To top
7 Feb

นาฬิกาผู้ชาย – รวม 10 รุ่นนาฬิกาหรูที่เปิดตัวในปี 2020

นาฬิกาผู้ชาย – หากพูดถึงเครื่องประดับ ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในกลุ่มสุภาพบุรุษ ก็คงไม่พ้นที่จะนึกถึงนาฬิกาข้อมือ ซึ่งถือได้ว่าเป็นหนึ่งใน ITEM คู่กายชายหนุ่มที่จำเป็นอย่างมากในสังคมปัจจุบันนี้ เพราะนอกเหนือจากใช้เป็นอุปกรณ์สำหรับบอกเวลาแล้ว ยังเป็นสิ่งที่บ่งบองถึงตัวตน รวมถึง Lifestyle ของผู้ที่สวมใส่ อีกทั้งยังเป็นอุปกรณ์สำคัญที่ช่วยเพิ่มเสน่ห์ให้ดูน่าหลงไหลและน่ามองอีกด้วย

นอกจากความสวยงาม ภูมิฐาน มีเอกลักษณ์ รวมถึงเรื่องราวที่มีแบบฉบับเฉพาะของแบรนด์นั้น ๆ แล้ว สิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้เลย สำหรับหนุ่ม ๆ ในการพิจารณาก่อนการเป็นเจ้าของนาฬิกาสักเรือนคือ ความเที่ยงตรง แม่นยำ พร้อมทั้งระบบกลไกที่มีประสิทธิภาพสูง หากคุณกำลังมองหานาฬิกาผู้ชายที่ใช่ ตอบโจทย์ตรงใจต้องการ ในบทความนี้ จะพาทุกท่านไปรู้จักกับ 10 รุ่นนาฬิกาสำหรับผู้ชายสุดหรู ที่เปิดตัวล่าสุดในปี ค.ศ. 2020

 

 

1. RICHARD MILLE RM 61-01 ULTIMATE EDITION

Richard Mille (ริชาร์ด มิลล์) เป็นนาฬิกาสัญชาติสวิส ก่อตั้งครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 2001 โดยริชาร์ด มิลล์ ผู้ชื่นชอบและหลงไหลในความเร็ว รวมถึงสมรรถนะของรถแข่งฟอร์มูล่าวัน เขาจึงมุ่งมั่น สร้างสรรค์ พัฒนานาฬิกาให้มีความสมบูรณ์แบบมากที่สุด โดยการนำวัสดุแห่งอนาคตมาประยุกต์ใช้ ผ่านเทคโนโลยีสุดล้ำสมัยในทุกขั้นตอนกระบวนการผลิต ทำให้นาฬิกาเปี่ยมด้วยสมรรถนะขั้นสูงสุด รวมถึงความเที่ยงตรงแม่นยำ และความทนทานต่อแรงกระแทก

ริชาร์ด มิลล์ ได้แรงบันดาลใจในการออกแบบนาฬิกา มาจากการดีไซน์ตัวถังและเครื่องยนต์ของรถแข่งฟอร์มูล่าวัน สำหรับซีรีย์ล่าสุดนี้มีชื่อรหัสว่า RM 61-01 Ultimate Edition (อัลทิเมท เอดิชั่น) ด้วยดีไซน์แปลกตาจากการใช้ตัวเรือนตอนโนที่มีลักษณะอสมมาตร (ลักษณะของสี่เหลี่ยมที่ด้านไม่เสมอกัน) วัสดุตัวเรือนชิ้นหน้าและชิ้นหลังมีลวดลายสวยงามแปลกตาในเนื้อผิว โดยวัสดุสมัยใหม่ที่มีองค์ประกอบหลักเป็นซิลิกา

ซึ่งวัสดุดังกล่าวได้แก่ Quartz TPT® (ควอตซ์ ทีพีที) ความหนาไม่เกิน 45.0 ไมครอนผสานเข้ากับวัสดุ Carbon TPT® (คาร์บอน ทีพีที) ด้วยเทคนิคชั้นสูง ทำให้เกิดโทนสีเทาที่ปรากฏริ้วลายสีเข้มบนผิววัสดุ โดยริ้วลายเหล่านี้ จะแตกต่างกันไปในนาฬิกาแต่ละเรือน ในส่วนของตัวเรือนชิ้นกลางนั้น ทำจาก TZP Ceramic (ทีซีร์พี เซรามิก) มีสีดำและมีความคงทนเป็นเลิศ ตัวเม็ดมะยมก็ทำจากวัสดุ Carbon TPT® เช่นกันโดยมีการสวมปลอกสีดำที่ทำจากวัสดุ Alcryn®  (อัลคริน) เพื่อความกระชับในขณะหมุน

ทำงานด้วยระบบกลไกชนิดโครง Skeleton (สเกเลตัน) ลักษณะเหมือนสะพานทอดผ่านระหว่างหน้าปัด ทำหน้าที่เสมือนดีไซน์ลวดลายของหน้าปัด ใช้ตัวเครื่องกลไกแบบ Cal.RMUL2 ขนาด 50.23 x 42.7 มิลลิเมตร หนา 15.84 มิลลิเมตร ผนึกแผ่นแซพไฟร์คริสตัลทั้งด้านหน้าและด้านหลัง พร้อมเคลือบสารป้องกันแสงสะท้อนให้กับทั้ง 2 ฝั่งของกระจก กลไกขึ้นลานด้วยมือ ตลับลานคู่ สำรองพลังงานได้ 55 ชั่วโมง แสดงเวลาแบบ 3 เข็มด้วยความถี่การทำงาน 28,800 ครั้ง/ชั่วโมง

