Louis Vuitton ยกเลิก Date code – ในขณะที่ทั่วโลก กำลังมีการเปลี่ยนแปลงกฏเกณฑ์ต่าง ๆ แบรนด์ชื่อดังเชื้อสายฝรั่งเศสอย่าง Louis Vuitton ก็เดินหน้าสู่ยุคใหม่เช่นกัน สำหรับรหัส DC ซึ่งถูกระบุบนกระเป๋าและเครื่องหนังขนาดเล็กจากหลุยส์ วิตตองทุกใบ มาเป็นเวลายาวนาน กำลังจะกลายเป็นอดีตไปแล้ว หลังจากเดือนมีนาคม ปี ค.ศ. 2021 เป็นต้นไป และถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่เรียกว่า “ไมโครชิพ” เพื่อแก้ปัญหาของลอกเลียนแบบ จะมีข้อแตกต่างจาก DC แบบดั้งเดิม อย่างไรบ้างนั้น ติดตามไปพร้อมกัน
Date code and Microchips
โดยปกติแล้ว กระเป๋าจากหลุยส์ วิตตองทุกใบ จะมีการระบุ Date code (DC) เป็นรหัสที่ระบุสถานที่ รวมถึงปีที่ผลิต ระบุอยู่ในกระเป๋าทุกใบ โดยแต่ละรุ่นของกระเป๋า จะปรากฏการตีพิมพ์ของรหัสที่แตกต่างกันออกไป โดยอาจระบุบน Tag หนังขนาดเล็กที่เย็บติดในกระเป๋า , ซับในของกระเป๋า หรืออาจปั๊มลงบนตัวกระเป๋า ซึ่งทั้งหมดนั้น นอกจากเป็นรหัสที่บ่งบอกถึงสถานที่รวมถึงปีการผลิตแล้ว ยังเป็นสิ่งที่แบ่งแยกกระเป๋ารุ่นเก่า (Vintage) และรุ่นปัจจุบันได้อีกด้วย
นอกจากเราจะสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับประวัติกระเป๋าแต่ละใบ ผ่านตัวรหัส DC แล้ว DC ยังเป็นกุญแจสำคัญ ในการช่วยเราพิจารณาตรวจสอบสินค้า ว่าเป็นของแท้หรือของละเมิดลิขสิทธิ์ โดยรหัสเหล่านี้ ได้รับการตีตราลงบนกระเป๋าถือ กระเป๋าสตางค์ เข็มขัด และรองเท้าทุกรุ่น มาตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษที่ 1980s สำหรับสินค้าที่ถูกผลิตก่อนหน้าปี ค.ศ. 1980 นั้น จะไม่มีรหัสเหล่านี้ จึงต้องใช้ความชำนาญในการตรวจสอบกระเป๋าวินเทจเหล่านั้น
หลุยส์ วิตตอง ได้เปลี่ยนรูปแบบและระบบในการใส่รหัสข้อมูลหลายต่อหลายครั้ง โดยรหัสเหล่านั้นจะระบุในรูปแบบตัวเลขและตัวอักษร ซึ่งจนแล้วจนรอด ก็ไม่สามารถป้องกันหรือแก้ไขปัญหาในส่วนของสินค้าลอกเลียนแบบได้เลย ด้วยวิวัฒนาการในปัจจุบันที่ได้รับการพัฒนาจนบางครั้งเป็นการยากสำหรับมือใหม่บางท่าน ที่ยังไม่มีประสบการณ์ในการแยกแยะของแท้และของปลอม ซึ่งสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จาก วิธีอ่าน Date Code Louis Vuitton ฉบับกูรู
หลังจากเดือนมีนาคม ปี ค.ศ. 2021 หลุยส์ วิตตอง ได้ดำเนินการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรหัสกระเป๋าอีกครั้ง ในรูปแบบชิพขนาดเล็กที่เรียกว่า Small radio frequency identification หรือ RFID อย่างไรก็ตาม หลุยส์ วิตตองไม่ใช่แบรนด์แรกที่มีการนำเทคโนโลยีนี้เข้ามาใช้ แบรนด์ลักชัวรี่บางแบรนด์อย่าง Salvatore Ferragamo และ Moncler มีการใช้เทคโนโลยีคล้าย ๆ กันนี้ ในการระบุความเป็นของแท้ในตัวสินค้าก่อนหน้านี้
สำหรับเทคโนโลยีใหม่นี้ มีการระบุลักษณะเฉพาะของกระเป๋าแต่ละใบซึ่งแตกต่างกันไป ที่สำคัญจะถูกฝังอยู่ในตำแหน่งที่ไม่สามารถนำออกมาได้ เว้นเสียแต่จะทำลายหรือแยกชิ้นส่วนกระเป๋าออกเป็นชิ้น ๆ เท่านั้น ซึ่งนับว่าเป็นก้าวใหม่ของการแก้ไขปัญหาการลอกเลียนแบบได้อย่างดีเยี่ยม โดยบุคคลภายนอกจะไม่สามารถเพิ่มข้อมูลใด ๆ เข้าไปในฐานข้อมูลได้เลย ด้วยระบบความปลอดภัยอันเป็นส่วนตัวของ LVMH ซึ่งรายละเอียดที่ไมโครชิพจะแสดงให้ทราบ มีดังนี้
