Rolex Submariner หรือชื่ออย่างเป็นทางการ “Oyster Perpetual Submariner” จากแบรนด์นาฬิการะดับโลก “ROLEX” หากจะกล่าวว่านาฬิการุ่นนี้แล้วละก็ นับได้ว่าเป็นขวัญใจอันดับหนึ่งของนักสะสมนาฬิกาหลายๆ ท่านให้ความสนใจก็ไม่ผิด เรียกได้ว่าครองใจและเป็นที่นิยมมาอย่างยาวนาน กับคุณสมบัติต้านทานแรงดันน้ำ ซึ่งถือเป็นตัวเรือนกันน้ำอันดับแรกของโลก ที่สามารถกันน้ำได้ถึง 100 เมตร เราจะพาคุณไปค้นหาคำตอบว่า ทำไมนาฬิการุ่นนี้ถึงถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในนาฬิกาที่เหมาะกับทุกไลฟ์สไตล์ และมีชื่อเสียงโด่งดังมาจนถึงทุกวันนี้!
The History
เรื่องราวของ Submariner เริ่มขึ้น ในช่วงต้นทศวรรษ 1950 เมื่อ เรเน่ จอห์นเนเร่ (Rene P. Jeanneret) หนึ่งในผู้บริหารของ Rolex ในขณะนั้น ได้เกิดแนวคิดในการทำ Sport Watch ที่สามารถตอบโจทย์สำหรับการดำน้ำลึกได้ (Scuba Diving) เนื่องจากตัวเขาเองก็เป็นนักดำน้ำมือสมัครเล่น จึงมองหานาฬิกาที่สามารถมองเวลาได้ในขณะที่อยู่ใต้น้ำได้ ในปี 1953 จึงได้มีการออกแบบนาฬิกาต้นแบบ รหัส 6200 ขึ้นมา โดยสามารถกันน้ำที่ระดับความลึก 100 เมตร หรือ 30 ฟุต และได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้คุณสมบัติของนาฬิการุ่นนี้สมบูรณ์แบบมากที่สุด
ต่อมาในปีเดียวกันนั้นเอง Rolex ได้เดินหน้าทดสอบสมรรถภาพนาฬิการุ่นทดลอง 6200 นี้ โดยมี ออกัส พิคคาร์ด (Auguste Piccard) และลูกชายของเขา ทำการลงไปดำน้ำเพื่อทำลายสถิติโลก โดยทั้ง 2 คนใส่นาฬิกา 6200 ดำลงไปด้วย ผลปรากฏว่าทั้งคู่ สามารถสร้างสถิติการดำน้ำครั้งใหม่ให้กับโลก ด้วยระดับความลึก 10,335 ฟุต และพบว่า 6200 ยังคงทำงานได้ดี แม้จะลงไปใต้น้ำที่มีความลึกถึง 3,000 เมตรก็ตาม
ความน่าทึ่งของ Rolex ยังไม่จบเพียงแค่นั้น เมื่อ แจ๊ค กุสตุ (Jacques Cousteau) นักสำรวจ ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของ เรเน่ จอห์นเนเร่ (Rene P. Jeanneret) อีกทั้งยังพ่วงตำแหน่งนายทหารเรือของฝรั่งเศส ตัดสินใจทำสารคดีเรื่อง “The Silent World” โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่ง แจ๊ค กุสตุ (Jacques Cousteau) เลือกสวมใส่นาฬิการุ่นทดลอง 6200 นี้ตลอดเวลาที่ถ่ายทำ ซึ่งนั่นทำให้ 6200 อวดโฉมออกสู่สายตาประชาชนทุกคนที่ได้ดูสารคดีเรื่องนี้แบบเต็มตาเป็นครั้งแรก
