To top
25 Mar

เปิดประวัติ Bugatti กับความเป็น Supercar ระดับตำนาน

เปิดประวัติ Bugatti  “ไม่มีอะไรที่สวยงามเกินไป และไม่มีอะไรที่แพงเกินไป” (Nothing is too beautiful and nothing is too expensive) เป็นปรัชญาที่อยู่เคียงข้างแบรนด์รถยนต์สุดยอด Super car มาตลอด 113 ปี นับตั้งแต่ Ettore Bugatti ได้ก่อตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ เมื่อปี ค.ศ. 1909 หนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์ไฮเปอร์คาร์ที่ทรงเสน่ห์ที่สุด โดยการสร้างสรรค์รถสปอร์ต รถแข่ง รวมถึงรถยนต์หรูหรา ซึ่งขึ้นชื่อด้านความงามในการออกแบบและชัยชนะในการแข่งขันมากมาย

ปัจจุบัน รถยนต์ Bugatti (บูกัตติ) เป็นสัญลักษณ์ของความพิเศษ ความสง่างาม และสไตล์ที่หรูหรา ผสมผสานทั้งโซลูชั่นเทคโนโลยีที่โดดเด่นและการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ ในฐานะบริษัทในเครือ Volkswagen Group ซึ่งโด่งดังไปทั่วโลก แต่ระหว่างทางเดิน เป็นธรรมดาที่จะต้องพบกับอุปสรรค รวมถึงผลกระทบในช่วงสงคราม KATEXOXO จะพาคุณ เปิดประวัติ Bugatti เพื่อซึมซับจิตวิญญาณความเป็นสปอร์ต ที่ไหลเวียนอยู่ในสายเลือดของ Super Car สัญชาติฝรั่งเศส ภายใต้โลโก้วงรีสีแดง Bugatti

 

Ettore Bugatti

เปิดประวัติ Bugatti ผู้ก่อตั้งแบรนด์ คือ Ettore Bugatt (เอตโตเร บูกัตติ) มีชื่อเต็มว่า ETTORE ARCO ISIDORO BUGATTI  (เอตตอเร อาร์โก บูกัตติ) เกิดเมื่อวันที่ 15 กันยายน ปี ค.ศ. 1881 ที่เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี เป็นลูกชายคนโตในครอบครัวของจิตรกร บิดามีนามว่า CARLO BUGATTI (คาร์โล บูกัตติ) เป็นศิลปิน ดีไซเนอร์ นักออกแบบเครื่องประดับสไตล์อาร์ตนูโวคนสำคัญ และผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์ชื่อดังระดับประเทศ พี่ชายของเขา เรมแบรนดท์ ก็เป็นประติมากรที่มีความสามารถ

แต่ทว่า Ettore ไม่ได้หลงไหลในเรื่องของศิลปะหรือสนใจในเรื่องของประติมากรรมสักเท่าไหร่ สิ่งที่เขาใฝ่ฝันคือ การสร้างรถยนต์เป็นของตัวเอง เมื่ออายุได้ 17 ปี พ่อของเขาก็ให้การสนับสนุนเต็มที่ โดยการส่งเขาไปฝึกงานกับบริษัทผลิตจักรยานสามล้อชื่อดังอย่าง PRINETTE & STUCCI บริษัทนี้ผลิตจักรยานสามล้อและสี่ล้อ หรือที่เราเรียกว่ารถยนต์ในปัจจุบัน

Ettore Bugatti

Ettore Bugatti

หลังจากฝึกงานได้ไม่นาน เขาก็ได้สร้างปรากฏการณ์ที่เปลี่ยนแปลงบริษัทไปอย่างถาวร นั่นคือการจับเครื่องยนต์มาวางใส่ในรถจักรยานสามล้อ และนั่นได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของจักรยานสามล้อของบริษัท PRINETTE & STUCCI อีกทั้งยังได้นำเครื่องยนต์ดังกล่าว ไปทำการดัดแปลงเพิ่มเติม โดยตั้งชื่อว่า “TYPE ONE” และนำไปลงแข่งทันที

Bugatti "TYPE ONE"

Bugatti “TYPE ONE”

