Top 5 นาฬิกาน่าลงทุน ครึ่งปีหลัง 2022 นาฬิกานอกเหนือจากการทำหน้าที่บอกเวลา ยังเป็นส่วนสำคัญที่แสดงออกให้เห็นถึงสถานะทางสังคม รวมถึงรสนิยมของผู้สวมใส่ และบางรุ่นยังสามารถนำไปลงทุนเพื่อสร้างรายได้ ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาเราได้เห็นการเติบโตของตลาดซื้อขายนาฬิกา ก่อนจะเข้าปี 2023 KATEXOXO ได้รวบรวมนาฬิกา 5 รุ่น ที่ได้รับการคัดเลือกยอมรับแล้วว่าคุ้มค่าแก่การลงทุนแห่งปี 2022 และอาจมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป จะมีรุ่นใดบ้างนั้น ติดตามได้ในบทความนี้
1. Omega Speedmaster First Omega In Space
Speedmaster “First Omega in Space” รหัส Ref.311.32.40.30.01.001 เป็นนาฬิกาน่าลงทุนที่สุดจาก Omega นาฬิการุ่นนี้เคยเป็นส่วนหนึ่งของ สายผลิตภัณฑ์ Speedmaster Heritage Models ด้วยราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 4,700 ดอลล่าร์สหรัฐ หรือประมาณ 163,400 บาท ซึ่งถือเป็นราคาเริ่มต้นที่ไม่แรงมาก สำหรับใครที่กำลังจะก้าวเข้าสู่โลกของ Omega Speedmaster ด้วยสถิติราคาที่เพิ่มขึ้นสูงขึ้นจาก เดือนมกราคม ปี 2014 ถึง เดือนธันวาคม ปี 2021 ซึ่งปัจจุบันราคาอยู่ระหว่าง 5,000 ถึง 8,000 ดอลลาร์สหรัฐ
โดดเด่นด้วยหน้าปัดสีดำเคลือบเงาพร้อมหน้าปัดวินาทีขนาดเล็ก สามารถบันทึกเวลา 30 นาทีและ 12พร้อมด้วยเข็มโครโนกราฟตรงกลางและคริสตัลแซฟไฟร์ที่ป้องกันรอยขีดข่วน ขอบหน้าปัดสีดำพร้อมสเกลวัดระยะทางติดตั้งบนตัวเรือนสเตนเลสสตีลขนาด 39.7 มิลลิเมตร พร้อมสลักแบบสมมาตร และ ชั่วโมง เสริมความสวยหรูด้วยสายข้อมือหนังสีน้ำตาล มาพร้อมกับกลไก Calibre 1861 ของ OMEGA ซึ่งเป็นกลไกไขลานด้วยมือที่มีชื่อเสียงซึ่งสวมใส่บนดวงจันทร์ กันน้ำได้ 50 เมตร
เมื่อ Omega ตัดสินใจหยุดผลิตนาฬิการุ่นนี้เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ส่งผลให้ Speedmaster FOIS (ตามที่ทราบกันดีอยู่แล้ว) เป็นที่ต้องการสูงตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ซึ่งนาฬิการุ่นนี้ เหมาะสำหรับมือใหม่เพิ่งหัดเริ่มลงทุน เปิดตัวครั้งแรกในงาน Baselworld เมื่อปี ค.ศ. 2012 ได้รับแรงบันดาลใจจาก Speedmaster Ref. CK2998 ซึ่งสวมใส่โดย Walter “Wally” Schirra นักบินอวกาศ เมื่อวันที่ 3 ตุลาคมปี ค.ศ. 1962 ระหว่างทำภารกิจ “Sigma 7” ในโครงการ Mercury ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่นาฬิกา Omega ได้บอกเวลาในห้วงอวกาศ
2. Zenith Chronomaster A384 Revival Lupin The Third – 2nd Edition