- สถานที่ ที่กระเป๋าถูกผลิต (ประเทศและโรงงานผลิต)
- คำอธิบาย (Description) เฉพาะของกระเป๋า เช่น รุ่น หรือขนาดต่าง ๆ
- รหัสของกระเป๋า (Style Code)
- วันที่กระเป๋าถูกจำหน่าย
- รายละเอียดต่าง ๆ ของลูกค้าที่ซื้อกระเป๋าไป (customer details)
- ร้านค้า / Website ที่กระเป๋าถูกจำหน่ายออกไป รวมทั้งชื่อของพนักงานผู้เป็นคนขายกระเป๋าใบนั้น ๆ
สำหรับจุดที่ทางหลุยส์ วิตตองฝังไมโครชิพนั้น ไม่มีการระบุเป็นที่แน่ชัด ซึ่งตำแหน่งของมัน อาจถูกฝังอยู่ในช่องกระเป๋า หรือขอบมุมของกระเป๋าก็ได้ ทั้งนี้จะไม่สามารถสัมผัสได้ถึงตัวชิฟเหล่านั้น เนื่องจากชิพที่มีขนาดเล็ก และเคลือบด้วยแผ่นฟิล์มที่มีความบางมาก จึงทำให้ยากที่จะสัมผัสถึงชิพเหล่านี้ ที่ถูกฝังอยู่ภายใต้แผ่นหนังหรือผืนผ้า
Who can scan a new microchip in Louis Vuitton bag?
เพื่อความปลอดภัยสูงสุดในการป้องกันการปลอมแปลงสินค้า สำหรับการฝังไมโครชิพรุ่นใหม่นี้ บุคคลที่สามารถทำการสแกนและอ่านข้อมูลทั้งหมดของชิพได้ มีเพียงพนักงานขายของบูทีคจากหลุยส์ วิตตองเท่านั้น ! ด้วยแอพลิเคชั่นที่ถูกติดตั้งโดยเฉพาะ ซึ่งผลของการสแกนยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ถึงข้อมูลที่จะแสดงออกมา หากเป็นไปตามคาด หลังจากทำการสแกน ระบบจะนำคุณไปยังเว๊ปไซต์ที่สามารถยืนยันได้ว่าสินค้านั้นเป็นของแท้
แต่อย่าได้นำกระเป๋าสุดโปรดของคุณ ไปให้พนักงานในร้านตรวจเพื่อพิสูจน์ความเป็นของแท้สำหรับกระเป๋า Pre-loved พวกเขาไม่ได้มีหน้าที่ ที่จะต้องทำเช่นนั้น พนักงานจะทำการสแกนตรวจสอบกระเป๋าให้ ในกรณีที่ต้องการคืนสินค้าเท่านั้น ซึ่งพนักงานแต่ละคน ไม่ได้มีหน้าที่ตรวจสอบความเป็นของแท้หรือของปลอมให้กับกระเป๋า Pre-loved การระบุความเป็นของแท้ของปลอมของกระเป๋ารุ่นเก่า ๆ อาจต้องใช้บริการจากเว๊ปไซต์ที่เชื่อถือได้ หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อเป็นการยืนยัน
คำเตือน : การแสดงผลหรือสแกนไมโครชิพเพื่อตรวจสอบ สามารถทำได้ที่บูทีค โดยพนักงานขายของ Louis Vuitton เท่านั้น หากมีบุคคลอ้างว่า มีโปรแกรมที่สามารถตรวจสอบกระเป๋าเหล่านั้นได้ โดยอ้างอิงจากโปรแกรมที่ใช้บนเครื่องโทรศัพท์ของพนักงาน ให้สันนิษฐานว่าเป็นมิจฉาชีพ Louis Vuitton ยังไม่อนุญาตให้มีการนำเครื่องเหล่านั้น ออกมาใช้นอกบูทีค
How Will Chips in LV Bags Affect Resellers?
เป็นที่ทราบกันดีว่า DC หรือ Date code นี้ ถือว่าเป็นส่วนสำคัญอย่างมากส่วนหนึ่ง ในการพิสูจน์ความเป็นของแท้ ถือได้ว่าเป็นสิ่งแรก ที่ผู้ซื้อหรือผู้ขาย ทำการตรวจเช็คเป็นอันดับแรก หากไม่มี DC เหล่านั้นแล้ว แต่ต้องการจะขายกระเป๋าที่ถูกฝังไมโครชิพเหล่านั้นในอนาคต จะมีปัญหาหรือผลกระทบเกิดขึ้นในตลาดซื้อขายแบรนด์เนมมือ2 ซึ่งมีความเติบโตอย่างมาก ในหลายปีที่ผ่านมา ไมโครชิฟจะส่งผลต่อมูลค่าการขายต่อของกระเป๋าเหล่านี้หรือไม่ อย่างไร ?
