To top
10 Mar

ประวัติ Bentley สุดยอดอัครยานยนต์จากเมืองผู้ดีอังกฤษ

ประวัติ Bentley หรือ เบนท์ลีย์ เป็นชื่อของบริษัทผลิตรถยนต์นั่งสุดหรูระดับอัครฐาน สัญชาติอังกฤษ ที่เผยความเป็นผู้ดีและสง่างามไว้ทุกระเบียดนิ้ว จากวันแรกที่ วอลเตอร์ โอเวน เบนท์ลีย์ (W.O. : Walter Owen Bentley) ทำการก่อตั้งแบรนด์ ในปี ค.ศ. 1919 จนถึงปัจจุบัน กว่า 1 ศตวรรษ ที่เบนท์ลีย์ได้รับการออกแบบและสร้างสรรค์ ด้วยวัสดุการผลิตชั้นเลิศ ผสมผสานนวัตกรรมรวมถึงการพัฒนาด้านสมรรถนะและเทคโนโลยีที่ไม่หยุดยั้ง ก่อกำเนิดแบรนด์ยานยนต์หรูที่ได้รับการบันทึกว่าหรูหราและยั่งยืนที่สุดแบรนด์หนึ่งของโลก

 

THE EXTRAORDINARY LIFE OF W.O. BENTLEY

W.O. Bentley หรือชื่อเต็ม วอลเตอร์ โอเวน เบนท์ลี (WALTER OWIN BENTLEY) ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Bentley (เบนท์ลีย์) เป็นชาวอังกฤษโดยกำเนิด เกิดเมื่อวันที่ 16 กันยายน ปี ค.ศ. 1888 เป็นบุตรคนสุดท้องในบรรดาพี่น้องทั้งหมด 9 คน  ในช่วงวัยเด็ก เขาให้ความสนใจกับเรื่องของยานยนต์เป็นอย่างพิเศษ เริ่มฉายแววครั้งแรกเมื่ออายุเพียง 9 ขวบ เขาได้ซื้อจักรยานมือ 2 มาและทำการถอดชิ้นส่วนเพื่อศึกษาถึงการทำงานของมัน

เนื่องจากครอบครัวของเขาค่อนข้างมีฐานะ วอลเตอร์ ได้รับการศึกษาแบบส่วนตัวที่ Clifton College ในเมือง Bristol ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1902 ถึงปี ค.ศ. 1905 ความหลงไหลในด้านเครื่องกลของเขาเริ่มเผยชัดเจนมากขึ้น จนกระทั่งเขาอายุได้ 16 ปี จึงตัดสินใจลาออกจากโรงเรียน และเริ่มเข้าฝึกงานในตำแหน่งวิศวกรฝึกหัดกับ Great Northern Railway บริษัทรถไฟขนาดใหญ่ของอังกฤษ

วอลเตอร์ โอเวน เบนท์ลี (WALTER OWIN BENTLEY)

วอลเตอร์ โอเวน เบนท์ลี (WALTER OWIN BENTLEY)

งานของวอลเตอร์ คือการทำงานบนแท่นวางของรถจักรไอน้ำ โดยทำการโยนถ่านหินลงในเตาเพื่อให้แรงดันไอน้ำสูงขึ้น เขาทำงานในบริษัทรถไฟแห่งนั้นเป็นเวลา 5 ปี ในขณะที่ทำงานให้กับการรถไฟ วอลเตอร์ได้ซื้อรถมอเตอร์ไซค์ Quadrant ให้ตัวเองและร่วมกับพี่ชายสองคนของเขา ได้ทุ่มเทให้กับการแข่งรถฝึกซ้อมบนท้องถนน โดยใช้ช่วงเวลาฝึกซ้อมในช่วงเช้าตรู่ ในขณะที่ตำรวจยังไม่ทำการวางเครื่องดักจับความเร็ว

