Rolex Daytona หรือที่ทราบกันดีในชื่อ Cosmograph Daytona เป็นนาฬิกาที่มีกลไลไขลานแบบโคโนกราฟ (Chronograph) หรือเป็นฟังก์ชั่นแบบนาฬิกาจับเวลา โดยที่ชื่อ Daytona (เดย์โทนา) ได้มาจากชื่อสนามแข่งรถที่เป็นชายหาดของเมืองเดย์โทนา รัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา และสถานที่แห่งนี้เป็นที่รู้จักในนามของเมืองหลวงแห่งความเร็วระดับโลก
และแน่นอน Daytona นั้นเป็นนาฬิกาสปอร์ตที่ทำขึ้นสำหรับนักแข่งรถ ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของนักแข่งรถ คือ “การจับเวลา” และการคำนวณความเร็วเฉลี่ยโดยสเกลมาตรวัดที่สลักอยู่บนขอบหน้าปัด
The History
เรื่องราวของนาฬิกา Rolex เริ่มขึ้นเมื่อตอนที่ 27 (Hans Wilsdorf) ได้เริ่มศึกษาเกี่ยวกับอุตสาหกรรมนาฬิกา และได้ตั้งบริษัทเกี่ยวกับการผลิตนาฬิกาของตนเองขึ้นในปี ค.ศ. 1908 ภายใต้ชื่อ Wilsdorf and Davis ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งได้เปลี่ยนมาใช้ชื่อ Rolex และย้ายสำนักงานไปตั้งอยู่ที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ในภายหลัง Rolex ได้ผลิตและพัฒนานาฬิกาข้อมือให้มีความเที่ยงตรง มีสมรรถนะที่ยอดเยี่ยมสามารถกันน้ำ กันฝุ่นได้ จุดนี้จึงทำให้ Rolex เป็นที่ยอมรับของผู้คนและโด่งดังไปทั่วโลก
นาฬิกา Cosmograph Daytona เรือนแรกเริ่มผลิตขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1963 โดยที่ใช้กลไกนาฬิกาแบบโครโนกราฟ (Chronograph) ซึ่งโคโนกราฟเป็นฟังก์ชั่นการจับเวลาที่เพิ่มเติมขึ้นมาในนาฬิกาแบบเดิม เพื่อให้มีความซับซ้อนในการเดินเข็มมากกว่านาฬิกาที่บอกเวลาอย่างเดียว และนาฬิกาโครโนกราฟเป็นอุปกรณ์ที่มีประโยชน์อย่างมากสำหรับการแข่งขันกีฬาด้านความเร็วในอดีต นาฬิกาเรือนแรกที่ใช้กลไกนี้ คือ รหัส 6239 ซึ่งเอกลักษณ์อยู่ตรงบริเวณขอบหน้าปัดที่มีการแกะสลักเป็นหน่วยวัดความเร็วซึ่งหน่วยสูงสุดที่วัดได้ คือ 300 ยูนิตต่อชั่วโมง
นาฬิกาโครโนกราฟรุ่นนี้ช่วยให้นักแข่งรถสามารถจับเวลาที่ใช้ไป โดยแสดงรูปแบบเป็นชั่วโมง นาที และวินาทีบนหน้าปัด ไม่กี่ปีถัดมานาฬิการหัส 6240 เป็นนาฬิกาที่ได้รับการพัฒนามาจากนาฬิกาต้นแบบรหัส 6239 โดยได้นำเอากลไกนาฬิกาโคโนกราฟมาใช้ และได้เพิ่มเติมส่วนของปุ่มกดด้านข้างที่เป็น Screw-Down ที่เริ่มผลิตในปี ค.ศ. 1965 ตั้งแต่ในยุคที่เริ่มผลิตนาฬิกา จนกระทั่งปัจจุบันนาฬิกา Daytona ได้ถูกผลิตและพัฒนามาแล้วถึง 3 เจเนอเรชั่นด้วยกัน แบ่งตามรหัสซึ่งจะมีนาฬิการหัส 4 หลัก รหัส 5 หลัก และรหัส 6 หลัก
Original Series
