To top
6 Jan

เปิดประวัติ Aston Martin ยนตรกรรมสปอร์ตหรูคู่ใจสายลับ 007

เปิดประวัติ Aston Martin (แอสตัน มาร์ทิน) ยานยนต์สปอร์ตหรูสัญชาติอังกฤษ ก่อตั้งครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1914 ซึ่งเป็นที่ยอมรับจากทั่วโลก ในเรื่องของการออกแบบที่สวยงาม รวมถึงประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ ที่ประสบความสำเร็จในวงการรถแข่งสากล นอกจากนี้ ยังเป็นที่รู้จัก จากการเป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์ ซึ่งเป็นที่รู้จักทั่วโลกอย่าง James Bond (เจมส์ บอนด์) หรือพยัคฆ์ร้าย 007 ในฐานะรถยนต์คู่ใจของสายลับรหัส 007 มาแล้วมากกว่า 10 เรื่อง

แต่กว่าจะประสบความสำเร็จ เป็นที่รู้จักดั่งเช่นทุกวันนี้ เส้นทางของความสำเร็จ มันมิได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป ด้วยต้องเจอวิกฤติรวมถึงอุปสรรคมากมาย ในบทความนี้ เราจะพาทุกท่าน ไปสัมผัสและทำความรู้จักกับแบรนด์รถยนต์สปอร์ตหรูจากเมืองผู้ดีอังกฤษ เพราะเหตุใด แอสตัน มาร์ทิน จึงถูกเลือกให้เป็นรถคู่ใจ ของสายลับ เจมส์ บอนด์ จากจุดเริ่มต้น จนถึงวันที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ที่ถูกเลือกให้เป็นหนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์ที่หรูหราและมีชื่อเสียงที่สุดในโลก

 

History of Aston Martin

ยานยนต์สปอร์ตหรูแอสตัน มาร์ทิน (Aston Martin) ถือกำเนิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1913 จากความร่วมมือกันของ Lionel Martin (ไลโอเนล มาร์ทิน) และ Robert Bamford (โรเบิร์ต แบมฟอร์ด) นักธุรกิจและวิศวกรชาวฝรั่งเศส โดยก่อนหน้านั้นหนึ่งปี ได้ก่อตั้งบริษัท Bamford & Martin เพื่อจำหน่ายรถยนต์ซึ่งผลิตโดยบริษัท Singer (ซิงเกอร์) ในกรุงลอนดอน นอกจากจำหน่ายรถยนต์ซิงเกอร์แล้ว ยังมีการให้การบำรุงรักษารถจีดับเบิลยูเค และรถคัลธอร์ป (Calthorpe) ด้วย

มาร์ทินนำรถเข้าร่วมการแข่งขันพิเศษที่จัดขึ้น ณ เนินแอสตัน (Aston Hill) ใกล้กับ หมู่บ้านแอสตันคลินตัน (Aston Clinton) เขาจึงได้นำชื่อของหุบเขาที่จัดแข่งรถในครั้งนั้น รวมกับนามสกุลของ Lionel Martin มาตัดสินใจทำธุรกิจแบรนด์รถเป็นของตัวเอง

(ซ้าย) Lionel Martin และ (ขวา) Robert Bamford

(ซ้าย) Lionel Martin และ (ขวา) Robert Bamford

รถยนต์ที่ถูกออกแบบในครั้งแรก มีชื่อว่า Aston Martin ถูกสร้างขึ้นโดย Martin โดยการติดตั้งเครื่องยนต์สี่สูบเข้ากับตัวโครงสร้างของรถยนต์รุ่น 1908 Isotta-Fraschini พวกเขาได้เริ่มต้นผลิตรถยนต์ครั้งแรก เมื่อเดือนมีนาคม ปี ค.ศ. 1915 หลังจากได้ที่ตั้งสำหรับการผลิตใหม่ที่ Henniker Place  ในเมืองเคนซิงตัน ในประเทศอังกฤษ

อย่างไรก็ตาม การผลิตก็เป็นอันต้องหยุดชะงัก เนื่องจากเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 1 ทั้งคู่ต้องเข้าร่วมรบกับกองทัพอังกฤษ โดยมาร์ตินเข้าร่วมกับกองทัพเรือ ส่วนแบมฟอร์ด เข้าร่วมกับกองทัพบก เครื่องจักรทั้งหมดถูกขายให้กับบริษัท Sopwith Aviation Company

หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 สงบลง แบมฟอร์ดถอนตัวออกจากบริษัท เมื่อปี ค.ศ. 1920 Aston Martin ได้ย้ายโรงงานการผลิตไปอยู่ที่ถนน Abingdon และเริ่มทำการออกแบบรถยนต์ขึ้นอีกครั้งภายใต้ชื่อ Aston Martin เช่นเดิม โดยได้รับเงินทุนสนับสนุนจาก Count Louis Zborowski (เคาท์หลุยส์ ซโบรอฟสกี) ในปี ค.ศ. 1922 ได้เริ่มมีการผลิตรถยนต์เพื่อใช้ในการแข่งขันในรายการ French Grand Prix อีกทั้งยังสร้างสถิติความเร็วและความทนทานระดับโลกไว้ที่สนามแข่ง Brooklands (สนามบรูกแลนด์ส)