ในปี ค.ศ. 1907 วอลเตอร์ ได้เข้าร่วมการแข่งขันจักรยานยนต์วิบาก London-Edinburgh trial ถึงแม้ระหว่างการแข่งขันจะเกิดอุปสรรคมากมาย แต่เข้าก็สามารถแก้ไขได้ทันเวลาและเข้าเส้นชัยได้รับเหรียญทองไปในการแข่งขันครั้งนั้น หลังจากนั้น เขายังได้เข้าร่วมการแข่งขันอีกหลายรายการด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น London-Plymouth และ London-Land’s End ในปี ค.ศ. 1908 นั่นยิ่งทำให้ความหลงไหลในการแข่งรถเพิ่มมากยิ่งขึ้น รวมถึงทักษะในการปรับแต่งเครื่องยนต์ จนประสบความสำเร็จและได้เข้าร่วมกับทีม Rex อย่างเป็นทางการ

ทักษะด้านวิศวกรรมของวอลเตอร์ กลายเป็นหัวใจสำคัญยิ่งขึ้นเมื่อเขาทำธุรกิจกับพี่ชายคนหนึ่งของเขา ในปี ค.ศ. 1912 โดยนำเข้ารถยนต์สัญชาติฝรั่งเศสที่ผลิตโดย Doriot, Flandrin & Parant ในปีถัดมา ในขณะที่ทำการเยี่ยมชมสำนักงานของรถยนต์แบรนด์ดังกล่าว วอลเตอร์ได้ค้นพบที่ทับกระดาษที่ทำจากอลูมิเนียม และเกิดความสงสัยว่าวัสดุน้ำหนักเบานี้จะสร้างลูกสูบได้ดีกว่าเหล็กหรือเหล็กหล่อหรือไม่ เพื่อเพิ่มความแข็งแรงและหยุดไม่ให้หลอมละลายที่อุณหภูมิสูง

ในที่สุด เขาได้ทดลองสร้างโลหะผสมใหม่ที่โรงหล่อ ด้วยส่วนผสม อลูมิเนียม 88% และทองแดง 12% เพิ่มลูกสูบใหม่ให้กับรถยนต์ ทำให้เขาได้รับชัยชนะการแข่งขันรถยนต์ที่ Brooklands และสามารถสร้างสถิติใหม่อยู่ที่ 89.7 ไมล์ต่อชั่วโมง การค้นพบของเขาในครั้งนี้ คือการพิสูจน์ถึงความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จของเขาในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 วอลเตอร์ตัดสินใจที่จะพับโครงการที่จะก่อตั้งบริษัทผลิตรถยนต์เอาไว้ก่อน และเริ่มใช้ความรู้และความสามารถที่เขามี ช่วยเหลือประเทศชาติ ในฐานะกัปตันของ Royal Naval Air Service เขาใช้ลูกสูบอลูมิเนียมเพื่อสร้างเครื่องยนต์สำหรับเครื่องบินรบ เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพมากกว่ารุ่นก่อน ๆ ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเกิดความร้อนสูงเกินไป ก่อกำเนิดเครื่องยนต์เบนท์ลีย์โรตารีเครื่องแรก BR.1 ทำให้ Sopwith Camel เป็นเครื่องบินรบของอังกฤษที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในสงคราม

เครื่องยนต์ต้นแบบ BR.1 เริ่มทำงานในช่วงต้นฤดูร้อนปี 1916 จนกระทั่งในช่วงต้นปี ค.ศ. 1918 เครื่องยนต์เบนท์ลีย์โรตารี BR.2 ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่า ได้ถือกำเนิดขึ้นเป็นลำดับต่อมา

 

THE BIRTH OF BENTLEY MOTORS

หลังสงคราม วอลเตอร์ได้รับรางวัล MBE (Most Excellent Order of the British Empire) ซึ่งเป็นผลจากที่เขาได้เป็นส่วนสำคัญในการช่วงเหลือประเทศในช่วงสงคราม รวมถึงมีชื่อบันทึกอยู่บนเกียรติยศปีใหม่ ในปี ค.ศ. 1919 อีกทั้งยังได้รับรางวัลเป็นเงินจำนวน 8,000 ปอนด์จาก Commission of Awards to Inventors ซึ่งทำให้เขามีเงินทุนที่จำเป็นเพื่อเติมเต็มความฝันและก่อตั้ง บริษัท รถยนต์ของตัวเอง