ผลงานของเขาในครั้งนั้น สร้างความประทับใจให้กับมหาเศรษฐีคนหนึ่ง นามว่า เคานต์ กูลิเนลลี (COUNT GULINELLI) ซึ่งหลังจากนั้น ได้ให้เงินลงทุนแก่ Ettore ใน ปี ค.ศ. 1901 การสร้างสรรค์รถยนต์คันใหม่ จึงได้ถือกำเนิด “TYPE TWO” รถยนต์ 4 ล้อ วางเครื่อง 3.1 ลิตร 4 สูบแถวเรียง กับน้ำหนักตัวถังเพียง 650 กิโลกรัม ทำความเร็วสูงสุดได้ 59.5 กิโลเมตร/ชั่วโมง ซึ่งได้ทำการเปิดตัวที่ประเทศฝรั่งเศส และผลงานในครั้งนั้น ทำให้ Ettore ได้รับรางวัล จาก ACF หรือ AUTOMOBILE CLUB DE FRANCE ชมรมรถยนต์ฝรั่งเศสทันที

Bugatti Type 2

Bugatti Type 2

การออกแบบของเขายังเตะตา อาเดรียน เดอ ทูร์คไฮม์ (Adrien de Turckheim) ซึ่งชายคนนี้ยังได้เสนอโอกาสให้ Ettore เข้ามาออกแบบรถยนต์ที่โรงงานผลิตรถยนต์ใน นีเดอร์บรอนน์ (Niederbronn) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1902 ถึงปี ค.ศ. 1904 เขาได้สร้างรถยนต์ Bugatti ขึ้นโดยระบุชื่อในเวลานั้นด้วยชื่อเดอ ดิททริช ไลเซิน บูกัตตี (De Dietric License Bugatti) และได้ตั้งศูนย์วิจัยเพื่อผลิตต้นแบบเครื่องยนต์หลายชิ้น โดยได้รับความร่วมมือกับ บริษัท ดอยซ์ (Deutz) รถที่เขาได้ออกแบบและสร้างนั้นมีมากมาย อาจกล่าวได้ว่า Ettore คือ เจ้าพ่อแห่งการสร้างสรรค์ยานยนต์อย่างแท้จริง

ผลงานความสำเร็จของเขา ก็ได้เตะตาต้องใจเจ้าของบริษัทผลิตรถยนต์ DE DIETRICH MOTOR นามว่า BARON DE DIETRICH โดย Baron ได้ทำการเซ็นสัญญากับ Ettore ซึ่งขณะนั้นมีอายุ 20 ปี ในตำแหน่งดีไซเนอร์และวิศวกรของบริษัท เป็นที่มาของ “TYPE 5” หรืออีกชื่อหนึ่งคือ “HERMES” ซึ่งมาพร้อมกับขุมพลังขนาด 12.9 ลิตร ตามมาด้วยรถยนต์รหัส TYPE 6 และ 7 ตามลำดับ ก่อนที่จะโดนซื้อตัวโดยบริษัท DEUTZ MOTOR COMPANY ใน ปี ค.ศ. 1907

Bugatti Type 5

Bugatti Type 5

หลังเข้าร่วมงานกับบริษัทใหม่ได้ไม่นาน Ettore ก็ไม่รอช้า สร้างสรรค์ผลงานต่อทันที ด้วยการออกแบบรถยนต์รหัส TYPE 8 และ 9 จนกระทั่งวันหนึ่ง ถึงจุดอิ่มตัว Ettore จึงเกิดความคิดว่า จะใช้ความรู้ความสามารถของตน ที่สั่งสมมาในอุตสาหกรรมผลิตยานยนต์ เพื่อเปิดบริษัทของตัวเอง และนั่นเป็นจุดกำเนิดของ “AUTOMOBILES ETTORE BUGATTI”

AUTOMOBILES ETTORE BUGATTI

ในปี ค.ศ. 1909 Ettore ตัดสินใจเปิดบริษัทเป็นของตัวเองเป็นครั้งแรก ในนาม AUTOMOBILES ETTORE BUGATTI ภายใต้แบรนด์ BUGATTI (บูกัตติ) Ettore ได้ทำการพัฒนารถยนต์รุ่นใหม่ ภายใต้รหัส TYPE 10 โดยใช้ต้นแบบโครงสร้างรถจากบริษัทเดิม DEUTZ แต่ทำการโมดิฟายด์ใหม่ทั้งหมด โดยมีโรงงานตั้งอยู่ที่เมืองมอลไซม์ (Molsheim) ของเยอรมัน ในภูมิภาคแอลเซส (Alsace) ซึ่งปัจจุบันเป็นประเทศฝรั่งเศส

