Dior Leather Material – จากแบรนด์ที่ใกล้ล้มละลาย จนกลับกลายมาเป็นตำนานอย่าง Christian Dior ที่ได้โลดแล่นอยู่ในวงการแฟชั่นมาอย่างยาวนานมากกว่า 70 ปี ในปัจจุบันแบรนด์ยังไม่หยุดที่จะพัฒนางาน และด้วยดีไซนเนอร์คนล่าสุดที่เป็นเพียงผู้หญิงเพียงหนึ่งเดียวของแบรนด์อย่าง มาเรีย กราเซีย คิอูริ (Maria Grazia Chiuri 2016–ปัจจุบัน) มาพร้อมด้วย คิม โจนส์ (Kim Jones) ดีไซเนอร์ที่น่าจับตามองที่ได้เข้ามาช่วยสมทบความแข็งแรงให้กับ Dior Men ด้วยแล้ว ยิ่งทำให้แบรนด์กลับมาโดดเด่นและน่าจดจำอีกครั้ง
หากใครที่เป็นสาวกแบรนด์อยู่แล้วก็พอจะทราบดีว่า กระเป๋าจากทาง Dior นั้นมีหลากหลายรูปแบบและมีหลากหลาย Material เรียกได้ว่าแบรนด์มีการพัฒนาวัสดุที่นำมาใช้ผลิตกระเป๋าอยู่สม่ำเสมอ ตลอด 70 ปีที่ผ่านมา ซึ่งในแต่ละ Season รูปแบบกระเป๋าและวัสดุที่ใช้ก็จะแตกต่างกันออกไป ในวันนี้เราจึงได้รวบรวมสุดยอด Material ที่แบรนด์ดังอย่าง Dior เลือกนำมาใช้รังสรรค์กระเป๋าแต่ละใบ จะมีอะไรบ้างนั้น เราไปชมได้เลยค่ะ
รายละเอียดของวัสดุแต่ละชนิด
หนังแกะ (Lambskin) : มีน้ำหนักเบา สัมผัสเรียบนุ่มมือ มีความยืดหยุ่น เป็นหนังที่ควรได้รับการดูแลอย่างดี เนื่องจากสามารถเป็นรอยขีดขูดได้ง่าย แต่หนังแกะของ Dior จะมีความทนทานมากกว่าแบรนด์อื่นๆ เช่น Chanel Lambskin
หนังเคลือบเงา (Patent) : เป็นหนังที่มีลักษณะมันเงาจากการเคลือบ เพื่อเพิ่มความทนทานในการใช้งาน อย่างไรก็ตามตัวกระเป๋าอาจะเกิดความเสียหายและมีรอยขีดข่วนได้ง่าย ข้อระวัง คือ ควรเก็บให้ห่างจากน้ำ และหากโดนของเหลวควรรีบเช็ดออกทันที เนื่องจากอาจจะทำให้เกิดรอยถาวรได้
หนังเรียบ (Smooth) : เป็นหนังหรูหราและดึงดูดสายตาของสาวๆ ได้เป็นอย่างดี เมื่อสัมผัสจะรู้สึกนุ่มนวลกว่าหนังชนิดอื่น แต่ก็เกิดรอยขีดข่วนง่าย และรอยจะปรากฏบนหนังชัดเจนกว่าหนังชนิดอื่นด้วยเช่นกัน
หนังเม็ดเล็ก (Grained) : เป็นหนังชั้นบนสุดของวัว ซึ่งเป็นหนังชั้นที่สวยที่สุด Dior Grained มีพื้นผิวที่เป็นเอกลักษณ์ ลักษณะเป็นหนังเม็ดเล็ก ผิวสัมผัสแตกต่าง นอกจากนี้มีความทนทานต่อรอยขีดข่วนได้ดีกว่าหนังที่เรียบ (Smooth) และมีความทนทานที่ยอดเยี่ยม
หนังกวาง (Deerskin) : เป็นหนังที่มีรูปลักษณ์ที่สวยงามและหรูหราอยู่ในตัว มาพร้อมพื้นผิวที่มีรายละเอียดนูนเพียงเล็กน้อย เพิ่มความน่าสนใจให้แก่กระเป๋า หนังให้สัมผัสที่นุ่มนวล ละเอียดอ่อน มีความทนทาน ยืดหยุ่นในระดับกลาง