หลังจากนั้น ในวันที่ 10 กรกฎาคม ปี ค.ศ. 1919 Bentley Motors จึงถือกำเนิดขึ้น โดยมีนโยบายว่า “We were going to make a fast car, a good car, the best in its class.”  (เราจะสร้างรถเร็วรถที่ดีที่สุดในระดับเดียวกัน) ซึ่งนั่น เป็นเป้าหมายที่วอลเตอร์ยึดไว้เป็นแนวทางและสามารถทำการบรรลุถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้สำเร็จครั้งแล้วครั้งเล่า

ในขณะที่วอลเตอร์ ทำการพัฒนารถยนต์คันแรกของแบรนด์ นิตยสาร Autocar นิตยสารรถยนต์รายสัปดาห์ของประเทศอังกฤษ รายงานถึงการออกแบบรถยนต์ของเขาในครั้งนี้ว่า เป็นรถยนต์ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อเอาใจสาวกสายรถแข่งอย่างแท้จริง ซึ่งยังคงฝังอยู่ในทุกอณู DNA ของรถยนต์ Bentley ทุกคันมาจนถึงปัจจุบัน

วอลเตอร์พัฒนาพัฒนารถสปอร์ตสมรรถภาพสูงคันแรกของเขา ร่วมกับ Harry Varley และ Frank Barges โดยให้ความสำคัญที่มุ่งเน้นไปที่ข้อมูลทางเทคนิค โดยเฉพาะกำลังเครื่องยนต์ เนื่องจากแนวคิดหลักคือการสร้างสรรค์รถสปอร์ต ที่ไม่เน้นรูปลักษณ์ภายนอก ก่อกำเนิดรถยนต์รุ่น Bentley L3 (3 Litre) เครื่องยนต์ 4 สูบ 3 ลิตร รถสปอร์ตคันแรก ซึ่งเปิดตัวในงาน London Motor Show ปี ค.ศ. 1919 ซึ่งในยุคนั้น ถือว่าเป็นรถยนต์คุณภาพ ไม่เน้นยอดขาย ราคาค่อนข้างสูง แต่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก

 

Bentley 3 Litre

รถยนต์รุ่น 3 Litre เป็นรถยนต์สปอร์ตคันแรก ที่ถูกผลิตขึ้นโดยบริษัท Bentley ได้รับการพัฒนาและเปิดตัวในงาน 1919 London Motor Show ช่วงเดือนตุลาคม ปีเดียวกัน มีการเปิดรับจองและคาดว่าจะส่งมอบรถคันแรก ได้ภายในเดือนมิถุนายนปี 1920 แต่แล้วกว่ารถจริงจะพร้อมส่งมอบก็ล่วงเลยมาจนถึงเดือนกันยายน ปี 1921 เนื่องจากความผิดพลาดในการประเมินเวลาการผลิต รวมถึงเครื่องยนต์ที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ดี โดยดำเนินการผลิตไปจนถึง ปี ค.ศ. 1929 

1923 Bentley 3-litre

1923 Bentley 3-litre

Bentley 3 Litre มีขนาดตัวถังใหญ่กว่ารถยนต์ Bugatti 1368 ซีซี ที่ครองตำแหน่งแชมป์รถแข่งในขณะนั้นมาก แต่ด้วยขนาดของเครื่องยนต์รวมถึงความแรงที่มากกว่าถึง 2 เท่า ชดเชยน้ำหนักที่มากของรถได้ พิสูจน์ได้จากการที่รถยนต์ที่มีน้ำหนัก 4000 ปอนด์  หรือ 1800 กก. นี้ ชนะการแข่งขันในรายการ 24 Hours of Le Mans การแข่งขันรถยนต์สุดทรหด ใน ปี ค.ศ. 1924 ร่วมกับนักแข่ง John Duff และ Frank Clement

รายละเอียดเครื่องยนต์ เป็นแบบ 4 สูบ ขนาด 3.0 ลิตร (2,996 ซีซี หรือ 183 ลูกบาศก์นิ้ว) ได้รับการออกแบบโดย Clive Gallop อดีตวิศวกรของ Royal Flying Corps และมีความก้าวหน้าทางเทคนิคมากในช่วงเวลานั้น มันเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์ของรถโปรดักชั่นคันแรกที่มี 4 วาล์วต่อสูบหล่อลื่นบ่อแห้งและเพลาลูกเบี้ยวเดี่ยวเหนือสูบ การออกแบบ SOHC Hemi ทั้งสี่วาล์วพร้อมด้วยเพลาขับแบบเอียง สำหรับเพลาลูกเบี้ยวนั้นมีพื้นฐานมาจากเครื่องยนต์รถแข่ง Mercedes Daimler M93654 ในช่วงก่อนสงครามในปี 1914

