Bentley Mulliner Batur อัครยานยนต์หรูจากเมืองผู้ดี ผู้สืบทอดตำแหน่งอันทรงพลังต่อจาก Bacalar อันน่าทึ่ง ซึ่งเพิ่งทำการเปิดตัวในรูปแบบของคูเป้แกรนด์ทัวริ่ง 2 ที่นั่งทรงพลัง มาพร้อมรูปลักษณ์ใหม่ โดยผลิตขึ้นมาเพียง 18 คันในโลกเท่านั้น

ซึ่งทาง Bentley กล่าวว่า มันคือรถยนต์ต้นแบบ ที่จะกำหนดแนวทางของรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ ๆ ต่อไปในอนาคต KATE XOXO ไม่รอช้า พาทุกท่านร่วมสัมผัสอัครยานยนต์สุดล้ำนี้ไปพร้อมกัน

 

Bentley Mulliner Batur

Bentley สุดยอดอัครยานยนต์ ทำการเปิดตัวรถต้นแบบรถยนต์ไฟฟ้า Bentley Mulliner Batur ซึ่งถือว่าเป็นรถยนต์รุ่นที่แรงที่สุดในประวัติศาสตร์เท่าที่เคยมีมา โดยชื่อของรถยนต์รุ่นนี้ ได้ถูกตั้งขึ้นตามชื่อของทะเลสาบบาตูร์ (Lake Batur) ซึ่งเป็นทะเลสาบปล่องภูเขาไฟที่มีความลึกกว่า 88 เมตรและมีพื้นที่กว่า 16 ตารางกิโลเมตร ในคินตามณีบนเกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย และเป็นแหล่งน้ำที่อุดมไปด้วยสารอาหารสำหรับทั้งบ่อน้ำพุร้อนและการทำเกษตรกรรมในท้องถิ่น

เบนท์ลีย์ มูลินเนอร์ บาตูร์ รังสรรค์ขึ้น โดยผู้อำนวยการออกแบบ Andreas Mindt และ ทีมงานของเขา โดยเป็นโครงการล่าสุดจาก Bentley Mulliner (เบนท์ลีย์ มูลินเนอร์) ซึ่งเป็นแผนกผลิตตัวถังรถยนต์และออกแบบเฉพาะตัวของ เบนท์ลีย์ มอเตอร์ส หลังจากความสำเร็จของ Bacalar (บาคาลาร์) อัครยนตรกรรมสปอร์ตคูเป้ จำนวน 12 คัน ที่ออกแบบและประกอบขึ้นด้วยมือ โดยเปิดตัวไปเมื่อปี 2021

บาตูร์ ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์สันดาปล้วน กับเครื่องยนต์ W12 ขนาด 6.0 ลิตร ทวินเทอร์โบ ซึ่งทาง Bentley มีการพัฒนาในหลายจุด ปรับเปลี่ยนระบบไอดีใหม่ รวมทั้งเปลี่ยนในส่วนชุดเทอร์โบและใช้อินเตอร์คูลเลอร์ขนาดที่ใหญ่ขึ้น มาพร้อมชุดท่อไอเสียไทเทเนียม ซึ่งการปรับเปลี่ยนใหม่รวมทั้งการอัปเกรดต่าง ๆ

บาตูร์ สามารถรีดกำลังแรงม้าได้มากถึง 740 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 1,000 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยชุดเกียร์ดูอัลคลัตช์ 8 สปีด ให้อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลา 3.5 วินาที  และทำความเร็วสูงสุดได้ 335 กม./ชม.

ช่วงล่างมาพร้อม Air suspension แบบ Adaptive three-chamber air springs ที่จะแยกการทำงานอิสระ เพื่อปรับความแข็ง-อ่อนได้อย่างละเอียดแม่นยำ ตามโหมดการขับขี่ 4 โหมด ได้แก่ Sport , Bentley , Comfort และ Custom การพัฒนาเครื่องยนต์นี้ถือเป็นการเฉลิมฉลองความสำเร็จกว่า 20 ปีโดยในช่วงเวลาดังกล่าวได้มีการปรับปรุงให้ผลิตพละกำลังเพิ่มขึ้นเกือบ 40% ในขณะที่ยังมอบประสิทธิภาพในการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงขึ้นกว่า 25%

ระบบเบรกใช้วัสดุ CSiC (Carbon-Silicon-Carbide) มาพร้อมกับจานหน้าขนาด 440 มิลลิเมตร คาลิปเปอร์จำนวน 10 ลูกสูบ และจานหลังขนาด 410 มิลลิเมตร คาลิปเปอร์จำนวน 4 ลูกสูบ พร้อมระบบบังคับเลี้ยว 4 ล้อ ติดตั้ง electronic limited-slip differential มาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน

ดีไซน์และการออกแบบที่มาพร้อมกับความทันสมัย และสมรรถนะอันดุดัน ด้วยชุดโคมไฟหน้าจากแต่เดิมที่เป็นแบบ 2 ดวงแยก ถูกแปรเปลี่ยนเป็นชุดไฟหน้า LED แบบใหม่ Triple Beam Light ซึ่งจะเป็นไฟ LED เรียงกัน 3 ดวงอยู่ในโคมเดียวกัน โดยมีไฟ DRL ที่เป็นเส้นตรง วางอยู่เหนือชุดไฟส่องสว่าง

กระจังหน้าใหม่ ที่ถูกปรับดีไซน์ให้มีความดุดันมากยิ่งขึ้น โดยถูกออกแบบให้มีขนาดใหญ่กว่าเดิม พร้อมกับแถบเส้นสีแดงด้านในเสริมความร้อนแรงให้กับตัวรถมากยิ่งขึ้น พร้อมติดตั้งสปลิตเตอร์ด้านหน้า สเกิร์ตข้างแอโร่ไดนามิค และดิฟฟิวเซอร์ด้านหลังที่ทำขึ้นจากวัสดุผสมคาร์บอนไฟเบอร์หรือเส้นใยธรรมชาติ

ล้อทูโทนขนาด 22 นิ้ว ที่ทำสีสีดำ Black Crystal ผสมผสานกับการปัดเงาผิวหน้า ที่ถูกออกแบบให้ดูคล้ายใบพัดขนาดใหญ่ สีสว่าง สำหรับตัวเลือกเฉดสีเข้ม คือ การผสมผสานระหว่างหน้าปัดสีเข้มกับซี่ล้อเฉดสีเงินซาติน โดยลูกค้าสามารถเลือกเฉดสีล้อให้เข้ากับเฉดสีตัวถังด้วยเทคนิคการเล่นสีตัดกันหรือไม่ก็ได้ ด้านในติดตั้งคาลิปเปอร์เบรกสีแดงแบบ 10 พ็อต พร้อมจานเบรกหน้าขนาด 17.3 นิ้ว ส่วนด้านหลังเป็นคาลิปเปอร์เบรกแบบ 4 พ็อต ที่มาพร้อมจากเรกขนาด 16.1 นิ้ว  ระบบบังคับเลี้ยวแบบ 4 ล้อ

ด้านข้างตัวรถมากับเส้นสายที่โฉบเฉี่ยว หลังคาด้านท้ายลาดเท มาพร้อมสปอยเลอร์ท้ายแบบปรับไฟฟ้าพับเก็บได้ ชุดไฟท้ายดีไซน์โฉบเฉี่ยวที่เล็กและเรียวยาว กันชนหลังขนาดใหญ่สีดำ มาพร้อมปลายท่อไอเสียทรงเหลี่ยม แบบแยกซ้าย-ขวา

ภายในห้องโดยสาร ซึ่งยังคงรักษาเอกลักษณ์ของรถยนต์แห่งเมืองผู้ดีไว้อย่างครบครัน โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากรุ่น Bacalar ที่เปิดตัวไปเมื่อปี 2021 โดยแต่ละคันจะได้รับการออกแบบร่วมกับลูกค้าในแบบเฉพาะตัว ภายใต้การแนะนำจากทีมออกแบบภายในของมูลินเนอร์ ไม่ว่าจะเป็นวัสดุคอมโพสิตไฟเบอร์ธรรมชาติ ลายไม้แบบดั้งเดิม หรือจะเป็นทองคำ 18 K ที่พิมพ์ส่วนประกอบแบบ 3 มิติ ก็สามารถเลือกสรรมาเพิ่มความหรูหราและเข้ากับสไตล์ของแต่ละบุคคล ซึ่งทั้งหมดนี้ คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก

โดยจะมีสัญลักษณ์บอกชื่อรุ่น Batur ที่บริเวณคอนโซลหน้าฝั่งผู้โดยสาร ไฮไลท์อยู่ที่การใช้ทองคำ 18K พร้อมกับสลักชื่อรุ่นที่วงแหวน Drive mode รอบปุ่มกด Start Stop จุดเด่นคือการนำวัสดุที่ผลิตจากวัสดุรีไซเคิลเพื่อเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยส่วนใหญ่จะมาจากประเทศสกอตแลนด์และอิตาลี อีกทั้งยังหลีกเลี่ยงการใช้คาร์บอนไฟเบอร์และหันไปใช้ Natural Fiber ซึ่งทาง Bentley เคลมว่าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า

