจุบันนี้ Hermès จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในเรื่อง เครื่องหนัง แฟชั่น เสื้อผ้า แต่จุดเริ่มต้นที่สร้างชื่อเสียงให้กับ Hermès คือ “การผลิตอานม้า”  เนื่องจากแบรนด์มีความต้องการที่จะบอกเล่าเรื่องราวมของตนเอง ภายใต้การออกแบบเครื่องหมายการค้านั้น จึงมักจะเห็นม้าเป็นส่วนสำคัญอยู่เสมอ เพราะแบรนด์ยังคงตระหนักเสมอว่า ม้าคือลูกค้าคนแรกของเขา

Hermes Logo

เครื่องหมายการค้า Hermes

จุดเด่นในกระเป๋าของ Hermès คือ กระเป๋าทุกใบจะได้รับการตัดเย็บจากช่างฝีมือ โดยที่ช่างแต่ละคนจะต้องผ่านการฝึกอบรมอย่างน้อย 3 ปี พร้อมทั้งได้รับเกียรติบัตรในการฝึกอบรมเมื่ออบรมสำเร็จแล้ว เพื่อเป็นเครื่องหมายการันตรีว่าช่างมีฝีมือจะมีคุณภาพ    มากพอที่จะผลิตกระเป๋า อีกหนึ่งความพิเศษของ Hermès Bag คือ ถ้าหากกระเป๋าที่ลูกค้าซื้อไปแล้วเกิดมีปัญหา ชำรุด หรือต้องนำกลับมาซ่อม ทางแบรนด์ Hermès จะให้ช่างคนเดิมที่เป็นผู้ผลิตกระเป๋าใบนั้น เป็นคนซ่อมให้ลูกค้าด้วยตนเอง

Hermès ในปัจจุบัน

ปัจจุบัน Hermès มีมูลค่าทางการตลาดมากกว่า 1.63 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ จากการประเมินของเว็บไซต์ Interbrand ในปี 2018 และเป็นบริษัทมหาชนตั้งแต่ปี 1993 หลังเข้าตลาดหลักทรัพย์ของ Paris Bourse (ตอนนี้เปลี่ยนชื่อเป็น Euronext Paris) อยู่ภายใต้การบริหารงานของ อักเซล ดูมา ทายาทรุ่นที่ 6 ผู้ซึ่งรับช่วงบริหารต่อจาก Patrick Thomas ตั้งแต่ปี 2014 และยังถูกจัดอันดับให้เป็นแบรนด์แฟชั่นที่ทันสมัยที่สุดของโลกในปี 2019 โดยนิตยสาร Forbes มีไลน์การผลิตสินค้าตั้งแต่เสื้อผ้า เครื่องหนัง เครื่องประดับ น้ำหอม นาฬิกา รองเท้า ผ้าพันคอ เน็คไท และของแต่งบ้าน

วงการแฟชั่นมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่ Hermès กลับเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยกลยุทธ์การตลาดที่วางสินค้าให้อยู่ในจุดที่เอื้อมถึงได้ยาก ไม่ใช่แค่มีฐานะหรือกำลังเงินจะครอบครองเป็นเจ้าของได้ง่ายๆ เป็นการเพิ่มมูลค่าให้สินค้ากลายเป็นที่นิยมมากยิ่งขึ้น คัดสรรวัสดุคุณภาพดีที่สุด รังสรรค์สินค้าที่เต็มไปด้วย Story ที่แฝงไว้ทุกชิ้น และนี่คือเรื่องราวของ Hermès อาชาผู้สง่างาม ซึ่งเดินทางผ่านเส้นทางที่อบอวลไปด้วยเสน่ห์และกลิ่นอายของแฟชั่น มานานเกือบ 2 ศตวรรษ

รัก
xoxo

KATE