ยานพาหนะที่สร้างขึ้นในขณะนั้น ได้แก่ Green Pea, Razor Blade และ Halford Special มีรถยนต์ประมาณ 55 คันที่สร้างขึ้นเพื่อขาย โดยมีทั้งโครงสร้างแบบยาวและแบบสั้น แต่แล้วก็เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น เมื่อปี ค.ศ. 1924 บริษัทประสบสภาวะล้มละลาย ซึ่งในขณะนั้นได้โดโรเธีย เลดี้ ชานวูด (Lady Charnwood) เข้ารับช่วงบริหารต่อ โดยเธอได้มอบหมายให้ลูกชาย จอห์น เบ็นสัน (John Benson) เป็นผู้รับผิดชอบดูแล แต่ก็ล้มเหลวอีกครั้งในปีถัดมา โรงงานแอสตันมาร์ตินจึงต้องปิดตัวไปในปี ค.ศ. 1926 พร้อมกับการที่ไลโอเนล มาร์ติน ถอนตัวออกจากบริษัท

ต่อมาในปีเดียวกัน Bill Renwick (บิล เร็นวิค) , Augustus Bertelli (Bert) (ออกุสตัส (เบิร์ท) , Lady Charnwood (เลดีชาร์นวูด) และนักลงทุนอีกจำนวนหนึ่ง ได้ร่วมกันซื้อต่อกิจการและร่วมเป็นหุ้นส่วนในบริษัท โดยเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น Aston Martin Motors และย้ายบริษัทไปยังที่ตั้งเดิมของ Whitehead Aircraft Limited works ในเมืองเฟลแธม (Feltham)

Bertelli และ Renwick เป็นหุ้นส่วนกันมาระยะหนึ่งแล้ว และได้พัฒนาเครื่องยนต์สี่สูบเหนือศีรษะโดยใช้การออกแบบห้องเผาไหม้ที่ได้รับการจดสิทธิบัตร พวกเขาทดสอบกับแชสซีและเรียกมันว่า Buzzbox เป็นรถยนต์รุ่นเดียวของ Renwick และ Bertelli ที่ผลิตขึ้น รถยนต์ที่ถูกผลิตในช่วงปี ค.ศ. 1926-1937 ถูกเรียกว่า รถ Bertelli รวมถึง T-Type, International, Le Mans, MKII, Ulster และ Speed ​​Model รถยนต์เหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นรถสปอร์ตสองที่นั่งแบบเปิด และมีเพียงไม่กี่รุ่นที่เป็นรุ่นแชสซีแบบยาว

แอสตันมาร์ติน เมคทู รุ่นปี ค.ศ. 1935

แอสตันมาร์ติน เมคทู รุ่นปี ค.ศ. 1935

อย่างไรก็ตาม ปัญหาทางการเงินก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง ในปี ค.ศ. 1932 ซึ่งครั้งนี้ ทางบริษัทได้รับการช่วยเหลือจาก L. Prideaux Brune (แลนซ์ พรีโดซ์ บรูน) เข้ามาร่วมลงทุน จากนั้น จึงส่งต่อให้กับเซอร์อาร์เธอร์ ซัทเทอร์แลนด์ ในปี ค.ศ. 1936 โดยเปลี่ยนแนวทางไปเน้นที่รถยนต์ที่ใช้บนท้องถนน มีการผลิตรถแอสตัน มาร์ตินไปประมาณ 700 คัน ก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 และในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 พวกเขาได้เริ่มผลิตชิ้นส่วนเครื่องบิน

 

ASTON MARTIN LOGO

โลโก้ประจำแบรนด์ Aston Martin ถูกสร้างขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1921 ซึ่งในช่วง 7 ปีแรกก่อนหน้านั้น ในช่วงเพิ่งก่อตั้งแบรนด์ Aston Martin ใช้เพียงเครื่องหมายคำ (wordmark) เท่านั้น อัตลักษณ์ทางสัญลักษณ์ประจำของแบรนด์ ได้รับการเปลี่ยนแปลงอย่างมากเพียงครั้งเดียว นอกนั้นเป็นเพียงการปรับรูปแบบเพียงเล็กน้อย จนกลายเป็นสัญลักษณ์ที่ใช้มาจนถึงปัจจุบัน

