ประวัติ Bao Bao Issey Miyake – Bao Bao กระเป๋ารูปทรงแปลกตา ที่เราคุ้นหูคุ้นตาเป็นอย่างดี กับจุดเด่นที่ไม่เหมือนใคร ฉีกกรอบของรูปแบบกระเป๋าแบรนด์เนมเดิม ๆ ในดีไซน์ที่แตกต่าง โดยสามารถเปลี่ยนรูปร่างได้ตามสัมภาระที่ผู้ใช้ใส่เข้ามาในกระเป๋า สถาปัตยกรรมที่ท้าทายความสามารถในการประดิษฐ์ ด้วยการรังสรรค์ง่าย ๆ จากรูปสามเหลี่ยมที่นำมาต่อกัน บนตัวผ้าตาข่าย หลังจากการเปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 2000 ก็ยังคงครองความนิยมอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่หลงไหลในจินตนาการอันไร้ขีดจำกัด คงอยากทราบว่า อะไรคือแรงบันดาลใจในการออกแบบกระเป๋าที่มีดีไซน์สุดแหวกจากแบรนด์ Issey Miyake แบรนด์ชื่อดังจากแดนอาทิตย์อุทัย แบรนด์นี้มีจุดเด่นอะไร ถึงได้รับความนิยมระดับโลก รวมถึงการออกแบบที่ไม่เหมือนกระเป๋าใบไหนในตลาดที่เคยมีมา ในบทความนี้ เรามีคำตอบ
Issey Miyake
อิซเซ มิยะเกะ (Issey Miyake) ไม่ได้เป็นเพียงแค่ชื่อของแบรนด์เนมระดับโลกเท่านั้น แต่ยังเป็นชื่อของผู้ก่อตั้งบริษัท อิซเซ มิยะเกะ เกิดเมื่อวันที่ 22 เมษายน ปี ค.ศ. 1938 ที่เมืองฮิโรชิม่า ประเทศญี่ปุ่น ชีวิตในวัยเด็กของเขา ต้องเผชิญกับเหตุการณ์ร้ายแรงเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นกับประเทศญี่ปุ่น นั่นก็คือ เหตุการณ์ที่อเมริกาปล่อยระเบิดนิวเคลียร์ถล่มเมืองฮิโรชิมา เพื่อกดดันให้ญี่ปุ่นยอมแพ้สงคราม ซึ่งในขณะนั้น มิยะเกะ มีอายุเพียง 7 ปีเท่านั้น เป็นโชคดีของเขาที่สามารถรอดชีวิตจากเหตุการณ์ร้ายแรงในครั้งนั้นได้
ต่อมา เขาได้เข้าศึกษาในสาขาการออกแบบและกราฟฟิก ณ มหาวิทยาลัย Tama Art University ในเมืองโตเกียว โดยหลังจากสำเร็จการศึกษาเมื่อ ปี ค.ศ. 1964 มิยะเกะ ได้เดินทางไปยัง ประเทศฝรั่งเศส เพื่อไปศึกษาต่อที่สถาบันการออกแบบและตัดเย็บเสื้อผ้าชั้นสูง Chambre Syndicale dela Couture Parisience เมืองปารีส จนเมื่อเรียนจบ ในปี ค.ศ. 1966 ก็มีโอกาสได้ทำงานเป็นผู้ช่วยดีไซเนอร์ให้กับห้องเสื้อ Guy Laroche และได้ย้ายไปร่วมงานกับ Givenchy ในปี ค.ศ. 1968
ในปี ค.ศ. 1970 มิยะเกะ เดินทางกลับมาที่โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ทำการก่อตั้งห้องเสื้อของตัวเอง ใช้ชื่อว่า Miyake Design Studio โดยรูปแบบเสื้อผ้าของเขา เน้นความสบายเป็นหลัก อีกทั้งยังมีการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาใช้ในการออกแบบ ในปีถัดมาก็ได้เริ่มเปิดบริษัทลูก มีชื่อว่า Issey Miyake International Inc. เพื่อผลิตเสื้อผ้าและผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ออกวางขายในประเทศและส่งออกทั่วโลก โดยมีสาขาแรกอยู่ที่โตเกียว