ถูกผลิตออกมาจำนวนจำกัดเพียง 200 เรือน โดยได้แรงบันดาลใจมาจาก Zenith El Primero ที่ปรากฏตัวครั้งแรกในอนิเมะและมังงะของญี่ปุ่นเรื่อง “Lupin The Third” อ้างอิงจากนาฬิการุ่น El Primero chronograph รุ่นแรกจากปี 1969 และโดดเด่นด้วยหน้าปัดเคลือบสีขาวพร้อมเคาน์เตอร์สีดำที่ตัดกัน
ตัวเรือนสตีลมีขนาด 37 มิลลิเมตร พร้อมสายนาฬิกาแบบ “ladder” น้ำหนักเบา ซึ่งสร้างสรรค์รูปลักษณ์สไตล์วินเทจ ขับเคลื่อนด้วยกลไก El Primero 400 ซึ่งเป็นกลไกโครโนกราฟอัตโนมัติที่มีมาอย่างยาวนานของ Zenith โดดเด่นด้วยบาลานซ์วีลความถี่สูงที่เต้นที่ 5 Hz หรือ 36,000 ครั้งต่อชั่วโมง สามารถกันน้ำได้ 50 เมตร
Zenith Chronomaster A384 Revival รุ่นมาตรฐานโดดเด่นด้วยหน้าปัดสีขาวพร้อมหน้าปัดย่อยสีดำ เช่นเดียวกับวงแหวนรอบนอกสีดำที่มีสเกลทาคีมิเตอร์ เข็มวินาทีตรงกลางโครโนกราฟสีแดงสด การออกแบบที่เรียบง่ายส่งผลให้นาฬิกามีกลิ่นอายแบบวินเทจ ราคาเริ่มต้นที่ 8,000 ดอลลาร์และสูงถึง 12,000 ดอลลาร์ (278,000 บาท ถึง 418,000 บาท) ด้วยจำนวนจำกัดเพียง 200 เรือน นาฬิการุ่นนี้จึงมีแนวโน้มที่ราคาจะสูงขึ้น จากสถิติตารางที่ปรากฏด้านล่าง
3. Omega Seamaster 300 SPECTRE
เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของบอนด์ นาฬิกาจริงที่สายลับคนโปรดของโลกสวมใส่ได้รับการเปิดตัวเป็นรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่น ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็น Omega Bond ที่ดีที่สุดที่สร้างขึ้นจนถึงปัจจุบัน แฟน ๆ ของ Omega และแฟน ๆ ของ Bond ต่างก็ชื่นชอบ ยิ่งไปกว่านั้น มันคือบอนด์รุ่นลิมิเต็ดเอดิชั่นชุดแรกที่สายลับสวมใส่บนจอเงินจริง ๆ
Omega Seamaster 300 SPECTRE Ref. 233.32.41.21.01.001 เปิดตัวในปี 2015 เพื่อเฉลิมฉลองการเปิดตัว Spectre ซึ่งเป็นภาพยนตร์ James Bond ที่นำแสดงโดย Daniel Craig ถูกผลิตออกมาจำนวนจำกัดทั้งสิ้น 7,007 ชิ้นโดยความต้องการของตลาดและราคาก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงเจ็ดปีที่ผ่านมา
ตัวเรือนสเตนเลสสตีล นาฬิกาเรือนนี้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในหลาย ๆ ด้าน เริ่มต้นด้วยวงแหวนขอบหน้าปัดเซรามิกสีดำสองทิศทาง สร้างด้วยสเกล 12 ชั่วโมงใน Liquidmetal™ อัลลอยด์ซึ่งมีคุณสมบัติทนทานรอยขีดข่วนได้ดีกว่าและมีความเสถียรมากขึ้น เข็มนาฬิกาเคลือบโรเดียมมีการเคลือบ Super-Luminova แบบวินเทจ