1921 – 1927

โลโก้แรกของแบรนด์ ถูกออกแบบเมื่อปี ค.ศ. 1921 มีลักษณะเป็นรูปวงกลม ด้านในประกอบด้วยตัวอักษร “A” และ “M” ในแบบตัวอักษรคลาสสิกสีดำ บนพื้นหลังสีทอง จัดได้ว่าเป็นโลโก้ที่มีสไตล์และสง่างามมากในสมัยนั้น

1927 – 1930

ตราสัญลักษณ์ที่ 2 ได้รับการออกแบบเมื่อปี ค.ศ. 1927 มีลักษณะคล้ายปีนกสีบรอนซ์ โดดเด่นด้วยตัวอักษร “M” ตรงกลาง เรียงเส้นตรงไปยังแถบแนวนอนของตัวอักษร “T” ซึ่งจัดวางอย่างสมมาตรบนปีกทั้งสองข้าง

1930 – 1932

มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบจากโลโก้เดิมเพียงเล็กน้อย จากรูปร่างคล้ายปีกนก กลายเป็นลักษณะคล้ายรูปสามเหลี่ยมสีเงิน มีขอบมุมชัดมากยิ่งขึ้น มีการใช้โลโก้นี้เพียงแค่ 2 ปีเท่านั้น

1932 – 1939

ในปี ค.ศ. 1932 ตัวโลโก้ถูกออกแบบให้มีรูปทรงเรียบง่าย และดูทันสมัยมากขึ้น ปีกมีความแบนและกางออก ชื่อแบรนด์ถูกระบุในกรอบสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ อยู่ตรงกลางปีก เป็นสีดำตัดกับปีสีทองด้านหลังอย่างลงตัว ทำให้โลโก้ดูโฉบเฉี่ยวและหรูหรา แบบอักษรของเครื่องหมายคำนั้นเรียบง่ายและสะอาดตา

1939 – 1950

มีการเปลี่ยนแปลงจากโลโก้เดิมเพียงเล็กน้อย จากพื้นหลังปีกสีทอง เป็นสีเงิน รูปตราสัญลักษณ์มีขอบมุมที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น โลโก้ในปี 1939 นี้ถือได้ว่าเป็นต้นแบบของโลโก้ที่ยังใช้อยู่ในปัจจุบัน ที่คงไว้ซึ่งรูปแบบและความหรูหรา

1950 – 1971

ในช่วงปี ค.ศ. 1947 บริษัทถูกถือครองโดย David Brown และโลโก้ถูกเปลี่ยนโดยการเพิ่มชื่อของเขาลงไปในโลโก้ด้วย สำหรับโลโก้ที่เริ่มใช้ในปี 1950 โดยระบุอยู่เหนือชื่อแบรนด์ ในกรอบสีดำ สีของปีกพื้นหลังเป็นสีเบจพร้อมเส้นลายปีกสีเงินบาง ๆ บ่งบอกถึงความอิสรภาพและความสว่าง

1971 – 1972

โลโก้ยังคงมีการระบุชื่อ David Brown แต่พื้นหลังของปีก มีสีที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย จากสีเงินแทนที่ด้วยสีทอง พร้อมเส้นลายปีกสีทอง ทำให้โลโก้มีความหรูหรายิ่งกว่าเคย

1972 – 1984

ในปี ค.ศ. 1972 แบรนด์ถูกซื้อต่อกิจการโดย Company Developments Ltd และชื่อของ David Brown ถูกลบออกจากโลโก้ การเปลี่ยนแปลงอีกประการหนึ่งของภาพลักษณ์ของแบรนด์ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาคือ สีพื้นหลังแบบใหม่ ที่ถูกนำเสนอในโทนสีเทา ให้ความรู้สึกเย็นสบาย ในขณะที่ลายเส้นยังคงเป็นสีทอง แต่เบาบางลง ให้ความรู้สึกหรูหราเช่นเดิม

1984 – 2003

โลโก้ในปี ค.ศ. 1984 ตัวอักษรในกรอบมีความเปลี่ยนแปลง โดยมีขนาดใหญ่ขึ้น ลักษณะของตัวอักษรที่เปลี่ยนไป ปีกด้านหลังที่ดูหนาขึ้น พื้นหลังสีเทา และลายเส้นสีเงิน สำหรับโลโก้ในปีนี้ถือว่าไม่มีความโดดเด่นมาก นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง ในปี 2003

2003 – Present

โลโก้ที่ใช้ในปัจจุบัน ถูกออกแบบเมื่อปี ค.ศ. 2003 โดยมีรูปทรงปีกที่สวยงามและมีรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีเขียวเข้มสำหรับเครื่องหมายคำ เส้นสายยาวของตัวอักษรดูโฉบเฉี่ยวและมีราคาแพง ในขณะที่สีที่เข้มงวดจะเพิ่มอำนาจและความรู้สึกของความเชี่ยวชาญและศักดิ์ศรี

When were the DB models created?

ในปี ค.ศ. 1947 บริษัท David Brown Limited ที่มีเดวิด บราวน์ เป็นเจ้าของบริษัทได้เข้าซื้อต่อกิจการ Aston Martin บริษัท David Brown เป็นผู้ผลิตอุปกรณ์และเครื่องมือกลของ Huddersfield เป็นของเอกชน ซึ่งเริ่มกิจการมาตั้งแต่ปีค.ศ. 1860 ในปีเดียวกันนั้น บริษัทบราวน์ ได้เข้าซื้อบริษัทรถยนต์ Lagonda ทำให้ Aston Martin อยู่ภายใต้การควบคุมของกลุ่มรถแทรกเตอร์ ซึ่งเป็นเจ้าของ Lagonda (ลากอนดา) ด้วย

Lagonda และ Aston Martin ใช้เครื่องยนต์ ทรัพยากรร่วมกัน บริษัทบราวน์ จึงได้นำบริษัททั้งสองมาควบรวมกิจการกัน และเริ่มสร้างรถยนต์ซีรีส์ DB ซึ่งชื่อรถแอสตันมาร์ตินที่ใช้อักษร “DB” นี้ก็มีที่มาจากชื่อของบราวน์นั่นเอง ในเดือนเมษายน ปี ค.ศ. 1950 บริษัทได้ออกจำหน่ายรถยนต์รุ่น DB2 ตามด้วย DB2/4 ในปี 1953 MkII ในปี 1955 และ DB Mark III ในปี 1957 DB5 เปิดตัวในปี 1963 DB6 ไม่กี่ปีต่อมาในปี ค.ศ. 1965 และ DBS/DBS V8 ในปี ค.ศ. 1967 ภายหลังจากการขายบริษัทของเดวิด บราวน์ จึงย่อชื่อรุ่นลงเป็นแอสตันมาร์ติน วี8

แอสตันมาร์ติน ดีบี มาร์คทรี รุ่นปี ค.ศ. 1958

แอสตันมาร์ติน ดีบี มาร์คทรี รุ่นปี ค.ศ. 1958

ช่วงที่ครีเอทที่สุดของ Aston Martin คือการเปิดตัวรถยนต์รุ่น DB4 ในปี ค.ศ.1958 ถูกออกแบบโดยบริษัท Carrozzeria Touring Superleggera และมีตะแกรงหน้าที่มีรูปทรงดูเหมือนจมูกของฉลามออกแบบโดยวิศวกรของ Aston Martin ชื่อ Frank Feeley รถรุ่น DB4 ประสบความสำเร็จในการรวมเอาความสวยงามแบบอิตาลีและความความประณีตดูดีมีระดับแบบอังกฤษ

Aston Martin DB4

Aston Martin DB4

รุ่น DB6 ในปี ค.ศ.1966 และรุ่นที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในปี ค.ศ.1967 นั้นมีดีไซน์ที่ดูล่ำ ดุดันกว่าเดิมซึ่งต่อมาได้กลายเป็นรูปแบบการดีไซน์แบบคลาสสิคของรถ DB ในที่สุด เมื่อเข้าสู่ช่วงยุค 70s ก็เป็นช่วงยุคขาลงของ Aston Martin และมีรถรุ่นใหม่ถูกผลิตออกมาเพียงรุ่นเดียวคือ V8 Vantage ซึ่งมีตะแกรงหน้าที่ดุดัน หลังจากที่บริษัทมีการเปลี่ยนเจ้าของก็ได้มีการเปลี่ยนวิธีการออกแบบรถให้ดูมีความเรียบร้อยดูประณีต แม้ว่ารถรุ่น Lagonda saloon จะโดนคำวิจารณ์มากกว่าคำชมเชยก็ตาม

แม้ว่ารถยนต์เหล่านี้ จะเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความเฟื่องฟูของบริษัท แต่ทว่าในปี ค.ศ. 1972 บริษัทก็ต้องประสบปัญหาทางด้านการเงินอีกครั้ง David Brown ได้ชำระหนี้และส่งมอบให้กับ Company Developments ซึ่งเป็นธนาคารเพื่อการลงทุนในเบอร์มิงแฮม ทำให้ไม่มีรถที่ชื่อรุ่น DB ใด ๆ อีก ในเวลานี้เองที่ Aston Martin ต้องหยุดการจำหน่ายไปยังสหรัฐอเมริกา เนื่องจากพวกเขาไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดการปล่อยไอเสียของแคลิฟอร์เนีย ซึ่งทำให้ Aston Martin ถูกพิทักษ์ทรัพย์อีกครั้งเมื่อปลายปีค.ศ. 1974

 

When was the V8 Vantage launched?

Aston Martin ถูกเปลี่ยนมืออีกครั้ง โดยนักธุรกิจชาวอเมริกาเหนือชื่อ Peter Sprague เจ้าของโรงแรมที่โตรอนโต George Minden และ Jeremy Turner นักธุรกิจชาวลอนดอน นักลงทุนรายอื่นรวมถึงนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในสำนักงานของอังกฤษชื่อ Alan Curtis และ George Flather เจ้าสัวเหล็กเชฟฟิลด์ที่เกษียณอายุแล้ว

โรงงานเดิม ซึ่งถูกปิดตัวไปก่อนหน้านี้ ได้ถูกนำกลับมาใช้งานอีกครั้ง ภายใต้ชื่อ Aston Martin Lagonda Limited เจ้าของรายใหม่ผลักดันให้ Aston Martin พัฒนาให้ทันสมัย โดยผลิต V8 Vantage ในปี ค.ศ. 1977 และ Volante แบบเปิดประทุนในปี ค.ศ. 1978 รถเก๋ง Lagonda ซึ่งมีพื้นฐานมาจากรุ่น V8 ด้วย

ในช่วงเวลานี้เองที่นักลงทุนพยายามขยับตลาดเป้าหมายให้ห่างจากบรรดาผู้คลั่งไคล้รถ Aston Martin ที่ไม่ยอมใครง่าย ๆ และหันไปหานักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมากขึ้น ราคาซื้อขายในตลาดยังเพิ่มขึ้น 25% มีการพูดคุยกันว่า Aston Martin เข้าซื้อกิจการ MG ในช่วงปลายทศวรรษ แต่ภาวะถดถอยในปี ค.ศ. 1980 เป็นตัวบ่งบอกว่า ข่าวลือเหล่านี้ มันไม่เป็นความจริง Alan Curtis และ Peter Sprague ประกาศว่าพวกเขาไม่มีแผนสำหรับการลงทุนทางการเงินในระยะยาวในบริษัท และขาย Aston Martin ให้กับ วิคเตอร์ กอนท์เลทท์ (VICTOR GAUNTLETT) ของ Pace Petroleum

ณ จุดนี้ ยอดขายทั่วโลกของ Aston Martin ลดลงเหลือสามคันต่อสัปดาห์ Gauntlett ซื้อหุ้น 12.5% ใน Aston Martin ในราคา 500,000 ปอนด์ โดย Tim Hearley แห่ง CH Industrials รับส่วนแบ่งในลักษณะเดียวกัน หลังจากการพัฒนาและการประชาสัมพันธ์ พวกเขาสามารถขาย Aston Martin Lagonda ในโอมาน คูเวต และกาตาร์ได้ ในปี ค.ศ.1982 แอสตัน มาร์ตินได้รับใบสำคัญแสดงสิทธิแต่งตั้งจาก Prince of Wales ซึ่งเป็นใบสำคัญแสดงสิทธิที่พวกเขายังคงถืออยู่จนถึงทุกวันนี้

 

Aston Martin and James Bond

Aston Martin และ James Bond ถือได้ว่าเป็นเคมีที่เข้ากัน เป็นที่จดจำของคนทั่วโลก ถึงแม้ว่าสายลับ 007 จะไม่ได้เริ่มขับรถยนต์จาก Aston Martin ตั้งแต่เริ่มแรก จนกระทั่งภาค Goldfinger แต่สายลับ James Bond ได้ขับเคลื่อนยานพาหนะหลายรุ่น ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา รวมถึง V8 Vantage (1980s), V12 Vanquish และ DBS (2000s)

แต่รุ่นที่สร้างชื่อเสียงให้กับ Aston Martin มากที่สุดในฐานะพาหนะคู่กายของสายลับ 007 นั่นก็คือรุ่น DB5 ซึ่งมันปรากฏตัวครั้งแรก ในภาค Goldfinger เมื่อปี ค.ศ. 1964 DB5 เป็นรถยนต์ประเภท grand tourer (GT) ซึ่งได้รับการออกแบบโดย Carrozzeria Touring Superleggera นักออกแบบรถชาวอิตาเลียน ออกจำหน่ายครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1963 ถือได้ว่าเป็นรุ่นที่ได้รับการพัฒนาเป็นรุ่นสุดท้ายของรถยนต์รุ่น DB4 เป็นที่จดจำและสร้างตำนาน Product Placement เอาไว้

Aston Martin รุ่น DB5

Aston Martin รุ่น DB5

หลังจากนั้น รถยนต์จาก Aston Martin ก็ได้ปรากฏอยู่ในภาพยนต์ James Bond อีกหลายภาค ไม่ว่าจะเป็น Thunderball, GoldenEye, Tomorrow Never Dies, Casino Royale, Skyfall และ Spectre มีการใช้รถ Aston Martins หลายคันในระหว่างการถ่ายทำ และหนึ่งในยานพาหนะที่ใช้ถ่ายทำจริง ได้ถูกขายในเดือนมกราคม ปี ค.ศ. 2006 ในราคา $2,090,000 ให้กับนักสะสมชาวยุโรปที่ไม่เปิดเผยชื่อ

Gauntlett เป็นผู้เจรจาต่อรองการกลับมาของ Bond ให้กับ Aston Martin ในปี 1986 เขายังจัดหา Vantage ก่อนการผลิตส่วนตัวให้กับ The Living Daylights ซึ่งเป็นภาพยนตร์บอนด์เรื่องแรกที่นำแสดงโดย Timothy Dalton (ทิโมธี ดาลตัน) ที่น่าสนใจคือ Gauntlett ได้รับบทพันเอกของ KGB ในภาพยนตร์เรื่องนี้ แต่ก็ปฏิเสธไป

James Bond ภาค The Living Daylights

James Bond ภาค The Living Daylights

สำหรับภาพยนต์ภาคล่าสุดของ James Bond ภายใต้ชื่อ No Time to Die ได้ปรากฏรถยนต์จาก Aston Martin ถึง 2 รุ่น ได้แก่ Aston Martin Vantage 007 Edition ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากรุ่น V8 คลาสสิคที่ปรากฏในเจมส์ บอนด์เรื่อง The Living Daylight เมื่อปี ค.ศ. 1987 ซึ่งความพิเศษมาพร้อมกับกระจังหน้าตาข่ายในสไตล์ Retro ล้อมรอบด้วยโครเมียม และใช้สีเหลืองแต่งเพื่อสร้างความเด่นบนตัวรถสีเทา Cumberland Grey

และรุ่น Aston Martin DBS Superleggera 007 Edition ตัวรถมีสีเทา Ceramic Grey พร้อมกับใช้คาร์บอนไฟเบอร์ดำทั้งที่หลังคา กระจกมองข้าง Diffuser และแอโรเบลดหรือช่องดักรมบริเวณซุ้มล้อ โดยใช้ล้ออัลลอยลายก้าน Y ขนาด 21 นิ้ว นอกจากอุปกรณ์แต่งต่าง ๆ แล้วยังระบุความเกี่ยวข้องกับภาพยนตร์ No Time to Die ด้วยป้าย 007 ที่บริเวณซุ้มล้อ สปอยเลอร์หลัง รวมไปคิ้วที่คิ้วประตูในห้องโดยสาร

ทั้ง Vantage และ DBS Superleggera 007 Edtion จะถูกผลิตจำกัดโดย Q by Aston Martin ซึ่งรุ่นแรกมีจำนวนการผลิต 100 คัน และมีราคา 161,000 ปอนด์ ส่วนรุ่นหลังจำกัดเพียง 25 คัน กับราคา 279,025 ปอนด์ในสหราชอาณาจักร

ขณะที่เจมส์ บอนด์กำลังปกป้องควีนและประเทศชาติ ในโลกแห่งความจริงสถานการณ์ของ Aston Martin กลับมาดีขึ้นอีกครั้ง หลังคนทั่วโลกกำลังซื้อเพิ่มขึ้นตามสภาพเศรษฐกิจ เศรษฐกิจที่ฟื้นคืนชีพและยอดขายที่ประสบความสำเร็จของ Vantage และ 52 Volante Zagato รุ่น limited edition ทำให้ Aston Martin เติบโตขึ้น V8 เลิกผลิตแล้วและได้เปิดตัว Virage รุ่นใหม่เป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปี จนกระทั่งปี ค.ศ. 1987 Aston Martin ต้องการขยายธุรกิจแต่ติดขัดเรื่องเงินทุน

 

Aston Martin and Ford Motor Company

แม้จะประสบความสำเร็จมากขึ้น แต่ Aston Martin ก็ยังต้องการเงินเพื่อความอยู่รอดในระยะยาว Walter Hayes ดำรงตำแหน่งรองประธาน Ford แห่งยุโรปและเล็งเห็นถึงศักยภาพของแบรนด์อังกฤษ การอภิปรายเกิดขึ้นและฟอร์ดเข้าถือหุ้นในปีค.ศ. 1987 Ford ซึ่งอยู่ในกลุ่ม Premier Automotive Group ลงทุนในการผลิตใหม่และเพิ่มการผลิต ในปี ค.ศ. 1995 Aston Martin ผลิตรถยนต์ได้ 700 คัน ซึ่งเป็นสถิติใหม่ของบริษัท

ฟอร์ด ได้นำชื่อ DB มาตั้งเป็นชื่อรุ่นรถยนต์อีกครั้ง โดยในปี ค.ศ. 1998 รถยนต์รุ่น DB7 คันที่ 2,000 ได้ถูกผลิตขึ้น ในปี ค.ศ. 2002 มีการผลิตครั้งที่ 6,000 ซึ่งถือได้ว่าเป็นการผลิตรถยนต์รุ่น DB ที่มากที่สุดจากรุ่นก่อน ๆ DB7 ได้กลับมาสร้างความรู้สึกสง่างามและยั่วยวนอีกครั้ง พร้อมตะแกรงหน้ารถสไตล์เดียวกันกับในยุค 50s-60s รถรุ่นนี้ประสบความสำเร็จอย่างสูง จนกลายเป็นที่ขายดีที่สุดของแบรนด์นี้ ถูกออกแบบโดย lan Callum (เอียน คัลลัม) นักออกแบบรถยนต์ชาวอังกฤษ