TYPE 10 มาพร้อมขุมพลัง 1,200 CC 4 สูบ 10 แรงม้า กับน้ำหนักเพียง 365 กิลโลกรัม ด้วยความที่ตัวรถมีน้ำหนักเบา ทำให้อัตราเร่งทำความเร็วได้สูงสุด 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง TYPE 10 ถือเป็นการออกแบบที่เป็นอิสระครั้งแรกของเขาและเป็น Bugatti คันแรกซึ่งเป็นการประกาศกำเนิดของแบรนด์ และแชสซี Type 10 ก็ถือว่าประสบความสำเร็จและถูกนำมาใช้ในรุ่น Bugatti รุ่นต่อ ๆ มา

Bugatti Type 10

Bugatti Type 10

ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 Ettore ถูกเรียกตัวไปร่วมรบจากมิลานสู่ปารีส หลังสงครามสิ้นสุดลง โรงงานของเขาได้ย้ายจากเมือง Molsheim ประเทศเยอรมัน ไปสู่ เมือง Alsace ประเทศฝรั่งเศส อย่างเป็นทางการ Ettore ได้นำรถยนต์ออกแสดงในงาน Paris motor show ครั้งที่ 15 เมื่อเดือนตุลาคม ปี ค.ศ. 1919 โดยจัดแสดงรถยนต์น้ำหนักเบาสามคัน ทุกคันมีพื้นฐานมาจากรถในยุคก่อนสงคราม และแต่ละคันก็ติดตั้งเครื่องยนต์ 1,368 ซีซี บนเพลาลูกเบี้ยวเหนือศีรษะแบบเดียวกันพร้อมสี่วาล์วต่อสูบ

TYPE 13 คือรุ่นที่มีขนาดเล็กที่สุด ที่มีตัวถังแบบรถแข่ง ออกแบบโดย Bugatti ใช้แชสซีที่มีฐานล้อ 2,000 มม. (78.7 นิ้ว) อีก 2 รุ่นคือ “Type 22” และ “Type 23” ที่มีระยะฐานล้อ 2,250 และ 2,400 มม. (88.6 และ 94.5 นิ้ว) ตามลำดับ

Bugatti Type 13

Bugatti Type 13

บริษัทประสบความสำเร็จอย่างมาก เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย ในชื่อเสียงด้านการผลิตรถยนต์บนท้องถนนที่เร็วที่สุด หรูหราที่สุด และมีเทคโนโลยีขั้นสูงในยุคนั้น วิศวกรรมทางด้านยานยนต์ที่ยอดเยี่ยมนำไปสู่ความสำเร็จในการแข่งขันรถกรังปรีซ์ (Grand Prix motor racing) โดยเมื่อปี ค.ศ. 1929 Bugatti ได้เข้าร่วมแข่งขันในรายการ Monaco Grand Prix เป็นครั้งแรก การแข่งขันจบลงด้วยชัยชนะของ นักแข่งนามว่า Jean-Pierre Wimille ที่ชนะการแข่งขัน Le Mans 24 ชั่วโมง ซึ่งประสบความสำเร็จถึง 2 ปี (ในปี ค.ศ. 1937 กับ Robert Benoist และปี ค.ศ. 1939 กับ Pierre Veyron)

รถยนต์ Bugatti ประสบความสำเร็จอย่างมากในการแข่งรถ Bugatti Type 10 ตัวน้อยกวาดสี่อันดับแรกในการแข่งขันครั้งแรก ในปี ค.ศ. 1924 Bugatti Type 35 เป็นหนึ่งในรถแข่งที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด ซึ่งได้รับการพัฒนาโดย Bugatti โดยมีวิศวกรระดับปรมาจารย์และนักแข่งรถ Jean Chassagne ซึ่งลงแข่งครั้งแรกในงาน Grand Prix ที่เมือง Lyon ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม ปี ค.ศ. 1924

Type 35 เป็นรุ่นที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในรุ่นรถแข่งของ Bugatti โครงสร้างของหม้อน้ำที่มีทรงโค้งของ Bugatti ได้รับการพัฒนามาจากรถยนต์ Bugatti Type 13 Brescia รถยนต์ Type 35 ประสบความสำเร็จอย่างน่าอัศจรรย์ชนะการแข่งขันมากกว่า 1,000 ครั้งในเวลานั้น คว้าแชมป์โลกกรังด์ปรีซ์ในปี ค.ศ. 1926