ด้วยกลไกการผลิตสุดพิเศษเหล่านี้ ทำให้นาฬิการุ่นนี้ มีน้ำหนักเบาและทนทาน พิสูจน์ได้จากน้ำหนักเพียง 4.3 กรัมโดยประมาณ โดยมีความสามารถในการต้านทานแรงสั่นสะเทือนได้มากกว่า  5,000 จีส์ กันน้ำได้ 50 เมตร นาฬิการุ่นพิเศษนี้ ผลิตออกมาเพียง 150 เรือนเท่านั้น ซึ่งเป็นรุ่นสุดท้ายของซีรีย์ RM 61-01 ที่ได้ถือกำเนิดมาเป็นระยะเวลา 6 ปี นับตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 2014 ราคาจำหน่ายถูกกำหนดไว้ที่ 155,310 ยูโร หรือราว ๆ 5.75 ล้านบาท

 

2. HUBLOT SPIRIT OF BIG BANG MECA-10

Hublot (อูโบลต์) เป็นหนึ่งในแบรนด์นาฬิกาหรู ก่อตั้งในประเทศสวิสเซอร์แลนด์ โดยชายชาวอิตาเลียน นามว่า คาร์โล คร็อคโค่ (Carlo Crocco) ในปี ค.ศ. 1980 เขาเป็นผู้บุกเบิกการเอาแผ่นยางธรรมชาติ มาประดิษฐ์เป็นสายนาฬิกาข้อมือเพื่อใช้กับนาฬิกาตัวเรือนทองคำ ซึ่งเป็นแนวความคิดที่ไม่เคยมีใครกล้าทำมาก่อน ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก เป็นที่มาของปรัชญา “The Art of Fusion” หรือ “ศิลปะแนวผสมผสาน”

สำหรับในปี 2020 นี้ ทางอูโบลต์ ได้นำพื้นฐานกลไกอันล้ำเลิศ มาทำการสร้างสรรค์ใหม่ ในโครงร่างรูปทรงที่เหมาะกับการบรรจุไว้ในตัวเรือนทรง Tonneau (ตอนโน) หรือที่เรียกกันอย่างไม่เป็นทางการว่า “ทรงถังเบียร์” จนเป็นจุดกำเนิดของ Spirit of Big Bang Meca-10 (สปิริต ออฟ บิ๊ก แบง เมกาเท็น) รุ่นล่าสุดนี้

จุดเด่นของนาฬิการุ่นนี้ คือพลังงานสำรองที่ยาวนานถึง 10 วันของเครื่องตระกูล  Meca-10 ซึ่งถือกำเนิดมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2014 เป็นการใช้ตลับลานขนาดใหญ่ 2 ชุด อีกทั้งระบบกลไกแสดงพลังงานสำรอง Rack and Pinion (แร็ค แอนด์ พิเนียน) อันเป็นรูปแบบการทำงานที่ประสานกันระหว่างราวและเฟือง พร้อมด้วยโครงสร้างแบบ Skeleton ใช้ตัวเครื่องกลไกรหัส Cal.HUB1233

ดีไซน์ของตัวเรือน ขนาด 45.0 มิลลิเมตร หนา 14.45 มิลลิเมตร ทั้งขอบตัวเรือนทรงตอนโนเน้นเหลี่ยมสันซึ่งยึดด้วยสกรูของ Hublot ที่มีหัวคล้ายอักษร ‘H’ จำนวน 6 ชิ้น และมีสกรูบริเวณส่วนขาของตัวเรือนอีกฝั่งละ 2 ชิ้น เม็ดมะยมขนาดใหญ่ที่มอบทั้งความง่ายต่อการใช้งานและภาพลักษณ์ความเป็นนาฬิกาสปอร์ต จับคู่มากับสายยางสีดำที่เซาะผิวเป็นแนวร่องยาวตลอดเส้น

เปิดตัวมาทั้งหมด 3 เวอร์ชั่น คือ รุ่นตัวเรือนไทเทเนียม รหัส Ref.614.NX.1170.RX ที่ใช้หลักชั่วโมงและเข็มสีเงิน ราคาอยู่ที่ 22,700 ยูโร หรือราว 840,000 บาท รุ่นตัวเรือน ‘King Gold’ (คิง โกลด์) 18K ราคา 43,500 ยูโร หรือราว 1.6 ล้านบาท และรุ่น Black Magic รหัส Ref.614.CI.1170.RX ตัวเรือนเซรามิกดำ หลักชั่วโมงและเข็มสีเงิน ราคา 26,900 ยูโร หรือราว 995,000 บาท

 

3. TAG HEUER MONACO 2009-2019 LIMITED EDITION

TAG Heuer (แท็ก ฮอยเออร์) เป็นแบรนด์นาฬิกาสัญชาติสวิส ที่มีชื่อเสียงในเรื่องของนาฬิกาจับเวลา ในการแข่งขันรถยนต์ จนได้รับการขนานนามว่าเป็น Avant-garde ซึ่งมีความหมายว่า “นักคิดค้นแห่งการจับเวลา” โดย Jack Heuer ได้ทำการออกแบบนาฬิกาโครโนกราฟ ที่ขึ้นชื่อถึงความแม่นยำในการบอกเวลา ซึ่งสามารถจับเวลาที่ละเอียดได้ในระดับเสี้ยววินาที เอกลักษณ์ของนาฬิกาโครโนกราฟ คือการมี 3 หน้าปัดย่อยอยู่บนหน้าปัดหลัก ซึ่งออกแบบมาสำหรับนักแข่งรถโดยเฉพาะ