กำลังขับเคลื่อน (สำหรับเครื่องยนต์ที่ไม่ได้ปรับแต่ง) อยู่ที่ประมาณ 70 แรงม้า ทำความเร็วได้ 80 ไมล์ต่อชั่วโมง (129 กม. / ชม.) 90 ไมล์ต่อชั่วโมง (145 กม. / ชม.) ในรุ่น Speed Model และ 100 ไมล์ต่อชั่วโมง (161 กม. / ชม.) ในรุ่น Super Sports ติดตั้งเกียร์กระปุก 4 สปีด โครงสร้างของตัวรถ ได้รับการออกแบบโดย Frederick Tasker Burgess อดีตนักออกแบบของ Humber ซึ่งเคยร่วมงานกับวอลเตอร์ในช่วงสงครามโลก ในการผลิตเครื่องยนต์เบนท์ลีย์โรตารี BR.1 และ BR.2

Red label Speed high compression twin SU Engine ปี 1926

Red label Speed high compression twin SU Engine ปี 1926

สำหรับรถยนต์รุ่นนี้ ถูกสร้างขึ้นมาทั้งหมด 3 รุ่นหลักด้วยกัน ได้แก่ Blue label, Red Label Speed ทุกรุ่นได้รับการรับประกัน 5 ปี และในรุ่น Green Label ซึ่งเป็นรุ่นที่ได้รับการแต่งเครื่องแบบพิเศษ ซึ่งเป็นที่ต้องการและหายาก จะได้รับการรับประกัน 12 เดือน ในช่วงแรกมีเพียงล้อหลังเท่านั้นที่มีระบบเบรค (rear wheels) จนกระทั่งปี ค.ศ. 1924 จึงมีการนำระบบเบรค 4 ล้อ (four-wheel brakes)เข้ามาใช้

Bentley 3 Litre ที่เก่าแก่ที่สุดและยังหลงเหลือมาจนถึงปัจจุบัน ได้แก่ตัวถังหมายเลข 3 ซึ่งถูกส่งมอบให้กับเจ้าของเดิมเมื่อ ปี ค.ศ. 1921 โดยในส่วนของตัวถังรถ ถูกประกอบโดย UK coachbuilder R. Harrison & Son เครื่องยนต์หมายเลข 4 จดทะเบียนอังกฤษหมายเลข AX 3827 ในปี ค.ศ. 2011 ถูกขายทอดตลาดโดยการประมูลในราคา $962,500 รวมเบี้ยประกันภัยของผู้ซื้อ อีกคันหนึ่งถูกผลิตในปี 1924 ถูกจัดแสดงอยู่ที่ Shepparton Motor Museum ใน Shepparton รัฐวิกตอเรียประเทศออสเตรเลีย ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2019

1921 Bentley 3-Litre-3 AX 3827

1921 Bentley 3-Litre-3 AX 3827

ในเริ่มแรก วอลเตอร์ไม่เห็นด้วยกับการนำรถเข้าร่วมรายการแข่งขันอันสุดแสนทรหดอย่าง Le Mans ด้วยเหตุผลที่ว่า รถยนต์ของเขา ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อทนต่อการแข่งขันอันยาวนานได้ตลอด 24 ชั่วโมง แต่หลังจากได้เห็นความสำเร็จจาก Frank Clement และ John Duff ที่จบการแข่งขันลำดับที่ 4 โดยทำรอบได้เร็วที่สุด ในปี ค.ศ. 1923 ในไม่ช้า Bentley ก็คว้าชัยชนะในการการแข่งขันสุดโหดนี้4 ปีซ้อน (ปี ค.ศ. 1927-1930) และถูกขนานนามว่า “the fastest lorries in the world”

 

Bentley Motors Ltd.