หนังลูกวัวอ่อนเคลือบแก้ว (Patent Calfskin) : เป็นหนังที่มีการเคลือบทำให้หนังมีความมันวาว สกปรกได้ยาก เหมาะสำหรับใช้เป็นกระเป๋า Everyday Bag นอกจากนี้ยังทำความสะอาดได้ง่าย เพียงใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆ เช็ด มีข้อระวัง คือ สีเข้มของหนังอาจจะตกใส่สิ่งของอื่นๆ ของคุณได้ กรณีที่มีการเสียดสีระหว่างวัตถุในระยะเวลานาน
หนังลูกวัวลายเกรน (Grained Calfskin) : เป็นหนังที่มีเนื้อสัมผัสเป็นเม็ดขนาดเล็ก ให้ความรู้สึกมีมิติมากกว่าหนังเรียบ หนังลูกวัวมีความทนทานต่อการขีดข่วนขนาดเล็ก หรือรอยขนแมว เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการใช้งานกระเป๋าที่หนัก
หนังโค (Bullcalf) : หนังโคเป็นหนังที่สวยงาม สร้างสรรค์สีให้แก่หนังได้อย่างหลากหลาย และขึ้นชื่อเรื่องความทนทาน ง่ายต่อการทำความสะอาด คุณสามารถทำความสะอาดได้ด้วยการใช้ผ้าเช็ดสิ่งสกปรกในลักษณะวงๆ เป็นวงกลม จนกว่าคราบจะหลุดออก
หนังลูกวัวเคลือบเมทัลลิค (Metallic Calfskin) : Metallic Calfskin หนังลูกวัวเคลือบเมทัลลิกเพื่อเพิ่มความเงางาม มาพร้อมคุณสมบัติเรื่องความทนทานสูงสุด สำหรับกระเป๋าที่ใช้ประจำวันได้โดยที่คุณไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการเสียดสีใดๆ
หนังแกะเคลือบเมทัลลิค (Metallic Lambskin) : Metallic Lambskin คือหนังแกะที่ถูกเคลือบด้วยเมทัลลิค เพิ่มความสวย เงางาม และเพิ่มความทนทานให้แก่กระเป๋ามากขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยลดการเสียดสีที่เกิดขึ้นจากการใช้งานกระเป๋าอีกด้วย
ผ้าใบ (Canvas) : ผ้าใบ Canvas มีจุดเด่นด้านความทนทาน มีคุณสมบัติคงรูปกระเป๋าที่ดีเยี่ยม สามารถทำความสะอาดได้ง่ายกว่าหนัง แต่ ผ้าใบ Canvas มีข้อระวัง คือ ควรเก็บให้ห่างจากแสงแดดจัด เพื่อคงสภาพของสีผ้าใบเอาไว้
หนังนกกระจอกเทศ (Ostrich) : หนังนกกระจอกเทศมีจุดเด่นที่แตกต่างจากหนังอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัดด้วยลวดลายจุด Polka Dot เป็นความสวยงามที่รังสรรค์โดยธรรมชาติ ซึ่งอยู่ในตระกูลหนังพิเศษหรือ Exotic Skin ตัวหนังมีคุณสมบัติเด่น คือ มีความยืดหยุ่นและมีความทนทานสูง
หนังจระเข้ (Crocodile) : หนังจระเข้ก็เป็นอีกหนัง Exotic เรียกได้ว่าเป็นหนังที่มีความสวยงามตามธรรมชาติ และมีราคาค่อนข้างสูง ให้ความรู้สึกที่มีระดับ ข้อระวัง คือ ควรเก็บให้ห่างจากแสงแดดและน้ำ เพื่อเลี่ยงการเสื่อมคุณภาพของหนัง