สำหรับ TAG Heuer Monaco รุ่นนี้ เป็น 1 ใน 4 ของคอลเล็กชั่นนาฬิการุ่นเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี ของนาฬิการุ่น “Monaco” นาฬิกาจับเวลากลไกอัตโนมัติรุ่นแรกของโลก ซึ่งแบ่งออกเป็น 5 ช่วงทศวรรษ เริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ. 1969-1979 , 1979-1989 , 1989-1999 , 1999-2009 และช่วงปีสุดท้าย 2009-2019

ตัวเรือนทำจากวัสดุ stainless steel เน้นความเคร่งขรึม เรียบง่าย ทรงสี่เหลี่ยมรมดำ หน้าปัดสี charcoal หน้าปัดย่อยสี่เหลี่ยมซ้ายขวาตรงตำแหน่ง 3 และ 9 นาฬิกาพร้อมชุดเข็มจับเวลาสีแดง รวมถึงแถบสีแดงบนมาร์กเกอร์ตรงตำแหน่ง 12 นาฬิกา ช่องวันที่ตรงตำแหน่ง 6 นาฬิกา เม็ดมะยมอยู่ด้านซ้ายอันเป็นเอกลักษณ์ของ Monaco และปุ่มกดจับเวลาอยู่ด้านขวาของตัวเรือน

การผสมผสานระหว่างความเป็นวินเทจในยุค 70 กับสีแดงโดดเด่นของชุดเข็มจับเวลาสีแดง รวมถึงแถบสีแดงบนมาร์กเกอร์ แบบในยุค 80 ฝาหลังปิดทึบสลักโลโก้ “Heuer Monaco” และ “One of 169” สามารถกันน้ำลึกได้ 100 เมตร ขับเคลื่อนด้วยกลไกจับเวลาอัตโนมัติ Tag Heuer Cal.11 สำรองพลังงานได้ 40 ชั่วโมง มาพร้อมกับสายหนังวัวสีดำให้อารมณ์สปอร์ตยุค 1970s โดยผลิตแบบจำนวนจำกัด เพียง 169 เรือน ราคาอยู่ที่ 6,650 USD หรือประมาณ 207,800 บาท

 

4. PATEK PHILIPPE MINUTE REPEATER TOURBILLON Ref.5303R

 Patek Philippe (ปาเต็ก ฟิลิปป์) อีกหนึ่งแบรนด์นาฬิกาสวิส ที่ขึ้นแท่นเป็นนาฬิการะดับ Ultra-Luxury โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุง Geneva และ the Vallée de Joux เป็นบริษัทที่ทำการออกแบบและผลิตนาฬิกาอันเลอค่า รวมถึงกลไกนาฬิกาที่ถือได้ว่ามีความซับซ้อนมากที่สุด

สำหรับ Minute Repeater Tourbillon Ref.5303R รุ่นนี้ เคยปรากฏตัวครั้งแรกมาแล้ว ภายใต้รหัส 5303R-010 จากคอลเล็กชั่น Special Edition Singapore 2019 ซึ่งผลิตขึ้นมาเพียง 12 เรือนในโลกเท่านั้น มาในปีนี้ Patek Philippe นำนาฬิการุ่น 5303R มาผลิตอีกครั้ง โดยมีจุดเด่นคือการนำเอาฟังก์ชั่น Tourbillon กับ Minute Repeator ไว้ในเรือนเดียวกัน

ซึ่งความพิเศษอยู่ที่การโชว์กลไก Tourbillon Regulator (กลไกทูบิยอง) และกลไก Minute Repeator เอาไว้ที่ด้านหน้าปัด ทำให้สามารถมองเห็นการทำงานของทั้ง 2 ฟังก์ชั่น ในขณะสวมใส่นาฬิกาบนข้อมือได้เลย อีกทั้งเข็มชั่วโมง-นาที ที่ผลิตจากวัสดุทองคำ 18K ซึ่งฉลุเป็นรูปใบไม้และเคลือบ Lacquer สีดำ เหมือนกับขอบสเกลนาทีรอบหน้าปัดด้านใน

โดยปกติแล้ว กลไก Tourbillon Regulator จะอยู่ทางด้านหลังของนาฬิกา แต่สำหรับรุ่นนี้เลือกที่จะนำกลไกมาโชว์ไว้ด้านหน้า ตัวกระจกแชฟไฟร์บนหน้าปัดจึงมีการเคลือบสารป้องกัน UV เอาไว้ เป็นการป้องกันแสงแดด เนื่องจากแสงมีผลโดยตรงต่อสารหล่อลื่นของกลไกทูบิยอง อันถือเป็นความพิเศษของนาฬิการุ่นนี้โดยเฉพาะ

ตัวเรือนสี Rose Gold ขนาด 42 มิลลิเมตร หนา 12.13 มิลลิเมตร ด้านหน้าและด้านหลังเป็นแบบโปร่งใส เผยให้เห็นกลไกไขลาน cal.RTO27PS ความถี่ 21,600 ครั้ง/ชั่วโมง สำรองพลังงาน 40 ชั่วโมง มาพร้อมกับสายหนังจระเข้สีดำ ทางผู้ผลิตระบุว่า นาฬิการุ่นนี้ไม่สามารถกันน้ำได้ ยังไม่มีการระบุถึงราคาและวันที่จัดวางจำหน่ายอย่างแน่ชัด