หลังจากชนะการแข่งขัน 351 ครั้ง และสร้างสถิติ 47 รายการในสองปีก่อนหน้านี้ สถิติสูงสุดของรถยนต์ Type 35 เฉลี่ยชนะการแข่งขัน 14 ครั้งต่อสัปดาห์ และรถยนต์ Bugatti ใน Type 35 ได้รับรางวัล Targa Florio เป็นเวลาห้าปีติดต่อกันตั้งแต่ปี ค.ศ. 1925 ถึงปี ค.ศ. 1929

Bugatti Type 35

Bugatti Type 35

Bugatti กวาดชัยชนะใน Targa Florio การแข่งขันรถยนต์ที่จัดขึ้นบนภูเขาของ ซิซิลี ใกล้เมืองหลวงของเกาะ ปาแลร์โม (เป็นการแข่งขัน สปอร์ตคาร์ ที่เก่าแก่ที่สุดซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ World Sportscar Championship) เป็นเวลาห้าปีติดต่อกัน ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1925 จนถึงปี ค.ศ. 1929 แต่ความสำเร็จในการแข่งรถครั้งสุดท้ายที่เลอม็องเป็นที่จดจำมากที่สุด Jean-Pierre Wimille และ Pierre Veyron ชนะการแข่งขันในปี ค.ศ. 1939 ด้วยรถยนต์เพียงคันเดียว

 

The end of Ettore Bugatti’s Era

Ettore เข้าสู่ช่วงที่มืดมนที่สุดในชีวิต จากการเสียชีวิตของลูกชายคนโต Jean Bugatti เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม ปี ค.ศ. 1939 ในขณะที่ทำการทดสอบรถแข่งรุ่น  Type 57 tank-bodied racer  ซึ่งตัวเขาได้ออกแบบเองและเพิ่งแข่งชนะได้รางวัล 24 Hours of Le Mans ในปีนั้น อุบัติเหตุเกิดขึ้นจากจักรยานที่ขี่มาตัดหน้าระหว่างรถที่วิ่งมาด้วยความเร็ว ทำให้ Jean หักหลบอย่างกระทันหันและพุ่งชนต้นไม้เสียชีวิตทันทีในวัย 30 ปี ซึ่งการเสียชีวิตของเขาในครั้งนั้น นับว่าเป็นจุดเปลี่ยนของ Bugatti ก่อนที่จะก้าวสู่สงครามโลกครั้งที่ 2

Type 57 Atlantic มีแนวคิดพื้นฐานมาจากรถ Aérolithe ของปี ค.ศ. 1935 ซึ่งออกแบบโดยจีน บูกัตติ (Jean Bugatti) ตัวถังเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นวัสดุที่มีน้ำหนักเบาและทนทาน รถยนต์รุ่นนี้ได้รับการตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่เพื่อนของจีน บูกัตติ (Jean Bugatti) นักบินชาวฝรั่งเศส จีน เมอมอส (Jean Mermoz) หนึ่งในผู้บุกเบิกด้านการบินและเป็นคนแรกที่ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกใต้ทางอากาศ น่าเสียดายที่ในเดือนธันวาคมปี ค.ศ. 1936 เขาและลูกเรือของเขาตกลงไปในมหาสมุทรแอตแลนติกหลังจากเครื่องยนต์ขัดข้อง หลังจากได้ยินข่าวที่น่าเศร้า Jean Bugatti ได้เปลี่ยนชื่อรุ่นจาก Type 57 Aérolithe เป็น Type 57 Atlantic Coupé

Bugatti Type 57 chassis

Bugatti Type 57 chassis

ในปี ค.ศ. 1936 Ettore  ได้ทำการเปิดตัวรถยนต์รุ่น TYPE 57SC ATLANTIC ซึ่งใช้ตัวถังแบบ ALUMINIUM WELDING แต่ด้วยเทคโนโลยีที่มีจำกัดในสมัยนั้น ในเรื่องของการดัดอะลูมินัม ทีมวิศวกรของแบรนด์จึงนำตัวถังจำนวน 4 ชิ้นมาประกอบขึ้นเป็นเชสซีของรถรุ่นนี้ และนั่นทำให้มันกลายเป็น Signature และจุดเด่นของรถยนต์รุ่นนี้ไปโดยปริยาย

TYPE 57SC ATLANTIC

TYPE 57SC ATLANTIC

หลังเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้โรงงานที่ Molsheim พังยับเยิน และประสบปัญหาทางด้านการเงิน ในช่วงสงคราม Bugatti ได้วางแผนสร้างโรงงานแห่งใหม่ที่เมือง Levallois ชานเมืองทางตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงปารีส  Ettore ออกแบบและวางแผนที่จะสร้างรถยนต์หลายรุ่น รวมถึงรถรุ่น Type 73 และรถแข่งที่นั่งเดี่ยว Type 73C แต่สุดท้ายแล้ว ก็ทำการผลิตรถยนต์ TYPE 73 ได้เพียงแค่ 5 คัน