ในช่วงที่ทำการทดลองทำนาฬิการุ่นนี้ ยังไม่ได้ใช้ชื่อเรียกว่า Submariner แต่เรียกกันว่า “Model 6200” โดยตัวทดลองนี้ มีจุดเด่นอยู่ที่ “เม็ดมะยม” ที่มีขนาดใหญ่ถึง 8 มม. ที่ถูกหมุนเกลียวแบบ Triplock (กันลมเข้าออกได้ 100%) ซึ่งเข้ากันได้ดีกับ Oyster Case อันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ ได้รับฉายาในภายหลังว่า “Big Crown Submariner” ตำแหน่งเวลาบนหน้าปัดใช้ตัวเลข 3,6,9 และใช้สัญญลักษณ์ขีดแท่งสี่เหลี่ยม แทนตัวเลขอื่นๆ ในตำแหน่งเลข 12 ใช้รูปสามเหลี่ยม ตามแบบฉบับของ โรเล็กซ์ ซึ่งมีการผลิตตัวอย่างรุ่นทดลองนี้ ออกมาทั้งหมด 300 เรือน
จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1954 ทางโรเล็กซ์ได้ทำการเปิดตัว Submariner ตัวรหัส ref. 6204 อย่างเป็นทางการ ที่งาน Basel Spring Fair งานแสดงเครื่องประดับและนาฬิการะดับโลก ที่ถูกจัดขึ้น ณ เมือง Basel ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยนาฬิการุ่นนี้ มีจุดเด่นอยู่ที่ สามารถกันน้ำและสามารถทนทานต่อความลึกได้ถึง 200 เมตร (660 ฟุต) ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งแปลกใหม่ ที่ยังไม่มีนาฬิกาแบรนด์ใดสามารถทำได้ ตัวเรือนมีขนาดเล็กกว่ารุ่น 6200 เล็กน้อย และมีการวางจำหน่าย ตัวรหัส 6205 อย่างเป็นทางการ ในปีถัดมา
จุดเปลี่ยนสำคัญของนาฬิการุ่นนี้ คือ การปรากฏโฉมบนข้อมือของ ฌอน คอนเนอรี่ (Sean Connery) ดารานักแสดงผู้มีชื่อเสียง ในบทบาทของ เจมส์ บอนด์ (James Bond) ตัวละครหลักจากภาพยนต์เรื่อง James Bond 007 เมื่อปี 1962 โดย ฌอน คอนเนอรี่ (Sean Connery) ได้สวมใส่นาฬิการุ่นนี้ รหัสตัวเรือน 6538 เข้าแสดงใน 4 ภาคแรก รวมถึงฉากที่ต้องถ่ายทำใต้น้ำด้วย ทำให้ Submariner เป็นที่จดจำ และโด่งดังเป็นพลุแตก นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
The Design
Submariner ได้รับการออกแบบมา เพื่อสนองความต้องการของนักดำน้ำอย่างแท้จริง นับตั้งแต่เริ่มผลิตเมื่อปี ค.ศ. 1953 เป็นต้นมา Submariner ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านประสิทธิภาพกลไกในการทำงาน รวมทั้งคุณสมบัติต่างๆ ซึ่งนับว่าเป็นนาฬิการุ่นบุกเบิกรุ่นแรกของเหล่าบรรดานักดำน้ำ ซึ่งเป็นต้นแบบให้กับนาฬิกากันน้ำรุ่นต่อๆ มา และได้กลายมาเป็นมาตรฐานในการผลิตนาฬิกาสำหรับนักดำน้ำมาจนถึงปัจจุบัน