ในขณะที่คุณสมบัติอื่น ๆ ได้แก่ เข็มวินาทีตรงกลางแบบ “lollipop” เช่นเดียวกับสาย NATO สีดำและสีเทาแบบแถบ 5 แถบ หรือที่รู้จักกันในชื่อสาย NATO ของ James Bond สลัก “007” บนตัวยึดสายข้อมือ ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมขั้นสูงของ OMEGA Master Co-Axial Calibre 8400 ซึ่งเป็นกลไกปฏิวัติวงการที่ทนทานต่อแรงดึงดูดของแม่เหล็กได้ถึง 15,000 เกาส์
ราคาของนาฬิการุ่นนี้เพิ่มขึ้นตามตารางสถิติที่รากฏด้านล่าง โดยตอนนี้อยู่ระหว่าง 9,500 ถึง 12,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 330,240 บาท – 417,200 บาท) และเมื่อแดเนียล เครกเข้าร่วมตำแหน่งในฐานะอดีตบอนด์แล้ว นาฬิกาเรือนนี้จึงเป็นนาฬิการุ่นพิเศษที่ทำให้เรานึกถึงการแสดง 007 ที่ยอดเยี่ยมของเขา ด้วยเหตุนี้ ราคาของนาฬิกาจึงอาจสูงขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปและทำให้เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า
4. H. Moser & Cie. Streamliner Centre Seconds
นาฬิกาสปอร์ตสุดหรูรุ่นใหม่ การออกแบบได้รับแรงบันดาลใจจากรถไฟสตรีมไลเนอร์จากปี 1920 แต่ความรู้สึกโดยรวมคือยุค 1970 H. Moser ได้เลือกใช้หน้าปัดสีเขียว fumé ซึ่งขนานนามว่า “Matrix Green” เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 2020 หน้าปัดขนาด 40 มิลลิเมตร มาพร้อมระบบกลไกอัตโนมัติ HMC 200 ระบบพลังงานสำรอง 72 ชั่วโมง กันน้ำได้ 100 เมตร ราคาเริ่มแรกจำหน่ายอยู่ที่ 20,000 ดอลลาร์สหรัฐ (70,000 บาท) ปัจจุบันราคาอยู่ที่ประมาณ 27,500 ถึง 35,000 ดอลลาร์ (956,000 ถึง 1,217,000 บาท)
5. Czapek Antarctique
สำหรับนาฬิกาที่ทางเรานำเสนอเป็นรุ่นสุดท้าย เป็นนาฬิกาจากแบรนด์ Czapek ซึ่งครั้งหนึ่ง Franciszek Czapek ผู้ก่อตั้งเคยเป็นหุ้นส่วนร่วมกับ Antoni Norbert Patek ผู้ก่อตั้งนาฬิกา Patek Phillipe ภายใต้ชื่อบริษัท Patek, Czapek & Cie. ในปี ค.ศ. 1839-1845 หลังจากนั้นจึงแยกย้ายกันไปก่อตั้งแบรนด์ของตัวเอง โดย Franciszek Czapek ร่วมกับ Juliusz Gruzewski ก่อตั้งแบรนด์ Czapek & Cie. ในปี ค.ศ. 1845
Czapek & Cie. กลายเป็นแบรนด์นาฬิกาที่มีชื่อเสียงอย่างมากในช่วงศตวรรษที่ 19 ด้วยผลงานการสร้างสรรค์เรือนเวลาให้กับจักรพรรดินโปเลียนที่ 3 และหลังจากที่ Franciszek Czapek เสียชีวิตลงในปี ค.ศ. 1869 แบรนด์จึงค่อยๆเลือนหายไปจากวงการนาฬิกา
จนกระทั่งแบรนด์ Czapek ฟื้นคืนชีพกลับมาอีกครั้ง ด้วยการร่วมมือกันของ Xavier de Roquemaurel นักธุรกิจชาวสวิสผู้รักนาฬิกาเป็นชีวิตจิตใจ, Harry Guhl ศิลปินชาวสวิส และ Sébastien Follonier ช่างนาฬิกาชาวสวิส ร่วมกันก่อตั้งบริษัท Czapek & Cie. อีกครั้ง ในปี ค.ศ. 2015 ด้วยการเปิดตัว ‘Quai des Bergues’ นาฬิการุ่นแรกของแบรนด์ที่ได้แรงบันดาลใจการออกแบบหน้าปัดจากนาฬิกาพก Czapek & Cie. Ref.3430 ปี ค.ศ. 1850