ผลิตเมื่อประมาณปี ค.ศ. 1963 ถึงปี ค.ศ. 1980 มีตัวเลขรหัสสี่หลัก และเป็นนาฬิการุ่นที่หายากที่สุดของ Daytona รุ่นแรกที่ผลิต คือ รหัส 6239 โดดเด่นที่ Pushers (ปุ่มเวลา) ต่อมาในปี ค.ศ. 1965 ได้มีการผลิตนาฬิการหัส 6240 มาพร้อมคุณสมบัติที่สามารถกันน้ำได้หรือที่เรียกว่า “Oyster” ในส่วนของกลไกการเคลื่อนไหว หรือ Movement นั้น คือ Caliber 72 ที่ผลิตโดย Valjoux ซึ่งทาง Rolex ได้ปรับปรุงและออกแบบกลไกใหม่เป็น Calibre 722 กลไกนี้ถูกใช้ในนาฬิกา Daytona ที่ผลิตในปี ค.ศ. 1963 – 1969
นาฬิการหัส 6263 และรหัส 6265 และนาฬิกาที่ถูกผลิตในปี ค.ศ. 1970 ยังคงใช้กลไกพื้นฐาน Caliber 72 ซึ่งเป็นแบบ Manual-Wind ของ Valjoux โดยมีการปรับแต่งกลไกบางอย่าง และถูกเรียกว่า Rolex Caliber 727 ซึ่งกลไกเหล่านี้ได้ถูกพิสูจน์แล้วว่ามีความน่าเชื่อถือและแม่นยำเป็นพิเศษ
Rolex Daytona ได้รับแรงบันดาลใจจาก พอล นิวแมน (Paul Newman) เขาคือนักขับรถแข่งที่หลงไหลในรถแข่งเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ เขายังเป็นนักแสดงที่โดดเด่นและมีชื่อเสียง เขาสวมใส่นาฬิกา Daytona ทุกวัน ซึ่งมันเป็นของขวัญจากภรรยาของเขา พอล นิวแมน (Paul Newman) สวมนาฬิกาเรือนนี้และถ่ายรูปในหนังสือ 1972 Paul Newman – Les images d’une vie ซึ่งฝาหลังแกะสลักคำว่า “DRIVE CAREFULLY ME” ที่สั่งทำขึ้นเป็นพิเศษ
Second Series
หลังจากการยกเลิกการผลิตนาฬิกา Daytona ที่ใช้กลไกแบบ Manual-Winding ซีรี่ส์ที่ 2 นั้นได้เริ่มขึ้นในช่วงต้นทศวรรษ 1990 โดยรหัสของนาฬิกาจะเป็นเลข 5 หลัก และกลไกไขลานนาฬิกาที่ใช้ในซี่รี่ส์ที่ 2 นี้เป็นกลไกไขลานอัตโนมัติ ซึ่งผลิตโดย Zenith ภายใต้ชื่อ Caliber 3019PHC ในปี ค.ศ. 1988 Rolex เปิดตัวนาฬิกาที่ใช้กลไกโครโนกราฟ ที่เป็นแบบกลไกไขลานอัตโนมัติ โดยมีทั้งหมดสามรุ่น คือ รหัส 16520 รหัส 16523 และรหัส 16528
ในปี ค.ศ. 1992 Rolex เปิดตัวนาฬิกา รหัส 16518 แล้วก็ตามมาด้วยการเปิดตัวนาฬิกาอีก 5 รุ่นในปี ค.ศ. 1997 คือ นาฬิการหัส 16519 รหัส 16588 SAFU และนาฬิการหัส 16589 ซึ่งนาฬิการุ่นนี้มีด้วยกันถึง 3 รูปแบบ คือ รหัส 16589 SAPH รหัส 16589 RUBI และรหัส 16589 BRIL
ในซีรี่ส์ที่ 2 นี้นอกจากจะมีการพัฒนาเทคโนโลยีด้านกลไลนาฬิกา ปุ่มกดด้านข้าง การต้านทานต่อแรงดันน้ำ แล้วทาง Rolex เองก็มีการพัฒนารูปแบบของนาฬิกาให้มีความหลากหลายมากกว่ารุ่นดั้งเดิม ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของตัวเรือนที่มีวัสดุทั้งเหล็ก ทองคำ ทองคำขาว ส่วนของหน้าปัดที่มีการตกแต่งขอบด้วยอัญมณี การสลักสเกลมาตรวัดหน่วยความเร็ว รวมไปถึงสายนาฬิกาที่มีความหลากหลายของรูปแบบและวัสดุ