เนื่องจากทางหลุยส์ วิตตอง ไม่มีมาตรการให้ผู้ใดทำการอ่านข้อมูลจากชิพได้นอกจากพนักงานในบูทีคเท่านั้น หลายคนจึงกังวล และเกิดข้อกังขาว่า ในอนาคตหากมีการซื้อขายกระเป๋าเหล่านั้นในตลาดซื้อขายมือ 2 อะไรจะเป็นหลักประกันสำคัญ ในการบ่งบอกถึงความเป็นของแท้ รวมถึงการแยกแยะคงจะเป็นการยากขึ้นไปอีก เพราะไม่สามารถตรวจสอบได้ หากไม่ได้กระทำการโดยพนักงานของหลุยส์ วิตตอง
นี่อาจหมายความได้ว่ากระเป๋า Louis Vuitton ที่มีรหัส DC อาจเพิ่มมูลค่ามากขึ้น เนื่องจากผู้ซื้อผู้ขาย สามารถทำการตรวจเช็คได้ว่ากระเป๋าถูกผลิตขึ้นที่ไหนและเมื่อไหร่ เว้นแต่ว่าเครื่องสแกนไมโครชิพนี้ จะถูกเปิดสู่สาธารณะ (ซึ่งมีความเป็นไปได้สูง ด้วยความที่ LV พยายามจะจัดการต่อสู้กับตลาดสินค้าปลอมแปลง) น่าเศร้าที่ข้อมูลเหล่านี้ เรายังไม่สามารถทำการพิสูจน์หาความจริงได้ เพราะมันเป็นเรื่องของอนาคต ว่าการที่ Louis Vuitton ยกเลิก Date code นั้น ส่งผลดีหรือเสียอย่างไรบ้าง
โดยสรุป – ไมโครชิพใหม่ในกระเป๋า Louis Vuitton จะส่งผลต่อมูลค่าการขายต่อของตลาดซื้อขายแบรนด์เนมมือ 2 หรือไม่ ? เป็นไปได้มากว่ามันจะไม่ส่งผลกระทบมากนัก เพราะเหล่าบรรดาแฟน ๆ แบรนด์เนมหลายคน อาจเลือกที่จะซื้อขายกระเป๋า ที่ยังมีการระบุหมายเลข DC อยู่เหมือนเดิม เพื่อความสบายใจส่วนตัวนั่นเอง
สินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ นับว่าเป็นปัญหาใหญ่ที่ทุกธุรกิจทั่วโลกกำลังประสบ เป็นเวลาหลายปี ที่แต่ละแบรนด์ ต่างตื่นตัวหาวิธีที่จะป้องกันรวมถึงสกัดการเติบโตของตลาดปลอมแปลงสินค้าเหล่านี้ ซึ่งในปัจจุบันมีการพัฒนาอย่างมาก และยังก่อให้เกิดปัญหาอื่น ๆ ตามมามากมาย หนึ่งในนั้นคือการที่ผู้บริโภคถูกหลอกลวง เพื่อซื้อสินค้าของปลอม ในราคาเทียบเท่าของจริง
การพัฒนาไปอีกขั้น ในการที่ Louis Vuitton ยกเลิก Date code และแทนที่ด้วยเทคโนโลยีไมโครชิพ ยังมีข้อกังหาถึงข้อดีข้อเสียในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ว่าจะสามารถแก้ปัญหาการปลอมแปลงได้ตรงจุดหรือไม่ นอกเสียจากว่าทาง Louis Vuitton จะยินยอมให้มีการติดตั้งโปรแกรมสำหรับสแกนเพื่อตรวจสอบไมโครชิพเหล่านี้ เนื่องในสภาวะเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน อันเป็นผลกระทบจาก COVID-19 หลายคนเกรงว่าในตัวไมโครชิพอาจมีตัว GPS ซึ่งสามารถระบุตำแหน่งของผู้เป็นเจ้าของกระเป๋า ซึ่งหมายถึงเป็นการละเมิดความเป็นส่วนตัว รวมถึงเรื่องความปลอดภัย แต่เป็นที่สบายใจได้ว่า ชิพเหล่านี้มีการบรรจุเพียงแค่ข้อมูลที่จำเป็นของสินค้าเพียงเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้อาจยังเป็นสิ่งใหม่ของเหล่าแฟน ๆ แบรนด์สัญชาติฝรั่งเศสแบรนด์นี้ ซึ่งต้องใช้เวลาสักระยะในการทำความเคยชินและพร้อมพัฒนาไปกับมัน ผลตอบรับจากเหล่าผู้บริโภคในอนาคตยังคงต้องดูกันต่อไป ตามที่ระบุในเว็บไซต์ Louis Vuitton ถึงนโยบายที่ไม่ยอมให้มีการปลอมแปลง เคารพในความคิดสร้างสรรค์และการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา แต่มาตรการใหม่นี้จะช่วยลดจำนวนการเติบโตของเหล่าธุรกิจสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์นี้ได้จริงหรือ ? เป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันต่อไป
รัก
xoxo