Bugatti Type 73

Bugatti Type 73

การพัฒนารถยนต์ซูเปอร์ชาร์จขนาด 375 ซีซี ซึ่งเป็นรถรุ่นใหม่ของ Bugatti ได้ถูกระงับลงกลางคัน เนื่องจาก Ettore Bugatti ได้เสียชีวิตลง เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม ปี ค.ศ. 1947 หลังจากเขาเสียชีวิต สถานภาพทางธุรกิจของบริษัทก็ถดถอยลงอีก โดยแบรนด์ Bugatti ได้ทำการจัดแสดงในฐานะธุรกิจของตัวเอง ที่งาน Paris Motor Show ในเดือนตุลาคม ปี ค.ศ. 1952 หลังจากประสบปัญหาด้านการเงินและสภาพคล่องมาเป็นเวลานาน จึงยุติบริษัทดั้งเดิม ภายใต้อาณาจักรของ Ettore Bugatti ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1952 เป็นต้นมา

 

Design

Bugatti ให้ความสำคัญกับการออกแบบอย่างเห็นได้ชัด บล็อกเครื่องยนต์ถูกขูดด้วยมือเพื่อให้แน่ใจว่าพื้นผิวเรียบ จนไม่จำเป็นต้องใช้ปะเก็นในการปิดผนึกพื้นผิวที่สัมผัส หลายส่วนของห้องเครื่องมีการตกแต่งแบบกิโยเช่ และ Safety Wires จะถูกร้อยเกลียวผ่านตัวยึดเกือบทุกตัว ในรูปแบบที่สลับซับซ้อน เพลาของ Bugatti ถูกดีไซน์มาเพื่อให้สปริงผ่านช่องเปิดขนาดใหญ่ในเพลา ซึ่งเป็นโซลูชันที่หรูหรากว่ามาก และใช้ชิ้นส่วนน้อยลง ทำให้เครื่องยนต์มีน้ำหนักเบา

 

Attempts at revival

ในช่วงกลางทศวรรษ 1950 Roland Bugatti ลูกชายอีกคนของ Ettore Bugatti  ได้พยายามที่จะฟื้นฟูสถานะของบริษัทให้กลับยืนขึ้นใหม่ ด้วยรถแข่ง TYPE 251 เครื่องยนต์วางกลาง โดยได้รับการออกแบบและช่วยเหลือจาก Gioacchino Colombo วิศวกรชาวอิตาลี แต่สุดท้ายแล้ว รถยนต์รุ่นนี้ไม่สามารถทำงานได้ดังที่คาดหวัง ความพยายามของบริษัท ในการผลิตรถยนต์ก็หยุดชะงักอีกครั้ง

Roland Bugatti

Roland Bugatti

ในปี ค.ศ. 1968 Roland จำใจต้องขายบริษัทให้กับบริษัท HISPANO-SUIZA อดีตผู้ผลิตรถยนต์ที่ผันตัวมาเป็นซัพพลายเออร์เครื่องบินเชื้อสายสเปน และมีบางส่วนที่ขายต่อให้กับ SNECMA บริษัทผู้ผลิตเครื่องยนต์สำหรับเครื่องบินรายใหญ่ของฝรั่งเศส แต่ภายหลังทั้ง HISPANO-SUIZA และ SNECMA นั้นได้รวมตัวกัน แล้วได้ตั้งชื่อบริษัทว่า MESSIER-BUGATTI ในปี ค.ศ. 1977

จากนั้นบริษัทก็ตกไปอยู่ในมือของ ROMANO ARTIOLI ซึ่งเป็นนักธุรกิจชาวอิตาลี และก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็น BUGATTI AUTOMOBILISPA ในช่วงนี้ก็เลยมี BUGATTI รุ่นใหม่เกิดขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งปี ค.ศ. 1987 Bugatti ถูกซื้อกิจการอีกครั้งโดย Romano Artioli นักธุรกิจและผู้ประกอบการชาวอิตาลี ก่อตั้งเป็น Bugatti Automobili S.p.A. Artioli ได้มอบหมายให้ Giampaolo Benedini สถาปนิกชาวอิตาลี เป็นผู้ออกแบบโรงงาน ซึ่งสร้างขึ้นในเมือง Modena ประเทศอิตาลี