หลังจากนั้นจึงได้ขยับขยาย เปิดสาขาต่างประเทศ ก่อนเปิดตัวแบรนด์อย่างเป็นทางการครั้งแรกที่เมืองปารีส รวมทั้งยังได้เข้าร่วมแสดงผลงานในงาน Paris Fashion Week โดยตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1973 เป็นต้นมา มิยะเกะ ก็สามารถทำให้ชื่อแบรนด์ของเขาเป็นที่รู้จักและยอมรับไปทั่วโลก อย่างรวดเร็ว โดยมีผลงานเป็นเสื้อผ้าทั้งของผู้ชายและของผู้หญิง
ในช่วงปลายยุค 80s มิยะเกะ ก็ได้ทำการทดลองการออกแบบเสื้อผ้าแบบใหม่ โดยการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ร่วมในการออกแบบ ก่อกำเนิดสินค้านวัตกรรมใหม่ ที่รู้จักกันในชื่อ “Pleats” หรือผ้าพลีท คือ ผ้าที่มีลักษณะอัดจีบ มีความยืดหยุ่น เนื้อผ้าค่อนข้างยับยาก ทำให้เกิดความสบายขณะที่สวมใส่ อีกทั้งยังง่ายต่อการดูแลรักษา โดยมิยะเกะได้ทำการพัฒนาและออกแบบเสื้อผ้าที่ทำมาจากผ้าชนิดนี้ จนได้รับควานนิยมเพิ่มขี้น
ธุรกิจของมิยะเกะ เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยใน ปี ค.ศ. 1990 มีการเปลี่ยนชื่อบริษัทจาก Issey Miyake International Inc. เป็น Issey Miyake Inc. ด้วยเทคนิคใหม่ garment pleating ที่เขาได้คิดค้นขึ้น เสื้อผ้าชิ้นแรกของ Pleats Please ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นในปี ค.ศ. 1993 โดยเขาทำการตัดเย็บชุดสำหรับ Ballett Frankfurt ด้วยผ้าพลีท โดยใช้ชื่อผลงานว่า “The Loss of Small Detail” อีกทั้งยังได้ร่วมมือกับ Lucie Rie นักเซรามิคชาวออสเตรเลีย ผลิตกระดุมจากดินเผาเพื่อใช้ประกอบในการตัดเย็บ
เมื่อผ้าพลีทได้รับความนิยมอย่างมาก จึงมีการแยกแบรนด์ออกมาเพื่อการผลิตเสื้อผ้าโดยเฉพาะ โดยใช้ชื่อแบรนด์ว่า Pleats Please Issey Miyake โดยคอนเซ๊ปต์ของแบรนด์นี้ คือ รูปแบบที่ทันสมัย รวมถึงสามารถใช้ได้ในหลายโอกาส อีกทั้งยังมีไลน์การผลิตสินค้าอื่น ๆ ที่มีดีไซน์แปลกตา ตามแบบฉบับของมิยะเกะ เช่น นาฬิกา เสื้อผ้าแบบอื่น ๆ และที่ขาดไม่ได้เลยในวงการแฟชั่นคือ กระเป๋าถือ หนึ่งในนั้นคือ Bao Bao ซึ่งเป็นหนึ่งในคอลเลกชั่นของ Pleats Please Issey Miyake นั่นเอง
Bilbao – Bao Bao Bag
Bao Bao กระเป๋ารูปทรงแหวกแนวรุ่นนี้ ได้แรงบันดาลใจในการออกแบบมาจาก สถาปัตยกรรมอันเลื่องชื่อ นามว่า Guggenheim Mesuem หรือ พิพิธภัณฑ์กุกเกนไฮน์ เป็นอาคารพิพิธภัณฑ์งานศิลปะสมัยใหม่และร่วมสมัย ตั้งอยู่ที่เมือง Bilbao (บิลบาโอ) ในประเทศสเปน โดยสถาปัตยกรรมนี้ เป็นผลงานการออกแบบของสถาปนิกนามว่า แฟรงก์ เกห์รี (Frank Gehry) สถาปนิกรางวัลพริตซ์เกอร์ ชาวแคนาดา (Canadian) -อเมริกัน ซึ่งให้ความสำคัญกับทิศทางของแสงเป็นหลักในการออกแบบ
ภายนอกของตัวอาคาร ถูกออกแบบให้มีรูปร่างโค้งไปมา เพื่อรับแสงเข้าสู่ตัวอาคาร ประดับด้วยแผ่นโลหะไทเทเนี่ยมจำนวนทั้งหมด 33,000 แผ่น เรียงต่อกันไปมา เพื่อรับกับมิติของแสงที่สาดกระทบ