จุดเด่นอีกจุดหนึ่งของนาฬิการุ่นนี้ ที่น่าสนใจ คือ Rotatable Bezel หรือกรอบหน้าปัดแบบหมุนได้ ซึ่งถือว่าเป็นหัวใจสำคัญในการทำงานของนาฬิกา และถือเป็นเครื่องมือสำคัญของนักดำน้ำอย่างมาก ขอบหน้าปัดจะได้รับการสลักขั้นบอกเวลา 60 นาที เพื่อช่วยให้นักดำน้ำสามารถควบคุมเวลาดำน้ำได้ รวมถึงบอกสภาวะ Decompression (แรงดันอากาศ) ใต้น้ำ เพื่อหยุดปรับแรงดันได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย ขอบหน้าปัด Cerachrom ป้องกันรอยขีดข่วน รวมถึงไม่เปลี่ยนสภาพแม้ต้องเผชิญกับแสงแดด น้ำทะเล หรือคลอรีน
หน้าปัดพร้อมจอแสดงแบบ Chromalight อันเป็นนวัตกรรม ที่ช่วยเพิ่มการมองเห็น ในสภาพแวดล้อมอันมืดมิด ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับนักดำน้ำทุกคน มาพร้อมกับเข็มแสดงชั่วโมงในรูปทรงที่เรียบง่าย เข็มแสดงชั่วโมงและนาทีมีขนาดกว้างและใหญ่กว่า Rolex รุ่นอื่นๆ ทั้งนี้ เพื่อความสะดวก รวมถึงช่วยให้นักดำน้ำได้มองเห็นอย่างชัดเจนและอ่านเวลาได้ทันที ซึ่งสามารถเชื่อถือได้ เพื่อป้องกันความสับสนขณะอยู่ใต้น้ำ
ตัวเรือนแบบ Oyster ซึ่งมีคุณสมบัติกันน้ำ ได้รับการพัฒนาใหม่ สามารถกันน้ำได้ที่ระดับความลึก 300 เมตร (1,000 ฟุต) เม็ดมะยมที่ติดตั้งพร้อมระบบกันน้ำ 3 ชั้น พร้อมหน้าปัดที่โดดเด่นด้วยเข็มแสดงชั่วโมง (มาร์คเกอร์) เรืองแสงขนาดใหญ่ ขอบหน้าปัด Cerachrom แบบหมุนได้
สายนาฬิกา Oyster แบบข้อต่อแข็ง เพิ่มความทนทานและสบายขณะสวมใส่ พร้อมชุดตัวล็อค OysterLock ป้องกันสายนาฬิกาเลื่อนออกโดยไม่ตั้งใจ นาฬิการุ่น Submariner และ Submariner Date ประกอบด้วยกลไกที่มีชื่อเรียกว่า Calibre 3130 และ Calibre 3135 ตามลำดับ
ซึ่งเป็นกลไกการไขลานแบบอัตโนมัติ ที่ถูกพัฒนาและผลิตขึ้นโดย Rolex แต่เพียงผู้เดียว โดยภายในติดตั้งแฮร์สปริง Parachrom สีฟ้า ซึ่งมีความเที่ยงตรงมากกว่า แฮร์สปริงรุ่นดั้งเดิม สามารถรองรับแรงกระแทกได้มากถึง 10 เท่า ด้วยนวัตกรรมนี้ ส่งผลให้ Submariner รุ่นใหม่ มีความเที่ยงตรงและน่าเชื่อถืออย่างมาก
ระบบขยายสายนาฬิกา Glidelock ของ Rolex ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ ช่วยให้การปรับความยาวของสายนาฬิกาเป็นไปอย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องพึ่งพาเครื่องมืออื่นเช่นรุ่นเก่าๆ ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ ทำให้นาฬิการุ่น Submariner และ Submariner Date รุ่นล่าสุด ยังคงเอกลักษณ์ และรักษาความงดงามของรุ่นดั้งเดิม ที่เปิดตัวเมื่อปี 1953 เอาไว้ได้ เป็นอย่างดี
A Key To The Deep
นาฬิการุ่น Submariner ได้รับการออกแบบขึ้น เพื่อการสำรวจโลกใต้น้ำและการดำน้ำโดยเฉพาะ ซึ่งได้รับการพิสูจน์ด้วยระยะเวลายาวนานหลายปี เป็นเครื่องบอกเวลาที่สามารถสวมใส่ได้ทุกโอกาส เป็นนาฬิกาที่มีเอกลักษณ์เฉพาะอันแสนโดดเด่นในทุกๆ ด้าน ซึ่งได้รับความไว้วางใจจากเหล่านักสำรวจ นักกีฬา นักสร้างภาพยนต์ ศิลปิน รวมถึงบุคคลมีชื่อเสียงหลายๆ ท่านเลือกสวมใส่
เหล่าผู้บุกเบิกทะเลทั้งหลาย ต่างให้ความสนใจกับ Submariner ตั้งแต่วันแรกที่ออกมาอวดโฉม ในฐานะนาฬิการุ่นทดลอง โดยมีการเข้ามาสอบถามเพื่อขอทดสอบนาฬิการุ่นดังกล่าวกับแบรนด์ รวมถึง Dimitri Rebikoff วิศวกรชาวฝรั่งเศส ผู้เชี่ยวชาญด้านการวิจัยใต้น้ำ หลังจากนั้น นาฬิการุ่นนี้ก็ได้ถูกเพิ่มเป็นรายการโปรด เป็นสิ่งที่เขาขาดไม่ได้ ในเวลาอันรวดเร็ว
นับตั้งแต่เปิดตัวในปี 1953 Submariner ได้รับการพัฒนาสมรรถนะอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านฟังก์ชั่นการทำงาน กลไกระบบต่างๆ ด้านกันน้ำ รวมทั้งการเลือกใช้วัสดุที่มีความทนทาน ตัวเรือนได้รับการขยายใหญ่ขึ้น จาก 38 มม. เป็น 40 มม. พร้อมการติดตั้งการ์ดป้องกันเม็ดมะยม บนขอบหน้าปัดเพิ่มขั้นบอกเวลาในแต่ละนาทีทุก 15 นาทีแรกของชั่วโมง
ในปี 2008 Submariner ได้รับการปรับโฉมด้วยขอบหน้าปัด Cerachrom หมุนได้แบบใหม่ โดยมีขั้นบนขอบทำจากทองคำหรือแพลทินัม กล่าวไว้ว่า Submariner คือ นาฬิกาสำหรับนักดำน้ำอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นการปูพื้นฐาน เป็นตัวอย่างให้กับนาฬิกาสำหรับดำน้ำลึกของแบรนด์ในรุ่นต่อๆ มา เช่น Sea-Dweller และ Deepsea
ด้วยรูปลักษณ์และดีไซน์ภายนอกที่ถูกออกแบบมาโดยเฉพาะ สำหรับการดำน้ำลึกและมีความทนทานต่อสภาพแวดล้อมใต้น้ำในระดับหลายร้อยเมตร ทำให้ Submariner ขึ้นแท่นนาฬิกาขวัญใจนักดำน้ำ และยังเป็นขวัญใจนักสะสมนาฬิกาด้วยเช่นกัน ด้วยการออกแบบที่ถือได้ว่าเป็น The Most Iconic ในวงการนาฬิกา เอกลักษณ์เฉพาะตัวและฟังก์ชั่นการใช้งานที่เพียบพร้อม
Rolex Submariner ยังเป็นตัวกำหนดมาตรฐานในกับนาฬิกาสำหรับนักดำน้ำยุคต่อๆ มา เป็นจุดพลิกโฉมครั้งสำคัญในวงการนาฬิกา เป็นหนึ่งในตำนานนาฬิกา ที่ยังคงความคลาสสิคของ Rolex มาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งแน่นอนว่าไม่ว่าเวลาจะผ่านไปอีกกี่ทศวรรษก็ตาม Submariner จะยังคงมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เดินหน้าพร้อมมูลค่าที่เพิ่มขึ้นไปอีกมากมายอย่างแน่นอน
รัก
xoxo