Third Series
นาฬิกาซีรี่ส์ที่ 3 เปิดตัวในปี ค.ศ. 2000 มีการใช้ Movement ที่สร้างขึ้นโดย Rolex นั่นคือ Calibre 4130 ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็น Movement in House ซึ่งกลไกดังกล่าวได้ถูกนำมาใช้กับนาฬิการุ่น รหัส 116520 รหัส 116523 รหัส 116528 รหัส 116519 และรหัส 116518 ในปีเดียวกันนั้นเอง Rolex ก็ได้ผลิตนาฬิกาออกมาอีกหลายรุ่น ได้แก่ รหัส 116568 รหัส 116589 Bril รหัส 116589 Saci และรหัส 116589 Salv
ในปี ค.ศ. 2008 เป็นครั้งแรกที่นาฬิกา Daytona ถูกสร้างจากทองคำ Everose Gold 18 กะรัต ซึ่งก็คือนาฬิการหัส 116505 หลังจากนั้นในปี ค.ศ. 2011 Rolex ได้เปิดตัวนาฬิกา รหัส 116515 ที่มาพร้อมตัวเรือนสี Pink Gold และมีขอบหน้าปัด Monobloc Cerachrom สีดำซึ่งทำจากเซรามิกที่มีการแกะสลักสเกลวัดระยะทางที่บริเวณขอบนาฬิกา
หลังจากนั้นในปี ค.ศ. 2012 Rolex ก็ได้ปล่อยนาฬิการหัส 116598 RBOW และรหัส 116599 RBOW ออกมา โดยความพิเศษของนาฬิกาทั้งสองเรือนนี้ คือ บริเวณขอบหน้าปัดนาฬิกามีการตกแต่งด้วยแซฟไฟร์ที่นำมาเรียงต่อกันเป็นเฉดสีรุ้ง แทนที่หน้าปัดแบบเดิมที่ตรงขอบหน้าปัดนาฬิกาเป็นสเกลของหน่วยวัดความเร็ว
ในงาน Baselworld Watch and Jewellery Show 2013 Rolex ก็ได้นำเสนอนาฬิกา Daytona รหัส 116506 ที่มากับตัวเรือนแพลทตินั่ม และในปีถัดมา งาน Baselworld Watch and Jewellery Show 2014 Rolex ก็ได้เปิดตัวนาฬิกา รหัส 116576 TBR ขอบหน้าปัดประดับเพชรสี่เหลี่ยม 36 เม็ดและชุดหน้าปัดประดับด้วยเพชร 437 เม็ด
และในปี ค.ศ. 2016 Rolex เปิดตัวนาฬิกา Daytona รหัส 116500 LN ที่ตัวเรือนทำจากเหล็กกล้า 904L Steel ซึ่งมีคุณสมบัติทนทานต่อการกัดกร่อน และขอบหน้าปัดที่ทำจาก Cerachrom นอกจากนี้ ยังมีนาฬิการุ่น รหัส 116508 ตัวเรือนเป็นทองคำ Yellow Gold ที่มีหน้าปัดสีเขียว และรหัส 116509 ตัวเรือนเป็นทองคำขาวมาพร้อมหน้าปัดสีน้ำเงิน
ความเที่ยงตรงของนาฬิกา Rolex นำมาซึ่งการพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้นอยู่เสมอ โดยเฉพาะความแน่นแฟ้นของนาฬิกา Rolex Daytona กับการแข่งขันด้านความเร็ว และความสัมพันธ์ของแบรนด์กับรถแข่งยิ่งแนบแน่นขึ้น เมื่อ Rolex ก้าวเข้าสู่สนามแข่งของความเร็ว การแข่งขันของรถ Formula 1 เมื่อปี ค.ศ. 2013 แบรนด์เข้ามาในฐานะพันธมิตร และได้มีการสนับสนุนอุปกรณ์การจับเวลาเพื่อใช้ในงานแข่งขันครั้งนี้ นี่คือสิ่งที่บ่งบอกได้ว่านาฬิกาโรเล็กซ์ คือ มาตรฐานความเที่ยงตรงของโลก
รัก
xoxo