ในช่วงปี ค.ศ. 1926 บริษัท เบนท์ลีย์มอเตอร์ส จำกัด ประสบปัญหาทางด้านการเงินอย่างหนัก ถูกซื้อกิจการต่อโดย Wolf Barnato นักแข่งรถและนักลงทุนชาวอังกฤษ โดยดำรงตำแหน่งเป็นประธานบริษัทนับตั้งแต่นั้น ในส่วนของวอลเตอร์ ยังคงทำงานออกแบบในตำแหน่งพนักงานใต้ความดูแลของ Barnato เขาได้ทำการออกแบบ six-cylinder Speed Six ซึ่งเป็นเวอร์ชันแข่งรถ เปิดตัวในปี ค.ศ. 1928 ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นรถเบนท์ลีย์ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดและชนะในการแข่งขัน Le Mans ในปี ค.ศ. 1929 และ ปี ค.ศ. 1930

ในเดือนตุลาคม ปี ค.ศ. 1930 ได้มีการเปิดตัวรถยนต์ลักชัวรี่ขนาดใหญ่แบบ 6 สูบ หรือที่รู้จักในชื่อ Bentley 8 Litre ในงาน London Olympia Motor Show ซึ่งผลิตโดย Bentley Motors Limited ที่โรงงาน Cricklewood ในเมือง London ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นรถยนต์ที่มีสมรรถนะดีเยี่ยม การขับเคลื่อนที่นุ่มนวล และมีราคาที่แพงที่สุดในยุคนั้น

Bentley 8-Litre Weymann saloon by Mulliner 1930

Bentley 8-Litre Weymann saloon by Mulliner 1930

แต่เนื่องด้วยพิษเศรษฐกิจ อันเป็นผลพวงมาจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ทั่วโลก (worldwide Great Depression) รถยนต์ Bentley 8 L ไม่สามารถทำยอดขายได้มากเท่าที่ตั้งเอาไว้ และนำพาไปสู่สาเหตุสำคัญ ที่ทำให้ Bentley Motors ล้มละลาย ทาง Bentley ได้พยายามอีกครั้งในการแก้ปัญหาทางการเงิน โดยการติดตั้งเครื่องยนต์ Ricardo 4 ลิตร ในโครงสร้างรถขนาด 8 ลิตรที่สั้นลงและออกวางจำหน่ายในชื่อ Bentley 4 Litre ซึ่งผลิตออกมาเพียง 50 คันเท่านั้น ก่อนที่ Bentley Motors Ltd. จะถูกยึดทรัพย์

ในเดือน พฤศจิกายน ปี ค.ศ. 1931 วอลเตอร์ถูกบีบบังคับให้ขายกิจการทั้งหมดให้กับ Rolls-Royce หลังจากนั้น จึงได้ยกเลิกการผลิต รวมทั้งทิ้งชิ้นส่วนอะไหล่ของ Bentley 8 L ทั้งหมดทิ้งไป เนื่องจากเป็นคู่แข่งของรถยนต์รุ่น Phantom II อีกทั้งยังทำการปิดและขายโรงงานที่ Cricklewood โดยหันมาใช้โรงงานของ โรลล์ส-รอยซ์ ในการผลิตรถยนต์แทน 

 

Rolls-Royce Limited, Derby

ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1931 เป็นต้นมา บริษัท เบนท์ลีย์มอเตอร์ส จำกัด ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทในเครือโรลล์ส-รอยซ์ โดยได้ย้ายการผลิตรถยนต์จากโรงงานที่ Cricklewood มาใช้โรงงานของโรลล์ส-รอยซ์ ที่เมือง Crewe ในการผลิตรถยนต์แทน ซึ่งมีการผลิตรถยนต์ออกมาอย่างต่อเนื่องหลากหลายรุ่น รวมถึงรถสปอร์ตซาลูนอันสมบูรณ์แบบอย่าง Bentley Mark VI ซึ่งได้รับการขนานนามว่า “ซีดานที่เร็วที่สุด” ในขณะนั้น