 

5. ROLEX OYSTER PERPETUAL SUBMARINER

Rolex (โรเล็กซ์) คือแบรนด์นาฬิกาหรูจากสวิส ที่ได้รับความนิยม รวมทั้งได้รับการยอมรับมาช้านาน ในเรื่องคุณภาพและความเที่ยงตรงของกลไก จากการเป็นผู้ริเริ่มผลิตนาฬิกาข้อมือที่สามารถกันน้ำได้เรือนแรกของโลก รวมถึงกลไกการไขลานอัตโนมัติ จนปัจจุบัน ได้กลายมาเป็นตำนานแห่งนวัตกรรมการผลิตนาฬิกาข้อมือ ที่ร่วมเดินทางไปกับทุกความสำเร็จของผู้มีชื่อเสียงทั่วโลก ตั้งแต่การพิชิตยอดเขาที่สูงที่สุด จ้าวแห่งความเร็ว ไปจนถึงการดำดิ่งไปสู่ห้วงมหาสมุทรที่มีความลึกที่สุด

สำหรับในปี 2020 นี้ ถือเป็นการพลิกโฉมตัวเรือนและสายนาฬิกาในตระกูลคาลิเบอร์ 3200 Oyster Perpetual Submariner ซึ่งได้รับการปรับเปลี่ยนดีไซน์ใหม่ ให้มาพร้อมกับตัวเรือนขนาด 41 มิลลิเมตร ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่ารุ่นก่อนเล็กน้อย รวมสายนาฬิกาที่ปรับขนาดข้อต่อตรงกลางให้กว้างขึ้น

โดย Submariner รุ่นใหม่นี้โดดเด่นด้วยขอบหน้าปัด Cerachrom แบบหมุนได้ หน้าปัดสีดำ พร้อมสายนาฬิกา Oyster ข้อต่อแข็ง นาฬิการุ่น Submariner และ Submariner Date รุ่นล่าสุดยังคงความงดงามที่สืบทอดการออกแบบมาจากรุ่นดั้งเดิมที่เปิดตัวในปี 1953  ตัวขอบหน้าปัดผลิตจากเซรามิกที่แข็งแรง ทนทานต่อรอยขีดข่วน แคปซูลพรายน้ำบนมาร์คเกอร์เลขศูนย์ช่วยในเรื่องการอ่าน แม้ว่าจะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มืดมิด ขอบโค้งมนที่ได้รับการออกแบบเพื่อการยึดเกาะที่เป็นเลิศขณะอยู่ใต้น้ำ แม้จะสวมถุงมืออยู่

หน้าปัดพร้อมจอแสดง Chromalight นวัตกรรมที่ช่วยเพิ่มการมองเห็นในสภาพแวดล้อมอันมืดมิด พร้อมเข็มแสดงชั่วโมงในรูปทรงที่เรียบง่าย กว้าง ซึ่งช่วยในการอ่านเวลาได้ทันที และป้องกันการสับสนขณะอยู่ใต้น้ำ ตัวเรือนผลิตจาก Oystersteel ซึ่งเป็นอัลลอยด์ที่มีการนำมาใช้งานอย่างกว้างขวางในเทคโนโลยีชั้นสูง รวมถึงอุตสาหกรรมอวกาศ และอุตสาหกรรมเคมี มีคุณสมบัติทนทานต่อการสึกกร่อนสูง แม้ในสภาวะอากาศอันเลวร้าย

พร้อมด้วยระบบชุดตัวล็อค Oysterlock เพื่อป้องกันสายนาฬิกาเลื่อนเปิดออกโดยไม่ตั้งใจ และระบบ Glidelock อันชาญฉลาด สามารถปรับความสั้นยาวของนาฬิกาได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องใช้เครื่องมือใดช่วย อีกทั้งระบบกลไก calibre 3235 ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของความเที่ยงตรง ซึ่งมีส่วนประกอบของ นิกเกิล-ฟอสฟอรัส อันทนทานต่อแรงกระแทกและการแทรกแซงสนามแม่เหล็ก

แน่นอนว่า จุดเด่นของนาฬิการุ่น Submariner คือความสามารถในการต้านทานแรงดันน้ำได้ดี โดยนาฬิการุ่นนี้ มีคุณสมบัติกันน้ำได้ถึง ระดับ 300 เมตร (1,000 ฟุต) พลังงานสำรองอยู่ที่ 70 ชั่วโมง เป็นอีกหนึ่งรุ่น นาฬิกาผู้ชาย ที่ไม่ควรพลาดเป็นเจ้าของ โดยราคาจำหน่ายอยู่ที่ประมาณ 290,000 บาท

 

 

6. A. Lange & Söhne Lange 1 Moon Phase “25th Anniversary”

A. Lange & Söhne (อา. ลังเงอ อุนด์ โซเนอ) เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นหนึ่งในผู้ผลิตนาฬิกาคุณภาพสูงที่ดีที่สุดแบรนด์หนึ่งจากเยอรมัน ก่อตั้งขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1845 โดย เฟอร์ดินานด์ อดอล์ฟ ลังเงอ (Ferdinand Adolph Lange) ณ เมืองเล็ก ๆ นามว่า Glashütte อันแทบไม่มีใครรู้จัก เขาลงหลักปักฐานก่อตั้งโรงงานผลิตนาฬิกาภายใต้ชื่อ A.Lange & Söhne ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นสมาชิกราชวงศ์ในยุโรป รวมถึงผู้มีชื่อเสียงในแวดวงสังคมชั้นสูง