ลูกค้าจะสามารถระบุสีและพื้นผิวของตัวรถได้อย่างที่ต้องการเพื่อการรังสรรค์อัครยนตรกรรมให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่สุด โดยการรังสรรค์อัครยนตรกรรมแต่ละคันจะใช้เวลาหลายเดือนผ่านงานฝืมือในเวิร์กช็อปของมูลินเนอร์ ณ โรงงานของเบนท์ลีย์ มอเตอร์ส เมืองครูว์ ประเทศอังกฤษ คาดว่าจะมีการส่งมอบครั้งแรกในช่วงกลางปี 2023

บาตูร์มอบตัวเลือกอีกนับไม่ถ้วนสำหรับลูกค้าในการร่วมรังสรรค์บาตูร์แต่ละคัน โดยเริ่มต้นด้วยตัวเลือกเฉดสีที่หลากหลายจากเฉดสีมูลินเนอร์แบบเต็มรูปแบบ และ ตัวเลือกของเฉดสีสั่งทำพิเศษอย่างไม่จำกัด หรือ แม้กระทั่งกราฟิกที่วาดขึ้นด้วยมือ หนังแท้ที่ผ่านกรรมวิธีการผลิตแบบก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำจากประเทศสกอตแลนด์ ซึ่งสามารถหาได้ง่ายกว่าหนังที่มาจากนอกสหราชอาณาจักร หนังฟอกแบบยั่งยืนจากประเทศอิตาลีที่มีให้เลือกสรรกว่า 5 เฉดสี หรือ Dinamica วัสดุทดแทนหนังแท้ ลักษณะคล้ายหนังกลับ

อีกหนึ่งองค์ประกอบที่ยั่งยืน คือ พรมภายในห้องโดยสาร ซึ่งเข้าคู่กับหนังและการทำจากเส้นด้ายรีไซเคิล ซึ่งถือเป็นครั้งแรกสำหรับเบนท์ลีย์ ลูกค้าสามารถเลือกระหว่างการคุมโทนสีสว่างหรือโทนสีเข้มให้เข้ากับชุดแต่งโทนสว่างภายในและตัวเลือกแบบไทเทเนียม โดยปุ่มควบคุมระบบแอร์สามารถเลือกตกแต่งด้วยทองคำ 18K พิมพ์ 3 มิติ

ในขณะที่เครื่องยนต์สันดาป กำลังเข้าสู่ช่วงลดบทบาทลง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางการเปลี่ยนแปลงของกลยุทธ์ “Beyond100” ในการเปลี่ยนผ่านสู่ผู้ผลิตอัครยนตรกรรมไฟฟ้าแบบเต็มรูปแบบ บาตูร์ จึงถือเป็นการเฉลิมฉลองสมรรถนะ แรงบิด และการพัฒนาของเครื่องยนต์รุ่น W12 โดยสมรรถนะของเครื่องยนต์จะถูกทำให้เข้ากับแชสซีส์ด้วยระบบกันสะเทือนแบบถุงลมที่ปรับความเร็วรอบ ระบบควบคุมการทรงตัวแบบแอ็คทีฟควบคุมการทำงานด้วยระบบไฟฟ้า เทคโนโลยี eLSD ระบบบังคับเลี้ยวสี่ล้อ และ เวกเตอร์แรงบิด

Batur ถูกผลิตออกมาเพียงแค่ 18 คันเท่านั้น ซึ่งได้ถูกจับจองไว้หมดแล้ว ด้วยราคาจำหน่ายสูงถึง 1.65 ล้านปอนด์ หรือราว ๆ 70 ล้านบาท (ยังไม่รวมภาษี) โดยจะเริ่มผลิตในช่วงต้นปี 2023 และจะพร้อมส่งมอบให้ลูกค้าภายในสิ้นปีเดียวกัน อีกทั้ง บาตูร์ ยังเป็นต้นแบบที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อนำเสนอทิศทางการออกแบบอัครยนตรกรรมไฟฟ้า (BEV) ของเบนท์ลีย์ในอนาคต  ที่อาจเกิดขึ้นในปี 2025 เป็นต้นไป ซึ่งเป็นการตอกย้ำความสำเร็จของเบนท์ลีย์อย่างแท้จริงในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา