ประวัติ Takashi Murakami อาชีพ งานศิลปะ และชีวิตอันมหัศจรรย์ Takashi Murakami เป็นที่รู้จักจากผลงานที่มีสีสันสดใสและร่าเริง ซึ่งผสานวัฒนธรรมป๊อปของญี่ปุ่นเข้ากับมรดกทางศิลปะอันยาวนานของประเทศได้เป็นอย่างดี ผลงานของเขาได้รับแรงบันดาลใจจากวัฒนธรรมย่อยของญี่ปุ่นอย่างโอตาคุ ซึ่งเต็มไปด้วยความวิปริตอันแปลกประหลาดในเรื่องความน่ารักและความไร้เดียงสา รวมถึงความรุนแรงที่เหลือเชื่อ
ด้วยเหตุนี้ มุราคามิจึงวิพากษ์วิจารณ์วัฒนธรรมร่วมสมัยของญี่ปุ่นอย่างละเอียดอ่อน รวมถึงอิทธิพลที่รุกล้ำเข้ามาของวัฒนธรรมตะวันตก จากปรากฏการณ์ความนิยมของดอกไม้ “มูราคามิ” ที่มีมูลค่าต่อดอกสูงถึง 1,200-1,700 บาท เมื่อหลายปีที่ผ่านมาKATEXOXO จะพาทุกคน ไปทำความรู้จักกับหนึ่งในศิลปินชาวญี่ปุ่นระดับโลกผู้นี้กันให้มากขึ้น อะไรที่ทำให้ผลงานที่ดูธรรมดา ๆ ของเขา มีมูลค่า
ประวัติ Takashi Murakami
ทาเคชิ มูราคามิ (Takashi Murakami) เกิดเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 1962 ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น บิดามีอาชีพเป็นคนขับแท๊กซี่ ส่วนมารดาเป็นแม่บ้าน โดยมารดาของเขา มีความสามารถในด้านการเย็บปักถักร้อย ซึ่งเธอได้ร่ำเรียนด้านนี้มาโดยตรง ทั้งการปักด้ายและสิ่งทอ นั่นทำให้มูราคามิ ได้รับอิทธิพลการเย็บปักถักร้อยและงานฝีมือจากมารดาของเขาเอง และเธอเป็นผู้มีอิทธิพลด้านศิลปะโดยตรงต่อตัวมูราคามิเป็นอย่างมาก
นอกจากเรื่องการปลูกฝังให้รักในงานศิลปะแล้ว สิ่งที่ยังติดตัวเขามาตั้งแต่วัยเด็กก็คือ เรื่องราวเมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ฝ่ายสัมพันธมิตร นำโดยประเทศสหรัฐอเมริกา นำระเบิดนิวเคลียร์มาปล่อยที่ประเทศญี่ปุ่น สร้างความเสียหายจนญี่ปุ่นต้องสิโรราบยอมแพ้ในสงคราม แม้ว่ามูราคามิจะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ดังกล่าว แต่ซากความเสียหายจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น จุดแรงบันดาลใจและมีอิทธิพลอย่างมาก กับผลงานศิลปะหลายชิ้นของเขา
ตัวอย่างผลงานที่น่าสนใจอีกชิ้นของมูราคิมิ คือผลงาน “Little Boy” ซึ่งเป็นตัวการ์ตูนคาแร๊กเตอร์น่ารักสีสันสดใส แต่แฝงเร้นไปด้วยการวิพากษ์วิจารณ์ประวัติศาสตร์ทางการเมืองของประเทศญี่ปุ่น ผ่านเรื่องราวของระเบิดนิวเคลียร์ ผนวกกับการตั้งคำถามถึงวัฒนธรรมป๊อปในสังคมหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
ในช่วงวัยเด็กของเขา ประเทศญี่ปุ่นอยู่ในช่วงสร้างสรรค์ความเป็นชาตินิยม เพื่อทำการฟื้นฟูประเทศ ให้สู่สภาพเดิมโดยไว โดยเฉพาะมีการนำวัฒนธรรมญี่ปุ่นดั้งเดิมเข้ามา รวมถึงการกดดันให้แรงงานเร่งผลิตสินค้าให้ทัดเทียมกับชาติตะวันตกไปพร้อมกัน มูราคามิ ได้รับอิทธิพลทางความคิดจากการ์ตูนเอนิเมะของญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่อง ตลอดช่วงทศวรรษที่ 1970 และ 1980 โดยเฉพาะจาก ซีรีย์การ์ตูนเรื่อง Ginga Tetsudo 999 (Galaxy Express 999) ซึ่งถือว่าเป็นซีรีย์ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในขณะนั้น
ความผสมผสานระหว่าง 2 วัฒนธรรมนี้ สะท้อนออกมาเป็นกิจกรรมต่าง ๆ ของมูราคามิในวัยเด็ก ไม่ว่าจะเป็น การเข้าร่วมพิธีทรงเจ้าแบบชาวพุทธ การเข้าร่วมคอร์สประดิษฐ์ตัวอักษร การเข้าร่วมชมพิพิธภัณฑ์ของปรมาจารย์อย่าง Renoir (ศิลปินแนวอิมเพรสชั่นนิสม์ชาวฝรั่งเศส) และ Goya (ศิลปินแนวจินตนิยมชาวสเปน)
ในช่วงวัยเด็ก เขาอาจเติบโตมากับช่วงของการผสมผสานวัฒนธรรมระหว่างวัฒนธรรมญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมกับศิลปะวัฒธรรมยุโรปสมัยใหม่ แต่ช่วงที่มีผลกระทบที่สุดในชีวิตของมูราคามิคือ ช่วงวัยรุ่น สิ่งนี้ เป็นิ่งที่สามารถอธิบายได้ว่า ทำไมผลงานหลัก ๆ ส่วนใหญ่ของเขา คือการอุทิศตนให้กับผู้ชมที่เป็นกลุ่ม “โอตาคุ” ซึ่งเป็นชื่อเรียกของกลุ่มวัฒนธรรมที่มีความลุ่มหลงแบบจิตเภท โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การทำผลงานแนวอนิเมะและมังงะ
สิ่งนี้ ทำให้กลุ่มผู้ชม โอตาคุ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มคนที่ปฏิเสธโลกแห่งความจริงหรือมีทักษะการเข้าสังคมที่อ่อน ได้ฟื้นกลับมาเป็นจุดเด่นในโลกของอนิเมะและมังงะ เนื่องจากผลงานของเขา เจาะกลุ่มและสามารถเข้าถึงวัฒนธรรมของคนกลุ่มนี้ได้เป็นอย่างดี
ประวัติการศึกษา
- ปี ค.ศ. 1986 : จบการศึกษาระดับปริญญาตรี จาก คณะศิลปกรรมศาสตร์บัณฑิต (BFA) Bachelor of Fine and Applied Arts จากมหาวิทยาลัย Tokyo National University of Fine Arts and Music
- ปี ค.ศ. 1988 : จบการศึกษาระดับปริญญาโท หลักสูตรศิลปมหาบัณฑิต (MFA) จากมหาวิทยาลัย Tokyo National University of Fine Arts and Music ซึ่งเขาได้รับการบ่มเพาะทักษะและความชำนาญในการผลิตงานศิลปะ ตามแบบฉบับ Classic and traditional painting ของญี่ปุ่น
- ปี ค.ศ. 1993 : จบการศึกษาระดับปริญญาเอก ปรัชญาดุษฏีบัณฑิต (Ph.D.) จากมหาวิทยาลัย Tokyo National University of Fine Arts and Music ด้วยวิทยานิพนธ์ที่มีหัวเรื่องว่า “The Meaning of the Nonsense of the Meaning” ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับงานศิลปะแบบ Nihonga (Nihonga เป็นเทคนิคการวาดภาพของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีมากกว่า 1,000 ปีมาแล้ว มีลักษณะพิเศษคือ การนำแปรง (Eginu) วาดบนกระดาษญี่ปุ่น (Washi) ผสมกับหมึกสีดำ (Sumi Ink)
ผลงานสร้างชื่อ
มูราคามิ เริ่มสร้างและสะสมชื่อเสียง ทั้งในฐานะประติมากร (Sculpture) และจิตรกร (Painter) ผลงานของมูราคามิ มักเป็นที่จดจำในเรื่องของสีสันและความบ้าคลั่ง เป็นผลงานที่สร้างความสดชื่น โดยผลงานส่วนใหญ่ของเขาจะเป็นการรวมวัฒนธรรมป๊อปสไตล์ญี่ปุ่น โดยอิงแอบกับความเป็นประเทศที่ร่ำรวยศิลปะและตำนาน ฉีกทุกกฏเกณฑ์ที่มีด้วยการผสมผสานความแตกต่างได้อย่างยอดเยี่ยม ระหว่างศิลปะชั้นสูงกับงานศิลป์แบบตลาดล่าง ซึ่งส่วนใหญ่มีรากฐานผูกพันกับการ์ตูนมังงะญี่ปุ่น
ผลงานการวาดของเขา เป็นแรงบันดาลใจให้กับรูปแบบวัฒนธรรมโอตาคุ ซึ่งตอกย้ำในเรื่องของความแปลก ความวิปริต ของความน่ารักและไร้เดียงสา พอ ๆ กับความรุนแรง ที่พอสาดใส่รวมกัน ก็กลายเป็นผลงานที่เข้ากันได้อย่างน่าตกใจ
ว่ากันว่า ผลงานที่สร้างชื่อให้กับมูราคามิ และเปรียบเสมือนเป็นสัญลักษณ์ของเขาในยุคแรก ๆ เป็นงานประติมากรรม ที่สร้างขี้นจากวัสดุ Fiberglass ซึ่งผลงานดังกล่าว ก่อเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ มีการกล่าวถึงอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 2 ผลงานที่มีชื่อว่า “HIROPON” และ “My Lonesome Cowboy” โดยทั้ง 2 ผลงานนี้ มูราคามิ ได้นำลักษณะและบุคลิกของอนิเมะมาเป็นฐานในการสร้างงาน ซึ่งต้องพบกับกระแสวิจารณ์จากบางฝ่าย ถึงการแสดงสัญลักษณ์ทางเพศ ที่โจ่งแจ้งมากเกินไป
สำหรับผลงานชื่อ HIROPON มีลักษณะเป็นรูปปั้นหญิงสาว ซึ่งมีรูปร่างอวบอัดสวยงามเกิดมาตรฐาน ภายใต้ชุดรัดรูปขนาดเล็ก ซึ่งมีเพียงผ้าบาง ๆ สำหรับปกปิดส่วนสงวนเท่านั้น จุดเด่นของการออกแบบรูปปั้นนี้คือ ลักษณะของน้ำนม ที่พุ่งออกมาเป็นสาย และบิดเกลียวอย่างสวยงามแน่นเหนียวประดุจเชือกเส้นโตซึ่งหญิงสาวใช้เป็นเชือกสำหรับกระโดด
สำหรับผลงานชื่อ My Lonesome Cowboy ประติมากรรมรูปปั้นชายหนุ่ม กำลังใช้มือกำของสงวนของตน ที่กำลังแข็งตัว โดยมีการหลั่งน้ำแห่งความเป็นชาย เป็นทางยาว โดยมีมืออีกข้างหนึ่ง ถือสายน้ำซึ่งกำลังพวยพุ่งแกว่งไปมาเหนือศีรษะดั่งกำลังร่ายรำ
ผลงานดังกล่าง ส่งผลให้มูราคามิ ได้รับการเรียกขานในฐานะ Otaku King (โอตาคุ หรือกลุ่มคนที่นิยมและคลั่งไคล้งานเอนิเมะแบบญี่ปุ่น ที่มีบุคลิกมาจากการ์ตูนมังงะ โดยมีลักษณะเป็น Hyper-sexualized comic โดยต่อมาได้ขยายไปสู่ตัวละครในวิดิโอเกมส์และเกมส์คอมพิวเตอร์ โดยมีความเกี่ยวเนื่องกับกระแสการบริโภคสื่อทางเพศ (Pornographic Media) อีกด้วย
ซึ่งกระแสวัฒนธรรมดังกล่าว ถูกผลักให้เป็นวัฒนธรรมใต้ดินและนอกกระแส มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1989 ก่อนที่จะกลายเป็นรูปแบบวัฒนธรรมยอดนิยมในเวลาต่อมา ขณะที่กระแสวิพากษ์วิจารณ์บางส่วนกล่าวถึงผลงานดังกล่าว ในฐานะที่เป็นภาพสะท้อนของศิลปะและวัฒนธรรมร่วมสมัยญี่ปุ่น (Contemporary art and contemporary culture) ด้วย มูราคามิเชื่อว่า วัฒนธรรมญี่ปุ่น เกิดจากวัฒนธรรมย่อย ๆ นอกกระแส (sub-culture)ที่หลากหลาย มากกว่าจะมีวัตนธรรมใด ๆ เพียงหนึ่งเดียวเป็นตัวกำหนด
ชื่อเสียงของมูราคามิ ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะในบริบทของสังคมญี่ปุ่นเท่านั้น หากแต่ความคิดสร้างสรรค์ของเขายังแผ่ขยายออกไปทั่วโลก ทั้งในยุโรปและสหรัฐอเมริกา ผ่านผลงานศิลปะ โครงการ และผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่หลอมรวมความเป็นตะวันออกกับตะวันตก หรือศิลปะกับดีไซน์ ซึ่งผสมผสานเข้ากันได้อย่างลงตัว ในฐานะศิลปินระดับแนวหน้าของยุคสมัยที่กำลังหล่อหลอมและกำหนดทิศทางใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้น ในแวดวงศิลปะวัฒนธรรมของญี่ปุ่น
ในฐานะศิลปิน เขาได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับเส้นแบ่งระหว่างวัฒนธรรมตะวันออกและตะวันตก อดีตกับปัจจุบัน ศิลปะชั้นสูงกับวัฒนธรรมป๊อป โดยแสดงออกทางผลงานในหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นงานจิตรกรรม ประติมากรรม ภาพพิมพ์ หรือสื่อมัลติมีเดีย และยังแผ่ขยายไปยังสื่อแขนงอื่น ๆ ทั้งโปสเตอร์ บิลบอร์ด งานออกแบบภายใน ของแต่งบ้าน ไปจนถึงสินค้าทั่วไปอย่างฟิกเกอร์โมเดลหรือตุ๊กตาของเล่นเป็นต้น จนถึงการร่วมงานกับแบรนด์แฟชั่นระดับโลกอีกมากมายหลายแบรนด์
หนึ่งในการร่วมงานแฟชั่นที่โด่งดังที่สุด คือการจับมือกับ ดีไซเนอร์ระดับโลกอย่าง มาร์ก เจค็อบส์ (Marc Jacob) ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งดีไซเนอร์ประจำแบรนด์สัญชาติฝรั่งเศสอันโด่งดังอย่าง Louis Vuitton เมื่อปี ค.ศ. 2003 ซึ่งสร้างสรรค์ผลงานบนผ้าใบ Monogram อันขึ้นชื่อของแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็น คอลเล็กชั่น Multicolore , Panda , Pink Monogram Cherry Blossom ลวดลายดอกซากุระ , Green Monogramouflage ลายทหาร , Monogram Cerises ลายเชอร์รี่ และ Moca hands
ซึ่งทั้งหมดนี้ นับเป็นการท้าทายเส้นแบ่งพรมแดนระหว่างศิลปะและแฟชั่นในขณะน้ันเป็นอย่างมาก คอลเล็กชั่นเหล่านั้น เป็นคอลเล็กชั่นที่โด่งดังและประสบความสำเร็จอย่างมาก และส่งผลให้ชื่อของมูราคามิ กลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก
ในปี ค.ศ. 2007 มูราคามิ ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ออกแบบปกอัลบั้ม Graduation ของนักร้องแรปเปอร์ผิวสีอย่าง คานเย เวสต์ (Kanye West) รวมไปถึงการเป็นผู้กำกับ MV เพลง Good Morning ในอัลบั้มนี้อีกด้วย หลังจากนั้น เขาก็ได้มีโอกาสร่วมงานกับแบรนด์ระดับโลกอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Supreme , Comme des Garcons , Vans , Issey Miyake , Google , Kaws รวมไปถึงแบรนด์นาฬิกาดังอย่าง Casio G-Shock
ดอกมูราคามิ Murakami Flower
และผลงานอีกหนึ่งชิ้น ที่จะไม่กล่าวถึงไม่ได้เลยคือ ดอกมุราคามิ (Murakami Flower)อันเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ประจำตัวของมูราคามิ โดยเบื้องหลังของดอกไม้หลากสีเต็มไปด้วยรอยยิ้มนี้ มูราคามิได้กล่าวถึงเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมาว่า
“ผมไม่ชอบดอกไม้ แต่การที่ผมได้มาเป็นครูสอนที่โรงเรียน มันทำให้ความรู้สึกของผมเปลี่ยนไป กลิ่นของมัน รูปร่างของมัน ทำให้ผมรู้สึกป่วย แต่ในเวลาเดียวกัน ผมกลับมองว่ามันน่ารักมาก ดอกไม้แต่ละดอกแต่ละชนิด ก็แสดงออกถึงความรู้สึกและตัวตนของมันแตกต่างกันไป”
อีกทั้งเขายังได้สร้างสรรค์ผลงานที่มีชื่อว่า “An Homage to Monopink, 1960A” ที่สะท้อนถึงความรู้สึกของเขา ที่มีต่อดอกไม้ อันมีเส้นบาง ๆ กั้นอยู่ ระหว่าง ความชอบและความเกลียด
ยิ้มเข้าไว้ ถึงแม้ว่าภายในจะเจ็บปวด หลายคนเข้าใจว่า รอยยิ้มของดอกมูราคามิ คือรอยยิ้มแห่งความสุข ความสดใส แต่ทว่า หากลองสังเกตดี ๆ ภายในดวงตาอันสดใสของดอกไม้นั้น กลับมีน้ำตาซ่อนอยู่ โดยมูราคามิ ได้กล่าวถึงความหมายของดอกมูราคามิ ในงานนิทรรศการ Murakami’s “Flowers and Skulls” exhibition” ที่ฮ่องกงเอาไว้ว่า
แรงบันดาลใจของเขา เกิดจากเหตุการณ์การทิ้งระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมา และนางาซากิ เมื่อปี ค.ศ. 1945 ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้น นับว่าเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศญี่ปุ่น จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่อนิเมะหรือมังงะในประเทศญี่ปุ่น จึงมักจะเชื่อมโยงเข้ากับเหตุการณ์การทิ้งระเบิดในครั้งนั้น และผลงานของมูราคามิก็เช่นกัน
ผลงานที่สื่อถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้นได้ดีที่สุด เห็นจะเป็นผลงานที่มีชื่อว่า “Flowers and Skulls” ซึ่งในภาพจะปรากฏรูปหัวกะโหลกซ้อนทับกันอยู่มากมาย อันสื่อถึงความสูญเสียและสิ้นหวังในเหตุการณ์ระเบิดในครั้งนั้น แต่ในภาพเดียวกัน ก็ยังปรากฏภาพดอกไม้ที่มาพร้อมกับรอยยิ้มสดใส ซึ่งมูราคามิต้องการสื่อถึงความไม่เกรงกลัวต่อความสิ้นหวัง ถึงแม้ข้างในจะเจ็บปวดแค่ไหน ใครจะรู้ว่าเบื้องหลังรอยยิ้ม มีอะไรซ่อนอยู่
ด้วยผลงานที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เน้นสร้างผลงานเป็นตัวการ์ตูนสีสันสดใส และมีลักษณะแบนราบเป็นมิติเดียว ทำให้ผลงานของมูราคามิ โด่งดังไปทั่วโลกและกลายเป็นหนึ่งในศิลปินที่ทรงอิทธิพลคนหนึ่งที่คนทั่วโลกให้การยอมรับ ผลงานศิลปะสำหรับบางคน อาจมองว่าไม่สำคัญอะไร แต่แท้จริงแล้ว ผลงานศิลปะเหล่านั้นล้วนแล้วแต่มีคุณค่าในตัวเอง และมีคุณค่าทางจิตใจสำหรับผู้หลงไหลในศิลปะ เพราะมันเป็นสิ่งที่สะท้อนทั้งสังคม วัฒนธรรม หรือเรื่องราวต่าง ๆ บนโลกใบนี้ออกมาได้อย่างสวยงาม
รัก
xoxo