ซึ่งปี 2020 นี้ เป็นปีสำคัญ ฉลองครบรอบ 25 ปีของนาฬิกาคอลเล็กชั่น Lange 1 ซึ่งเป็นหนึ่งในนาฬิกา 4 รุ่น ที่ใช้ในการเปิดตัวบริษัทครั้งใหม่ เมื่อปี ค.ศ. 1994 หลังจากที่เยอรมนีรวมชาติแล้ว ถือได้ว่าเป็นหน้าเป็นตาของนาฬิกาแบรนด์นี้ เป็นที่จดจำโดยทั่วไป โดยการจัดวางหน้าปัดแบบอสมมาตรที่มีเข็มบอกเวลาแบบเยื้องจุดศูนย์กลางและหน้าต่างวันที่คู่แบบที่ทางแบรนด์เรียกชื่อว่าเอาท์ไซส์เดท (Outside Date)

สำหรับนาฬิการุ่นพิเศษนี้ ถูกผลิตออกมาเพียงแค่ 25 เรือน มีการพิมพ์ตัวอักษรบนหน้าปัดด้วยสีฟ้า เช่นเดียวกันกับเลขวันที่บนจาน และบาลานซ์ค็อกของนาฬิกาชุดนี้จะแกะสลักเป็นรูปหน้าต่างวันที่เอาท์ไซส์เดทพร้อมเลข 25 อยู่ข้างใน นี่ถือเป็นครั้งแรกด้วยที่ A. Lange & Söhne ถมสีฟ้าตามร่องของงานแกะสลักเพื่อเน้นให้เห็นลวดลายได้อย่างชัดเจนที่สุด

ตัวเรือนผลิตจากวัสดุทองคำขาว 18K ขนาด 38.5 มิลลิเมตร หนา 10.2 มิลลิเมตร หน้าปัดสีเงินผลิตจากวัสดุ Solid Silver ขัดแต่งแบบพ่นทราย จัดวางหน้าปัดสมมาตรแบบเยื้องศูนย์ โดยมี Sub dial บอกเวลา วันที่แบบ Big date และเข็มบอกพลังงานสำรอง หน้าต่างบอกข้างขึ้นข้างแรม (Moon phase) อยู่ใน sub dial เดียวกับเข็มวินาที โดยเข็มทั้งหมดผลิตจาก Blue Steel เข้ากับมาร์กเกอร์และตัวอักษรต่างๆบนหน้าปัด ด้วยวิธีการพิมพ์หมึกสีน้ำเงิน

ความพิเศษของนาฬิการุ่นนี้คือ Moon Phase ที่มีความซับซ้อนสูงมาก ด้วยการแยกชิ้นส่วนระหว่างจานพระจันทร์และจานท้องฟ้าออกจากกัน โดยจานพระจันทร์จะหมุนตามข้างขึ้นข้างแรม ส่วนจานท้องฟ้าจะหมุนบอกเวลากลางวันและกลางคืน (ท้องฟ้าสีฟ้าอ่อนคือกลางวัน , ท้องฟ้าสีฟ้าเข้มพร้อมหมู่ดาว คือกลางคืน)
ฝาหลังทองคำขาว ยึดด้วยตัวน็อตพร้อมกระจกใสแซฟไฟร์ โชว์กลไกไขลาน in-house Cal.L212.3 ขัดแต่งลวดลาย Cote De Deneva Strip และใช้ตัวน็อตสีน้ำเงิน เพื่อความแข็งแรงและสวยงาม สามารถสำรองพลังงานได้ 72 ชั่วโมง กันน้ำได้ 30 เมตร มาพร้อมกับสายหนังจระเข้สีน้ำเงิน และตัวล็อคผลิตจากทองคำขาว 18K ราคาจำหน่ายอยู่ที่ประมาณ 1,603,000 บาท

7. Breitling Chronomat B01 42 Collection 2020

Breitling (ไบร์ทลิ่ง) นาฬิกาแห่งอากาศยานสุดเท่ ได้รับการพัฒนาอุปกรณ์คำนวนและการจับเวลาสำหรับติดตั้งบนเครื่องบินอย่างต่อเนื่อง จนได้รับการขนานนามในฐานะเป็นผู้ชำนาญด้านอุปกรณ์จับเวลาและนาฬิกาสำหรับนักบิน นาฬิกาของ Breitling ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ด้วยประสบการณ์นานนับศตวรรษ จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของวงการการบินและการกีฬามาจนถึงปัจจุบัน ด้วยนาฬิการะบบจักรกลที่สามารถเดินได้อย่างเที่ยงตรง

นาฬิกาจับเวลาในคอลเล็กชั่น Chronomat เปิดตัวครั้งแรกในปี 1984 โดยได้แรงบันดาลใจจากนาฬิกา ‘Frecce Tricolori’ ที่ Breitling ผลิตให้กับฝูงบินผาดแผลงของอิตาลีในปี ค.ศ. 1983 ด้วยรูปลักษณ์ที่หรูหราแต่แฝงไว้ด้วยความสปอร์ต นาฬิการุ่นนี้จึงได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว  ตอกย้ำความเป็นผู้นำในการพัฒนาและผลิตนาฬิกาสำหรับการบินสมัยใหม่อย่างชัดเจน เป็น นาฬิกาผู้ชาย แบรนด์ดังระดับโลกรายเดียวที่ได้รับประกาศนียบัตรรับรองโครโนมิเตอร์ (Chronometer) ซึ่งได้รับการยอมรับถึงความเที่ยงตรง