ในปี ค.ศ. 2001 Aston Martin ได้ทำการเปิดตัวรถยนต์รุ่น Vanquish ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่า ถูกออกแบบโดย lan Callum (เอียน คัลลัม) เช่นเดียวกัน รวมถึงการเปิดโรงงาน Gaydon ในปี ค.ศ. 2003 ซึ่งเป็นโรงงานแห่งแรกที่สร้างขึ้นตามวัตถุประสงค์ในประวัติศาสตร์ของ Aston Martin ในปีเดียวกันนั้น พวกเขาได้เปิดตัว DB9 Coupe ซึ่งมาแทนที่ DB7 ทำให้ Aston Martin สามารถเทียบชั้นกับแบรนด์หรูอย่าง Ferrari ได้เป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ยุค 60s เป็นต้นมา

Aston Martin DB7

Aston Martin DB7

ในปี ค.ศ. 1994 เอียน คัลลัมได้ลาออกเพื่อไปร่วมงานกับแบรนด์จากัวร์ (Jaguar) ทาง Aston Martin ก็ได้ Henril Fisker ซึ่งเคยเป็นนักออกแบบของ BMW เข้ามาร่วมงานด้วยในฐานะหัวหน้านักออกแบบ ซึ่งเป็นปีเดียวกันกับที่เริ่มเปิดตัวรถรุ่น DB9 และ V8 Vantage ซึ่งต่อมารูปแบบการดีไซน์ที่ดูลื่นไหลก็ได้ถูกส่งต่อไปยังรถรุ่นต่อมา ที่ออกแบบโดยผู้สืบทอดของนาย Henril Fisker ซึ่งก็คือนาย Marek Reichman และต่อมาเขาได้เป็นคนออกแบบรถรุ่น Rapide

Aston Martin Rapide

Aston Martin Rapide

การตรวจสอบภายใน ปี ค.ศ. 2006 ทำให้ Ford พิจารณาหุ้นของ Premier Automotive Group แบรนด์ในกลุ่มนี้ ได้แก่ Jaguar, Land Rover และ Volvo หลังจากพิจารณาแล้ว Ford ประกาศว่าจะขาย Aston Martin ทั้งหมดหรือบางส่วนในการประมูล

 

Who bought Aston Martin from Ford?

วันที่ 12 เดือนมีนาคม ปี ค.ศ. 2007 กลุ่มนักลงทุนนำโดยเดวิด ริชาร์ดส์ ผู้บริหารของโปรไดรฟ์ (Prodrive) เข้าซื้อหุ้นในกิจการแอสตันมาร์ติน โดยฟอร์ดจะขายหุ้นของแอสตันมาร์ตินมูลค่า 479 ล้านปอนด์สเตอร์ลิง หรือ 848 ล้านดอลลาร์สหรัฐ  (มูลค่าหุ้นทั้งหมด 925 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งทางโปรไดรฟ์ไม่สามารถจ่ายเงินจำนวนดังกล่าวได้ทั้งหมด จึงแบ่งกันซื้อหุ้นกับ จอห์น ซินเดอร์ส และบริษัทลงทุนสัญชาติคูเวตอีกสองบริษัท คือ Investment Dar และ Adeem Investment Co. ส่วนฟอร์ดจะยังคงถือหุ้นส่วนที่เหลือ มูลค่า 77 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

เพื่อแสดงให้เห็นถึงความทนทานของ V8 Vantage ในพื้นที่อันตรายและส่งเสริมรถยนต์ในจีนการข้ามทางหลวงเอเชียตะวันออก – ตะวันตกครั้งแรกได้ดำเนินการระหว่างเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม ปี ค.ศ. 2007 ชาวอังกฤษคู่หนึ่งขับรถจากโตเกียวไปยังอิสตันบูล 12,089 กม. (7,512 ไมล์) ก่อน เข้าร่วมเครือข่ายมอเตอร์เวย์ของยุโรปอีก 3,259 กม. (2,025 ไมล์) ถึงลอนดอน โปรโมชั่นนี้ประสบความสำเร็จอย่างมาก Aston Martin ได้เปิดตัวแทนจำหน่ายในเซี่ยงไฮ้และปักกิ่งภายในสามเดือน

Aston Martin V8 Vantage ปี 2007

Aston Martin V8 Vantage ปี 2007

ในปีค.ศ.2008 Aston Martin ประกาศว่าพวกเขากำลังฟื้นฟูแบรนด์ Lagonda ด้วยแนวคิดที่จะแสดงให้สอดคล้องกับ 100 ปีของ Aston Martin รถยนต์รุ่น Rapide เปิดตัวในปี ค.ศ. 2010 โดยเริ่มผลิตในเมืองกราซ ประเทศออสเตรีย แต่ต่อมาได้ย้ายมาที่ Gaydon ในช่วงครึ่งหลังของปี ค.ศ. 2012