ฮิคารุ มัตสึมุระ (Hikaru Matsumura) ได้นำสถาปัตยกรรมที่ท้าทายความสามารถของปัญญาประดิษฐ์แห่งนี้ มาเป็นแรงบันดาลใจ ในการนำรูปทรงสามเหลี่ยมมาเรียงต่อตัวกัน บนตัวกระเป๋า ด้วยความตั้งใจที่จะสร้างปรากฏการณ์ใหม่ ให้เกิดขึ้นในวงการออกแบบ “Bilbao” จึงได้ถือกำเนิดขึ้นและออกวางจำหน่ายครั้งแรกในปี ค.ศ. 2000
หลังจากกระเป๋ารุ่นนี้ ได้ถูกเปิดตัวออกสู่สายตาบรรดาเหล่าแฟชั่นนิสต้า ก็ได้รับกระแสการตอบรับที่ดี รวมทั้งได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม ประสบความสำเร็จในวงการแฟชั่นด้วยคอนเซ๊ปต์การออกแบบที่ไม่เหมือนใคร จากการที่กระเป๋าสามารถปรับเปลี่ยนรูปร่างตามสัมภาระที่ผู้ใช้ ใส่เข้ามาในกระเป๋า เป็นเหตุให้ในปี ค.ศ. 2010 จึงมีการแยกตัวออกมาสร้างแบรนด์ของตัวเอง ภายใต้ชื่อ “BAO BAO ISSEY MIYAKE”
Bao Bao Issey Miyake คือ กระเป๋าที่จะทำให้คุณ ได้จินตนาการถึง “Form” หรือรูปร่างที่สามารถแปรเปลี่ยนได้อย่างไม่จำกัด ด้วยวัสดุและตัวกระเป๋าที่ออกแบบให้มีความยืดหยุ่น จากวัสดุพอลิเมอร์ที่มีความแข็งแรงทนทาน ซึ่งทางทีมออกแบบของ Issey Miyake ได้แรงบันดาลใจมาจากการเชื่อมต่อวัสดุในงานอุตสาหกรรมและการสร้างวัตถุสามมิติโดยใช้องค์ประกอบมิติเดียว โดยการนำลูกเล่นสามเหลี่ยมมาต่อกันบนตัวผัา Mesh ผ้าตะข่ายแบบมีรูในลักษณะแนวราบหรือ 2D
Bao Bao เป็นกระเป๋าที่มีความทนทาน ดูแลรักษาง่าย กันน้ำ และน้ำหนักเบา สามารถเปลี่ยนรูปทรงได้ตามโอกาส อีกทั้งยังมีการออกดีไซน์ใหม่ ๆ รวมถึงสีสันที่หลากหลายอยู่ตลอดเวลา จากความกล้าที่ออกจากกรอบความคิดแบบเดิม ๆ ทำให้ Bao Bao กลายเป็น ITEM ที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ ก็ยังคงได้รับกระแสตอบรับที่ดีเสมอมาจนถึงปัจจุบัน
Bao Bao ไม่เพียงแต่ตอบโจทย์ในแง่ของประโยชน์ใช้สอย หรือรสนิยมทางแฟชั่นเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงมิติในด้านศิลปะออกมาได้อย่างเด่นชัด จากแรงบันดาลใจในการออกแบบ สู่การดำเนินรอยตามจุดมุ่งหมายในการสร้างแรงกระเพื่อมและการเปลี่ยนแปลงให้กับวงการแฟชั่นในยุคปัจจุบัน เป็นตัวอย่างความคิดสร้างสรรค์ ที่ใช้ความสามารถรวมถึงเทคโนโลยีรอบข้างมาประยุกต์ให้เกิดสิ่งใหม่ ๆ ก่อเกิดดีไซน์ที่โดดเด่น เป็นเอกลักษณ์ และเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า
การได้มีกระเป๋า Bao Bao สักใบไว้ในครอบครอง จึงไม่ได้เป็นเพียงแค่การมีกระเป๋าธรรมดาที่ไว้ใช้ใส่ของเพียงเท่านั้น แต่มันยังเป็นเสมือนการลงทุนไปกับงานศิลปะ ที่เราสามารถพกติดตัวไปได้ทุกที่ แม้เวลาจะผ่านไปนานเพียงใดก็ตาม แต่ Bao Bao นั้น จะยังคงคุณค่าเทียบเท่างานศิลปะแห่งยุคสมัยชิ้นหนึ่ง ที่อยู่เหนือกาลเวลาตลอดไป
รัก
xoxo