นาฬิกาผู้ชาย Breitling Chronomat B01 42 รุ่นใหม่ ที่เปิดตัวในปี 2020 นี้ ตัวเรือนมีขนาด 42 x 15.10 มิลลิเมตร หน้าปัดใช้หลักชั่วโมงแบบขีด โดยมีการนำรายละเอียดของนาฬิการุ่นแรกจากยุค 1980s กลับมาอีกครั้ง เม็ดมะยมทรงมะเฟืองสุดคลาสสิค หน้าปัดย่อยในการบันทึกแบบจับเวลา Tri-Compax บันทึกค่าเวลาอย่างต่อเนื่อง 30 นาทีและ 12 ชั่วโมง มีหน้าต่างวันที่ซ่อนเอาไว้ที่หน้าปัดย่อยตรงตำแหน่ง 6 นาฬิกาอย่างแนบเนียน และสเกล Tachymeter ที่ขอบหน้าปัด

หน้าปัดมีหลายสี แตกต่างกันไปตามวัสดุที่ผลิต ทั้ง Stainless Steel , หน้าปัดแบบ 2 สี Two-Tone (Steel + Rose Gold 18K) ใช้สายนาฬิกาแบบ “Rouleaux” เหมือนรุ่นดั้งเดิมในยุค 1980s และสายยางในรุ่นตัวเรือนแบบ  Rose Gold 18K กระจกหน้าปัดแบบแซฟไฟร์ เคลือบตัดแสงสะท้อนทั้งด้านในและด้านนอก

ฝาหลังขันเกลียวแบบโปร่งใส โชว์กลไก Automatic Chronograph แบบ In-House Cal.Breitling 01 พลังงานสำรองอยู่ที่ 70 ชั่วโมง บอกเวลาชั่วโมง นาทีและวินาที โดยจับเวลาได้ละเอียดถึง  ¼ วินาที  ต่อเนื่องสูงสุด 12 ชั่วโมง อีกทั้งยังสามารถกันน้ำได้ถึงระดับความลึก 200 เมตร ราคาจำหน่ายอยู่ที่ประมาณ 251,000 บาท สำหรับในรุ่น stainless steel , ราคา 289,000 – 375,000 บาท สำหรับรุ่น Two-Tone และ 627,000 บาท ในรุ่น Rose Gold 18K สายข้อมือยางสีดำ

 

 

8. Audemars Piguet [Re]master01 Selfwinding Chronograph

Audemars Piguet (โอเดอมาร์ส ปิเกต์) แบรนด์นาฬิกาชั้นสูงอันเก่าแก่จากสวิสเซอร์แลนด์ กำเนิดเมื่อปี ค.ศ. 1875 ด้วยความร่วมมือของช่างนาฬิกาวัย 23 ปี นามว่า Jules-Louis Audemars (จูลส์-หลุยส์ โอเดอมาร์ส) และ หุ้นส่วนอายุ 21 ปี Edward August Piguet (เอ็ดวาร์ด -ออกัสต์ ปิเกต์) ผู้ซึ่งมีเจนารมณ์เดียวกัน ก่อเกิดแบรนด์ในตำนานที่กลายเป็นหนึ่งในผู้ผลิตเครื่องบอกเวลาระดับสูงของโลก เป็นอันดับ 3 รองจาก Patek Philippe และ Vacheron Constantin ในฐานะนาฬิกาที่ประณีตที่สุด

ในปี 2020 นี้ ทางแบรนด์ ได้ทำการเปิดตัวนาฬิการุ่นใหม่ ที่เป็นการนำเอานาฬิกา Ref.1533 นาฬิกาโครโนกราฟรุ่นคลาสสิคในอดีต มาทำการปัดฝุ่น เนรมิตขึ้นมาใหม่ โดยให้ชื่อรุ่นว่า (Re)master01 Selfwinding Chronograph (รี)มาสเตอร์ ซีโรวัน เซลฟ์วายน์ดิง โครโนกราฟ) ซึ่งเวอร์ชั่นเปิดตัวนี้ ใช้ตัวเรือน Stainless Steel ร่วมกับขอบตัวเรือน ปุ่มกด และเม็ดมะยมที่เป็นสีทองอมชมพู ขนาด 18K รวมถึงหน้าปัดสีทอง สายข้อมือตัดเย็บจากหนังวัวสีน้ำตาลอ่อนตัดกับด้ายเย็บสีขาวเข้ากันอย่างลงตัว

ซ้าย : Ref.1533 รุ่นปี 1943 ขวา : Ref.26595SR.OO.A032VE.01 รุ่นล่าสุด

ซ้าย : Ref.1533 รุ่นปี 1943 ขวา : Ref.26595SR.OO.A032VE.01 รุ่นล่าสุด

ทางAudemars Piguet ได้ผนวกเทคโนโลยีล่าสุดในการผลิตนาฬิกา ทั้งในด้านของศาสตร์การออกแบบ เทคนิคกลไกและวัสดุ รวมไว้ในนาฬิการุ่นใหม่นี้อย่างครบถ้วน ตัวเรือนมีขนาดใหญ่กว่ารุ่นเก่า จาก 36 มิลลิเมตร เป็น 40 มิลลิเมตร เพื่อให้เหมาะสมกับการสวมใส่ใช้งานในปัจจุบัน