 

Partnership with Daimler AG

ในปี 2013 Aston Martin ลงนามในข้อตกลงกับ Daimler AG ซึ่งหมายความว่ารถยนต์ Aston Martin รุ่นต่อไปจะมีเครื่องยนต์ Mercedes-AMG และ Daimler AG เป็นเจ้าของ Aston Martin 5% รวมถึงการติดตั้ง Aston Martin กับระบบไฟฟ้าใหม่ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการที่จะเปิดตัวรถรุ่นใหม่ที่รวมเอาเทคโนโลยีใหม่และ V8 เข้าไว้ด้วยกัน

Mercedes-AMG ยังต้องจัดหาระบบไฟฟ้าให้กับ Aston Martin ความร่วมมือทางเทคนิคนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อสนับสนุนการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ของ Aston Martin ที่จะรวมเอาเทคโนโลยีและเครื่องยนต์ใหม่เข้าไว้ด้วยกัน รุ่นยนต์รุ่นแรก ที่ใช้เทคโนโลยีใหม่นี้คือ DB11 ซึ่งได้รับการประกาศในงานเจนีวามอเตอร์โชว์ 2016 รุ่นนี้มีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของ Mercedes เพื่อความบันเทิง ระบบการนำทางและระบบอื่น ๆ

และนั่นนำเราไปสู่ยุคปัจจุบันได้เป็นอย่างดี ในปี ค.ศ. 2018 ได้ทำการเปิดตัว Vanquish S  ที่น่าสนใจทีเดียว โดยร่วมมือกับ G&G Business Developments ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้าง Aston Martin Residences ในไมอามี่ พวกเขายังเปิดตัวเรือยนต์ AM37 พร้อม Quintessence Yachts อพาร์ตเมนต์จะตั้งอยู่ในดาวน์ทาวน์ไมอามีและจะประกอบด้วยคอนโด 391 ห้อง แอสตัน มาร์ติน ยังคงเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก และถึงแม้จะประสบปัญหาทางการเงินมากกว่าแบรนด์อื่น แต่ก็ยังคงผลิตรถยนต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบางคันที่เคยสร้างมา

แอสตัน มาร์ตินส์ ยังคงเป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับคนรักรถที่ให้ความสำคัญกับสมรรถนะ ความหรูหรา และมีระดับ หากคุณเป็นหนึ่งในบรรดาผู้รักรถ ปัจจุบันแบรนด์มีมูลค่าสูงถึง 5 พันล้านปอนด์ (6.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) และขณะนี้รายงานกำไรก่อนหักภาษีทั้งปีจำนวน 87 ล้านปอนด์ (เทียบกับ ด้วยการสูญเสีย 163 ล้านปอนด์ในปี 2016) ston Martin ในเดือนสิงหาคม ปีค.ศ. 2018 ได้ประกาศแผนการที่จะลอยบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอนในฐานะ Aston Martin Lagonda Global Holdings plc.

บริษัทได้รับการเสนอขายต่อประชาชนครั้งแรกในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอนเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม ปี ค.ศ. 2018 ในเดือนมิถุนายน 2019 Aston Martin ได้เปิดโรงงานใหม่ขนาด 36 เฮกตาร์ (90 เอเคอร์) ในเมืองเซนต์เอธานเพื่อผลิตเอสยูวี DBX เป็นครั้งแรก ในที่สุดโรงงานก็สร้างเสร็จและเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 6 ธันวาคม 2019 เมื่อการผลิตเต็มรูปแบบเริ่มขึ้นในไตรมาสที่สองของปี 2020 จะมีพนักงานประมาณ 600 คนที่โรงงานนี้ เพิ่มขึ้นเป็น 750 เมื่อยอดการผลิตถึงจุดสูงสุด

วันนี้ Aston Martin ยังคงสร้างความประทับใจให้กับคนทั่วโลก ด้วยรถยนต์คุณภาพเยี่ยมที่ถูกนำเสนออย่างต่อเนื่อง ซึ่งไม่เพียงแต่สวยงามเท่านั้นแต่ยังรวมถึงประสิทธิภาพการใช้งานอันดีเยี่ยม แม้ว่า Aston Martin จะขับผ่านอุปสรรคทางธุรกิจที่ขรุขระมากมาย ทั้งสงครามโลกถึงสองครั้ง การล้มละลาย รวมถึงการเปลี่ยนมือเจ้าของอีกหลายหน แต่ Aston Martin ก็ยังยืนหยัดเป็นตำนานและเป็นที่จดจำของคนทั่วโลก จนถึงทุกวันนี้

รัก
xoxo

KATE