หนังงู (Python) : ยังคงอยู่ในตระกูลหนัง Exotic ซึ่ง Python หมายถึงหนังงูที่เป็นงูขนาดใหญ่อย่าง งูเหลือม งูหลาม มีจุดเด่น คือ ความสวยงามของเกร็ด ลวดลายที่มีความละเอียดอ่อนตามธรรมชาติ จึงทำให้หนังชนิดนี้มีราคาแพงไม่ต่างจากหนังจระเข้ และเป็นหนังที่ควรได้รับการดูแลรักษาอย่างดีเช่นเดียวกัน
หนังตะกวด (Lizard) : เป็นหนังแปลกใหม่ที่มีเสน่ห์อย่างเต็มเปี่ยม ด้วยเกล็ดที่มีลักษณะเล็กละอียด แต่เรียงตัวอย่างสวยงาม เช่นเดียวกับหนังสัตว์ชนิดอื่นๆ หนังตะกวดควรได้รับการดูแลอย่างดี เนื่องจากมีแนวโน้มที่จะเกิดรอยขีดข่วนจากการใช้งานได้ง่ายเช่นกัน
หนังอัลลิเกเตอร์ (Alligator) : หนังอัลลิเกเตอร์มีความพิเศษ คือ ร่องลึกระหว่างเกล็ดที่ห่างกว่าหนังจระเข้ ทำให้เห็นลวดลายของสีหนังที่ชัดเจน จึงถูกยกให้เป็นหนังที่มีความแปลกใหม่และสวยงามที่สุดอีกชนิดหนึ่ง อย่างไรก็ตามควรเก็บให้ห่างจากบริเวณที่ชื้น เพื่อรักษาสภาพหนัง
หนังงูเอเยอร์ (Ayers) : เป็นหนังงูขนาดเล็ก ลายเกล็ดงูมีความละเอียดแปลกใหม่ และมีมิติในตัวเองมากกว่าหนังงูใหญ่ Python แต่หนังงูชนิดนี้เกิดรอยขีดข่วนได้ง่ายกว่าปกติ และมีราคาแพง
ผ้าเดนิม (Denim) : ผ้าเดนิมหรือคุ้นกันในชื่อ ผ้ายีนส์ ผ้าเดนิมทำจากการนำผ้าฝ้ายมาทอ หากสังเกตจะเห็นได้ว่าการทอมีลักษณะแน่นหนาและสวยงาม ผ้าเดนิมมีลักษณะค่อนข้างทนทานต่อการใช้งาน
ไนลอน (Nylon) : ผ้าไนลอนเป็นเส้นใยที่ได้ถูกสังเคราะห์ขึ้นมา มีข้อดี คือ สามารถยืดหยุ่น คืนตัวได้ดีมาก ไม่ยับง่าย และดูแลรักษาง่าย
ผ้ากำมะหยี่ (Vevet) : เป็นผ้าที่ใช้เทคโนโลยีในการทอขั้นสูง เนื้อผ้าค่อนข้างหนา ผิวสัมผัสนุ่มนวล รูปลักษณ์ดูหรูหรา สื่อถึงความแพง ความมีระดับ ข้อเสีย คือ เปื้อนง่าย ทำความสะอาดยาก
ซาติน (Satin) : ผ้าซินตินเป็นผ้าที่มีส่วนผสมของเส้นใยโพลีเอสเตอร์ 100% ทำให้ลักษณะของผ้าจะลื่นๆ ทิ้งตัวสวยงามขึ้นเงามันอย่างเห็นได้ชัด มีสีสวยขึ้นเมื่อสะท้อนแสงไฟ ข้อดี คือ ไม่ยับเพราะเป็นผ้าใยสังเคราะห์
สำหรับ Dior Leather Material นั้นจะเห็นได้ว่าทางแบรนด์ได้ใช้วัสดุที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นหนังสัตว์ ผ้าชนิดต่างๆ หรือแม้กระทั้งวัสดุสังเคราะห์ และยังพัฒนาต่ออย่างไม่สิ้นสุด เรียกได้ทุกๆ วัสดุที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นโดยดิออร์นั้น ผ่านกระบวนการคิดการออกแบบเพื่อให้สอดคล้องกับความพึงพอใจของคุณผู้หญิงทั่วโลก สำหรับใครที่สนใจสินค้าคุณภาพจากแบรนด์ดิออร์อยู่ละก็ เราขอรับประกันได้ว่าคุณภาพคุ้มค่า คุ้มราคาอย่างแน่นอน
รัก
xoxo