อีกทั้งยังมีรถยนต์รุ่น Bentley Serie T รถเก๋งที่เร็วที่สุด ถูกผลิตขึ้นในปี ค.ศ. 1965 โดยทำความเร็วได้สูงสุดถึง 273 กิโลเมตร/ชั่วโทง ก่อนจะเปลี่ยนชื่อมาเป็น Bentley Corniche ในปี ค.ศ. 1971 และยังมี Bentley Continental GT ซึ่งถือว่าเป็นรถยนต์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัตศาสตร์ของ Bentley โดยมีการส่งมอบให้ลูกค้ากว่า 70,000 คัน ซึ่งรถยนต์รุ่นนี้ สามารถทำความเร็วสูงสุด 325 กิโลเมตร/ชั่วโมง

Bentley Continental GT รุ่นปี 2021

Bentley Continental GT รุ่นปี 2021

แต่ผลประกอบการในช่วงแรก ยังไม่ค่อยประสบผลสำเร็จเท่าใดนัก จนกระทั่งช่วงทศวรรษที่ 80 โรลล์ส-รอยซ์ จัดการแยกทำการตลาดกับเบนท์ลีย์ อย่างชัดเจน โดยภาพลักษณ์ของโรลล์ส-รอยซ์ จะเป็นยานยนต์สำหรับเหล่ามหาเศรษฐีที่ไม่ต้องขับขี่เอง มุ่งเน้นเรื่องความอัครฐานเป็นหลัก ในส่วนของเบนท์ลีย์เป็นตัวแทนของเศรษฐีผู้หลงไหลในความแรง และประสงค์จะเป็นผู้ขับขี่รถเอง โดยมุ่งเน้นเรื่องความแรงเป็นหลัก

ต่อมา ในปี ค.ศ. 1998 เบนท์ลีย์ ก็ถือคราเปลี่ยนมือเจ้าของอีกครั้ง โดยครั้งนี้ ตกไปอยู่ภายใต้การบริหารของบริษัทจากเยอรมันอย่าง “โฟล์คสวาเกน กรุ๊ป” ซึ่งได้เข้าซื้อต่อกิจการทั้งหมดทั้งเครือโรลล์ส-รอยซ์และเบนท์ลีย์ ซึ่งต้องแข่งกับผู้ผลิตรถยนต์ร่วมชาติ “บีเอ็มดับเบิลยู” ก่อให้เกิดปัญหาการแย่งชิงการถือครองสิทธิ์การเป็นเจ้าของแบรนด์โรลล์ส-รอยซ์ เนื่องจากบริษัท โรลล์ส-รอยซ์ มหาชน เป็นผู้ผลิตเครื่องยนต์สำหรับเครื่องเป็น อันเป็นพาร์ตเนอร์กับบีเอ็มดับเบิลยู ซึ่งขณะนั้น บีเอ็มดับเบิลยู เป็นผู้ผลิตเครื่องยนต์ให้ใช้กับรถทั้ง โรลล์ส-รอยซ์และเบนท์ลี่ย์

สุดท้ายการเจรจาระหว่างทั้งคู่ก็จบลงด้วยดี เมื่อบีเอ็มดับเบิลยู ยินดีจ่ายเงินให้กับ โฟล์คสวาเกน เพื่อชดเชยให้กับการได้สิทธิ์ใช้แบรนด์ โรลล์ส-รอยซ์ ทำตลาด ส่วนสิ่งอื่นๆ ที่เหลือ ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ เบนท์ลี่ย์ , โรงงาน , เครื่องจักร และเทคโนโลยี ในการผลิตทั้งหมดเป็นของ โฟล์คสวาเกน กรุ๊ป นับตั้งแต่ปี 2002 เป็นต้นมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน

Bentley เป็นบริษัทผู้ผลิตรถหรูสัญชาติอังกฤษ ตลอดหลายปีแห่งการดำรงอยู่ได้สร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ในด้านความมีชื่อเสียงและราคาแพงแบรนด์หนึ่งของโลก ถึงแม้ว่าปัจจุบัน บริษัทจะถูกถือครองโดย โฟล์คสวาเกน กรุ๊ป แห่งเยอรมัน แต่สายเลือดอังกฤษอันเข้มข้น ที่ยังคงไหลเวียนอยู่ภายในรถยนต์ของ Bentley ทุกคัน ภายใต้ตราสัญลักษณ์รูปปีกพร้อมตัวอักษร B ตรงกลาง ยังคงจะยืนหยัดเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ อันตราตรึง ไปตราบนานเท่านาน

รัก
xoxo

KATE