หน้าปัดและพื้นที่หน้าปัดที่เคยแบนราบ ถูกดีไซน์ให้มีมิติเพิ่มขึ้นอย่างงดงาม รายละเอียดบนหน้าปัดที่ทำออกได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็น รูปแบบของสเกล หลักชั่วโมง และฟอนต์ตัวเลขสไตล์ ‘Art Déco’ (อาร์ต เดโค) สีดำ ตัวเลข 4l5 สีแดงในวงนาทีจับเวลา ไปจนถึงรูปทรงและสีเข็ม ซึ่งทั้งหมดยังคงกลิ่นอายของรุ่นดั้งเดิมไว้ไม่มีผิดเพี้ยน รวมทั้งชื่อแบรนด์บนหน้าปัด ที่ระบุว่า “Audemars, Piguet & Co Genève” เพิ่มเสน่ห์ด้วยการใช้สีน้ำเงินกับสเกล “Tachymetric” (ทาคีเมตริก) รวมถึงข้อความ “Swiss Made” ด้วย

นาฬิกาผู้ชาย รุ่นนี้ ถูกกำหนดตัวรหัสประจำรุ่นเป็น Ref.26595SR.OO.A032VE.01 ซึ่งจะผลิตจำนวนจำกัดเพียงแค่ 500 เรือนเท่านั้น กลไก Cal.4409 ที่บรรจุอยู่ใน (Re)master01 เป็นเครื่อง ‘In-house’ เจเนอเรชั่นล่าสุดของ Audemars Piguet ความเลิศของคาลิเบรอนี้ก็คือ การผสานกลไกโครโนกราฟจับเวลาสูงสุด 12 ชั่วโมง ระบบ ‘Column-wheel’ (คอลัมน์วีล) พร้อมฟังก์ชัน ‘Flyback’ (ฟลายแบ็ก)

ความถี่ในการทำงานของกลไกอยู่ที่ 28,800 ครั้ง/ชั่วโมง กำลังสำรอง 70 ชั่วโมง ขึ้นลานอัตโนมัติ ทางฝาหลังของหน้าปัดกรุด้วยแซพไฟร์คริสตัล เพื่อชื่นชมกับความงามของกลไกได้อย่างเต็มตา พร้อมทั้งเคลือบสารป้องกันแสงสะท้อนบนพื้นผิว และทำหน้าที่ป้องกันกลไกไม่ให้แสงตกกระทบโดยตรง ราคาจำหน่ายถูกตั้งออกมาไว้ที่ประมาณ 53,100 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1.75 ล้านบาท

 

9. Panerai Luminor Marina Carbotech™ PAM1661

Penarai (พาเนอราย) จุดเริ่มต้นของแบรนด์ เริ่มต้นเมื่อ ปี ค.ศ. 1860 ณ เมืองฟลอเรนซ์ (Florence) ประเทศอิตาลี โดย จิโอวานนี พาเนอราย (Giovanni Panerai) ซึ่งเขาได้ทำการเปิดร้านนาฬิกาขึ้นมา ภายใต้ชื่อ “Orologeria G.Panerai & Co.” จุดเด่นของนาฬิกายี่ห้อนี้ คือความแข็งแกร่งและเหมาะกับการดำน้ำ เนื่องจากแต่เดิม เคยเป็นผู้ผลิตนาฬิกาให้กับกองทัพเรืออิตาลีอย่างเป็นทางการมาเป็นเวลานาน

ในปีนี้ ทาง Penarai ได้นำวัสดุ  Carbotech™ (วัสดุที่ทางแบรนด์คิดค้นขึ้นเป็นพิเศษ คือการนำ Carbon fiber มาผ่านกรรมวิธีหลอมรวมกับ Polymer ชนิดพิเศษ มีคุณสมบัติเบาและเหนียว ทนการกัดกร่อนของน้ำทะเลเป็นอย่างดี) มาใช้กับนาฬิกา Luminor Marina รุ่นนี้ ตัวเรือนมีขนาด 44 มิลลิเมตร ความหนา 14.5 มิลลิเมตร ซึ่งเป็นขนาดมาตรฐาน ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของแบรนด์ มาพร้อมกับน้ำหนักเบา เพียง 96 กรัมเท่านั้น

ตัวหน้าปัด รวมถึงชุดเข็มบอกเวลา เป็นสีดำด้าน มาร์กเกอร์แบบ Sandwich หยอดสารเรืองแสง Super-Luminova สีฟ้ามองเห็นได้อย่างชัดเจนทั้งในที่มืดและสว่าง ช่องวันที่ตรงตำแหน่ง 3 นาฬิกา เม็ดมะยมและ crown guard แบบกระเดื่องที่เป็นเอกลักษณ์ของ Panerai ใช้วัสดุ Carbotech™ พร้อมทั้งกระจกหน้าปัด sapphire กันรอยขีดข่วน

ฝาหลังขันเกลียว ปิดทึบโดยใช้วัสดุ Titanium เคลือบ PVD สีดำ ขับเคลื่อนด้วยกลไกอัตโนมัติแบบ in-house Cal.P.9010 ความถี่ 28,800 ครั้ง/ชั่วโมง สำรองพลังงานได้3 วัน หรือ 72 ชั่วโมงด้วยตลับลานคู่ ตัวสายข้อมือทำจากวัสดุสายผ้า ผสมกับยาง Sportech™ เย็บด้วยด้ายสีฟ้าเฉดสีเดียวกันกับสารเรืองแสงที่ปรากฏบนหน้าปัด สำหรับนาฬิการุ่นนี้ วางจำหน่ายภายใต้รหัสรุ่น Ref.PAM01661 เมื่อเดือน กุมภาพันธ์ 2020 ราคาอยู่ที่ 420,000 บาท 