ปี 2020 Czapek นำรูปแบบของนาฬิกาสปอร์ตยุค 1970s มาใช้ในการออกแบบนาฬิกาสปอร์ตรุ่นแรกของแบรนด์ โดยตั้งชื่อรุ่นว่า Antarctiqe Terre Adelie เพื่อเป็นเกียรติให้กับ Jules Dumont d’Urville นักสำรวจและทหารเรือชาวฝรั่งเศส ผู้ค้นพบ Adelie land ในทวีปแอนตาร์กติกา ขั้วโลกใต้
ตัวเรือน Stainless Steel ทรงถังเบียร์ขนาด 40.5 มิลลิเมตร หนา 10.6 มิลลิเมตร ประกอบกับสายแบบ Integrated Bracelets ขัดด้านสลับกับข้อต่อสายรูปตัว ‘C’ ขัดเงา หน้าปัดขัดแต่งเป็นลวดลาย Brushed หลักชั่วโมงและเข็มทรงดาบแหลมเคลือบสารเรืองแสง SuperLuminova ตามสไตล์นาฬิกาสปอร์ต
ขับเคลื่อนด้วยกลไก Automatic In-House Cal.SXH5 ความถี่ 28,800 ครั้ง/ชั่วโมง สำรองพลังงาน 56 ชั่วโมง ใช้ Micro Rotor ทองคำ 18 กะรัต แบบหมุนเต็มวงรอบ โชว์กลไกที่นำรูปแบบจากกลไกนาฬิกาพกโบราณมาผ่านการตกแต่งให้ดูทันสมัยทั้งการขัดแต่งและรมดำ ใช้กระจก Sapphire เคลือบตัดแสงสะท้อนที่หน้าปัดและฝาหลัง เม็ดมะยมแบบขันเกลียวกันน้ำลึก 120 เมตร มีหน้าปัด 4 สีให้เลือกได้แก่
- Secret Alloy สีเงินคลาสสิก
- Deep Blue สีฟ้าน้ำทะเล
- Black Ink สีดำลึกลับ
- Burgundy สีแดงเบอร์กันดี
นาฬิกาสปอร์ตมีการออกแบบที่ยอดเยี่ยม การเคลื่อนไหวภายในที่ยอดเยี่ยม และมอบความสามารถรอบด้านที่ยอดเยี่ยม มาพร้อมกับสีของหน้าปัดที่แตกต่างกัน โดยถูกผลิตออกมาจำนวนจำกัดเพียง 99 เรือน ราคาสำหรับรุ่น Antarctique ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 33,000 ถึง 44,000 เหรียญ (ประมาณ 1,148,000 บาท ถึง 1,530,000 บาท) ซึ่งถือว่าเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว จึงนับได้ว่าเป็นนาฬิกาอีกหนึ่งรุ่นที่ควรค่าแก่การลงทุน
นาฬิกาสุดหรูในปัจจุบัน มิได้มีไว้เพื่อความแสดงรสนิยมบนข้อมือของคุณเป็นหลักอีกต่อไป ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เราได้เห็นผู้คนจำนวนมาก ที่เริ่มต้องการสร้างรายได้ด้วยการลงทุนด้านนาฬิกา ซึ่งในโลกของนาฬิกาสุดหรู บางรุ่นสามารถทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำลบภาพความเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย หากคุณรู้ว่าควรลงทุนในนาฬิการุ่นใด แต่จงจำไว้ว่า ทุกความลงทุนคือความเสี่ยง โปรดศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง
รัก
xoxo