การก่อสร้างโรงงานเริ่มต้นขึ้น เมื่อปี ค.ศ. 1988 ควบคู่ไปกับการพัฒนาโมเดลรถรุ่นแรก และทำการเปิดตัวในอีก 2 ปีต่อมา ในปี ค.ศ. 1990 รถยนต์รุ่นแรกที่เผยโฉมออกมาคือ Bugatti EB110 GT มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 3.5 ลิตร 5 วาล์วต่อสูบ เครื่องยนต์ 60° V12 สี่เทอร์โบชาร์จเจอร์ กระปุกเกียร์ 6 สปีด และระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ซึ่งออกแบบโดย Paolo Stanzani วิศวกรชาวอิตาลี แต่สุดท้ายแล้ว Stanzani เกิดขัดแย้งกับ Artioli ทำให้เขาถอนตัวออกจากโครงการไป

Bugatti EB110 GT

Bugatti EB110 GT

Artioli จึงได้ขอให้ Nicola Materazzi เข้ามาแทนที่ ในเดือนมิถุนายน ปี ค.ศ. 1990 โดย Materazzi เคยเป็นหัวหน้านักออกแบบของ Ferrari 288 GTO และ Ferrari F40 ได้เปลี่ยนแชสซีอะลูมิเนียมด้วยคาร์บอนไฟเบอร์ และยังเปลี่ยนการกระจายแรงบิดของรถจาก 40:60 เป็น 27:73 Materazzi ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการจนถึงปลายปี ค.ศ. 1992 หลังจากนั้นจึงรับช่วงต่อโดย นักออกแบบรถแข่ง Mauro Forghieri ซึ่งดำรงตำแหน่งต่อตั้งแต่ปี ค.ศ. 1993 ถึงปี ค.ศ. 1994

BUGATTI ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก เพราะการคว้าแชมป์หลายพันครั้งในช่วงทศวรรษ และได้ครองแชมป์ในช่วงตอนต้นของรายการ MONACO GRAND PRIX จากนั้นก็มาครองแชมป์ในช่วงต้นของรายการ GRAND PRIX MOTOR RACING อีก Bugatti ประสบความสำเร็จมากที่สุดในช่วงของการเป็นนักแข่งรถในสังกัด JEAN-PIERRE WIMILLE ด้วยการเก็บชัยชนะมาได้มากกว่า 2,000 ครั้งเลย ซึ่งเกิดจาก BUGATTI TYPE 35

เมื่อถึงเวลาที่ EB110 ออกสู่ตลาด เศรษฐกิจในอเมริกาเหนือและยุโรปอยู่ในภาวะถดถอย ภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ส่งผลให้บริษัทต้องล้มเหลวและหยุดดำเนินการในเดือนกันยายน ค.ศ. 1995 โมเดลเฉพาะสำหรับตลาดสหรัฐฯ ที่เรียกว่า “Bugatti America” ​​อยู่ในขั้นตอนเตรียมการเมื่อบริษัทหยุดดำเนินการ

หลังจากปี ค.ศ. 1995 ARTIOLI ได้ถูกฟ้องล้มละลาย จึงถูก VOLKSWAGEN GROUP เจ้าพ่อแห่งเยอรมนีซื้อกิจการไปในปี ค.ศ. 1998 และต่อมาก็ได้เปลี่ยนชื่อให้ BUGATTI อย่างเป็นทางการว่า BUGATTI AUTOMOBILES S.A.S. และจัดการซื้อ GATES HOUSE หลังเก่าของ ETTORE BUGATTI มาตกแต่งใหม่ให้ดูมีความทันสมัยมากขึ้น และทำเป็นสำนักงานใหญ่ของ BUGATTI

Bugatti Automobiles S.A.S.

วันที่ 22 ธันวาคม ปี ค.ศ. 1998 Volkswagen AG ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติเยอรมัน ซึ่งปัจจุบันอยู่ภายใต้การควบคุมของ Porsche SE ได้ก่อตั้ง Bugatti Cars S.A.S. ในฐานะที่เป็น บริษัท ย่อยที่จดทะเบียนในฝรั่งเศสซึ่งถือหุ้นทั้งหมด ในวันเดียวกันนั้น บริษัทรับช่วงต่อการออกแบบและการตั้งชื่อให้ Bugatti จากนักธุรกิจชาวอิตาลี Romano Artioli ผู้สร้างรถซุปเปอร์คาร์ (เช่น EB 110 และ EB 112) กับ Bugatti SpA ในอิตาลีระหว่างปี ค.ศ. 1987 ถึง ปี ค.ศ. 1998

ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 Bugatti มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า Bugatti Cars SAS ซึ่งยังคงใช้ชื่อย่อว่า Bugatti ตั้งแต่นั้นมา สำนักงานใหญ่ของบริษัทได้กลับไปตั้งอยู่ที่เมืองโมลไชม์ (Molsheim) ประเทศฝรั่งเศสอีกครั้ง โดยวันที่ 22 ธันวาคม ในปีนั้น โฟล์คสวาเกนได้จัดตั้ง Bugatti Cars S.A.S. อย่างเป็นทางการ โดยมีคาร์ล-ไฮนซ์ นอยมันน์ (Karl-Heinz Neumann) อดีตหัวหน้าฝ่ายระบบขับเคลื่อนของ VW เป็นประธาน

VOLKSWAGEN GROUP นั้นถือเป็นยุครุ่งเรืองของ BUGATTI เลยก็ว่าได้ โดยได้ทำการผลิตรถที่มีราคาแพงและเร็วที่สุดในโลก นั่นคือ BUGATTI VEYRON EB 16.4 ซึ่งทำความเร็วได้สูงสุด 431.07 กิโลเมตร/ชั่วโมง ราคาอยู่ที่ $1,600,000 และก็ได้ยกรถรุ่นนี้ให้เป็นของขวัญกับผู้ให้กำเนิด ETTORE BUGATTI ในโอกาสครบรอบวันคล้ายวันเกิด 125 ปี ที่ยังคงไว้ซึ่งคอนเซปต์ “งานศิลป์แห่งยานยนต์” เป็นการ เปิดประวัติ Bugatti และเติมเต็มเรื่องราวให้มีมนต์ขลังมากยิ่งขึ้น

BUGATTI VEYRON EB 16.4

BUGATTI VEYRON EB 16.4

ในปี ค.ศ. 2016 Bugatti ได้สร้างรถยนต์บูกัตติ ไครอน (Bugatti Chiron) รถสปอร์ตสองที่นั่งที่มีเครื่องยนต์วางกลาง เปิดตัวครั้งแรกในงานเจนิวา มอเตอร์ โชว์ (Geneva Motor Show) เมื่อวันที่ 1 มีนาคม ปี ค.ศ. 2016 ซึ่งได้รับการพัฒนามาจากบูกัตติ เวย์รอน (Bugatti Veyron) นับว่าบูกัตติ ไครอน (Bugatti Chiron) เป็นรถซูเปอร์คาร์ที่เร็วที่สุดในโลก โดยมีความเร็วสูงสุด 467 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตัวโครงสร้างของรถทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ทำให้รถมีน้ำหนักเบา มาพร้อมกับเครื่องยนต์ W ขนาด 8.0 ลิตร 16 สูบ และ เทอร์โบชาร์จเจอร์ ให้กำลังถึง 1,500 แรงม้า

Bugatti Chiron

Bugatti Chiron

ในเดือนกันยายน 2020 มีการประกาศว่า Volkswagen กำลังเตรียมที่จะขายแบรนด์รถยนต์ Bugatti และเริ่มการเจรจากับบริษัท Rimac Automobili ของโครเอเชีย ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2005 รถยนต์จาก Bugatti ได้ทำการจำหน่ายไปแล้วกว่า 700 คัน และในปี ค.ศ. 2020 Bugatti ได้ส่งมอบรถยนต์แก่ลูกค้าไปแล้วเป็นจำนวน 77 คัน ในเดือนมกราคา ปี ค.ศ. 2021 ทาง Bugatti ประกาศว่าได้เพิ่มผลกำไรจากการดำเนินงานเป็นปีที่สามติดต่อกัน ปีนี้เป็นปีที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัท

และในปี 2021 Bugatti ตอกย้ำการเป็นจ้าวแห่งความเร็ว ด้วยการเปิดตัว Bugatti Chiron รุ่นอัพเกรด จำกัดจำนวนการผลิตเพียง 60 คัน ภายใต้ชื่อรุ่น Bugatti Chiron Pur Sport มาพร้อมกับขุมพลัง เบนซิน W16 ความจุ 8.0 ลิตร อัดอากาศด้วยเทอร์โบชาร์จ 4 ตัว 1,500 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 163 กก.-ม. ทว่าบูกัตติจะทำการเพิ่มรอบเครื่องยนต์ให้อีก +200 รอบ/นาที ผู้ขับสามารถลากรอบไปจนสุดได้ที่ 6,900 รอบ/นาที ในขณะที่ชุดเกียร์ดูอัลคลัทช์ 7 จังหวะ จะมีการปรับอัตราทดให้ชิดขึ้น 15% เพื่อเพิ่มความจัดจ้าน