 

 

10. OMEGA SEAMASTER AQUA TERRA

OMEGA (โอเมก้า) แบรนด์นาฬิกาหรูสัญชาติสวิส ถือกำเนิดใน ปี ค.ศ. 1848 ผู้ก่อตั้ง คือ Louis Brandt (หลุยส์ แบรนด์) ณ เมือง La Chaux-de-Fonds ประเทศสวิตเซอร์แลนด์  ซึ่งในขณะที่เขามีอายุเพียง 23 ปี โดย Louis Brandt เริ่มต้นสร้างชื่อเสียงมาจากการประกอบนาฬิกาพกพา จากชิ้นส่วนของนักประดิษฐ์ในท้องถิ่น หลังจากนั้นผลงานของเขาก็ค่อย ๆ เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น

ในปี 2020 นี้ ทาง OMEGA ได้เปิดตัวนาฬิกาสปอร์ตคลาสสิค รุ่น Seamaster Aqua Terra (ซีมาสเตอร์ อควา เทอร์รา) แบบหน้าปัดใหม่ ทั้งแบบสีเขียวซึ่งเป็นโทนสีที่ไม่เคยมีมาก่อนในรุ่นนี้ กับสีน้ำเงินสไตล์ที่ใหม่ ที่ดูเรียบง่ายแต่หรูหราลึกลับ อบอวลไปด้วยเสน่ห์ของนาฬิการุ่นนี้ ที่เปิดตัวครั้งแรกตั้งแต่ปี 2017  ตัวเรือนมีขนาด 41 มิลลิเมตร ผนึกกระจกแซฟไฟร์คริสตัลซึ่งเคลือบสารป้องกันแสงสะท้อนไว้ทั้ง 2 ฝั่ง เม็ดมะยมชนิดล็อคเกลียว รวมถึงความสามารถในการกันน้ำได้ลึกถึง 150 เมตร

การออกแบบลวดลายเส้นตามแนวขวางบนหน้าปัด ได้รับแรงบันดาลใจมาจากพื้นไม้ของดาดฟ้าเรือ ทั้งนี้ เพื่อเป็นการสะท้อนถึงความเป็นนาฬิกาเพื่อกิจกรรมทางน้ำ รวมถึงการอ่านค่าเวลาแบบ 3 เข็ม ที่อ่านค่าร่วมกับหลักชั่วโมง เข็มนาทีและเข็มวินาทีทุกชิ้นถูกเคลือบด้วยสารเรืองแสง “Super-LumiNova” (ซูเปอร์ลูมิโนวา) เพื่อความชัดเจนในทุกสภาพแสง โดยถูกออกแบบมาในรูปทรงของสี่เหลี่ยมคางหมู

ขับเคลื่อนด้วยกลไกขึ้นลานแบบอัตโนมัติ in-house Cal.8900 ความถี่การทำงาน 25,200 ครั้ง/ชั่วโมง สำรองพลังงานได้ 60 ชั่วโมง ความสามารถในการต้านทานการรบกวนของสนามแม่เหล็กได้ถึง 15,000 เกาส์ การรับรองคุณภาพตามมาตรฐาน ‘Master Chronometer’ ของสถาบัน ‘METAS’ (เมทาส) ซึ่งมีมาตรฐานความแม่นยำระดับโครโนมิเตอร์ของ COSC สำหรับสายข้อมือมีให้เลือกทั้งแบบสายหนังจระเข้โทนสีเดียวกับหน้าปัดพร้อมตัวล็อกชนิดปีกผีเสื้อ และแบบสายสเตนเลสสตีล

ตัวเรือนสเตนเลสสตีล หน้าปัดลาย ‘Sun-brushed’ (ซันบรัชด์) ติดตั้งชิ้นหลักชั่วโมงและใช้เข็มเคลือบโรเดียม ทั้งเวอร์ชั่นสีเขียวซึ่งเป็นสีใหม่ และเวอร์ชั่นสีน้ำเงินที่คราวนี้มากับสเกล ตัวเลข และตัวอักษรสีขาวล้วน ไม่มีการแต้มสีฟ้าบนปลายเข็มวินาที เฉกเช่นรุ่นก่อน ๆ ราคาจำหน่ายของนาฬิการุ่นนี้ สำหรับสายหนังจระเข้อยู่ที่ 188,000 บาท และสายสเตนเลสสตีล อยู่ที่ 199,000 บาท 

การสวมใส่นาฬิกาที่ใช่ ช่วยบ่งบอกสไตล์ความเป็นตัวตนของคุณ อีกทั้งยังช่วยเสริมบุคลิคและเสริมความมั่นใจได้เป็นอย่างดี นาฬิกาผู้ชาย ที่ดูดีและเหมาะสม จะช่วยเสริมในด้านการบริหารเสน่ห์ ให้ดูน่าหลงไหลและน่ามอง การเลือกนาฬิกาสักเรือน มาเป็นเพื่อนคู่กายนั้น เปรียบเสมือนการเลือกเสื้อผ้าสักชุด สำหรับหนุ่ม ๆ ที่กำลังมองหาเครื่องประดับหรือ Accessories ต้องการปลดปล่อยความเป็นตัวตนออกมา สิ่งสำคัญที่ควรพิจารณาคือ ความเหมาะสม ซึ่งจะช่วยยกระดับความดูดีให้มากกว่าเดิม รวมถึงความคุ้มค่าของตัวเม็ดเงินที่เสียไป

รัก
xoxo

KATE