Bugatti Chiron Pur Sport

Bugatti Chiron Pur Sport

ราคาจำหน่าย Bugatti Chiron Pur Sport เริ่มต้นที่ 3.2 ล้านยูโร หรือประมาณ 113 ล้านบาท โดยรถคันแรกกำหนดส่งมอบในเดือนสิงหาคม ปี ค.ศ. 2020 และในเดือนกันยายน Bugatti นำเสนอ Chiron Sport รุ่นพิเศษ “Les Légendes du Ciel” มาพร้อมเครื่องยนต์ W16 8.0 ลิตร พร้อมกับเทอร์โบ 4 ลูก ที่ผลิตกำลังขับเคลื่อนออกมาได้ 1,500 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 1,600 นิวตัน-เมตร โดยสามารถพารถไปถึงความเร็วสูงสุดได้ที่ 420 กม./ชม.

โดย Les Légendes du Ciel หรือ หรือ Legends of the Sky ซึ่งหมายถึงเหล่าตำนานบนท้องฟ้า ซึ่งถูกสร้างสรรค์ขึ้น เพื่อแสดงความรำลึกถึงบรรดานักแข่งรถผู้โด่งดังของ Bugatti ในศตวรรษที่แล้ว ซึ่งส่วนใหญ่เคยเป็นนักบินชั้นนำมาก่อน ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 20 คัน ราคาจำหน่ายอยู่ที่  2.88 ล้านยูโร

Bugatti Chiron Sport "Les Légendes du Ciel"

Bugatti Chiron Sport “Les Légendes du Ciel”

 

Bugatti Rimac

เดือน กรกฏาคม ปี ค.ศ. 2021 มีการประกาศว่า Bugatti Automobiles และ บริษัทรถยนต์ Rimac Automobili จะรวมกันเป็น “Bugatti Rimac” ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง Rimac Automobili และ Porsche AG Rimac Group ที่จัดตั้งขึ้นใหม่จะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วนการถือหุ้น 55% ใน Bugatti Rimac ในขณะที่ Porsche AG จะถือหุ้น 45% ที่เหลืออยู่ และสัดส่วนการถือหุ้น 24% ใน Rimac Group โดยเริ่มในไตรมาสที่ 4 ของปี 2021

Bugatti Rimac มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมือง Sveta Nedelja ไม่ไกลจากเมือง Zagreb บนพื้นที่กว่า 200,000  ตรม. ใช้งบประมาณไปถึง 200 ล้านยูโร เพื่อเป็นอาคารสำนักงานสำหรับวิจัย และพัฒนาของบริษัท โดยสำนัก งานแห่งใหม่นี้จะถูกกำหนดให้เปิดดำเนินงานอย่างเป็นทางการในปี 2023 พร้อมบุคลากรอีกกว่า 2,500 คน

สำหรับยนตรกรรมของ Bugatti ทุกรุ่น จะยังคงเดินหน้าขึ้นสายการผลิตในโรงงาน Molsheim เช่นเดิม บริษัทร่วมทุน Bugatti Rimac จะเริ่มดำเนินงานด้วยพนักงานจำนวนประมาณ 435 คน โดย 300 คนจะปฏิบัติงานที่เมือง Zagreb และอีก 135 คนปฏิบัติงานที่เมือง Molsheim โดยบุคลากร และตำแหน่งงานถูกจัดขึ้นเพื่อสนับ  สนุนการสร้างความแข็งแกร่ง รวมไปถึงความน่าสนใจให้แก่แบรนด์ Bugatti และ Rimac

และทั้งหมดนี้คือ เปิดประวัติ Bugatti ยนตรกรรมซึ่งครองตำแหน่งเจ้าของสถิติรถยนต์ที่เร็วที่สุดในโลก เอกลักษณ์ในการออกแบบอันสวยงามพร้อมสมรรถนะด้านความเร็วที่มีชัยชนะเหนือคู่แข่งมาได้มากมาย กับประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 100 ปี ฝ่าฝันมรสุมต่าง ๆ เป็นเครื่องยืนยันความแข็งแกร่ง ทำให้แบรนด์ Bugatti เป็นที่จดจำของวงการยานยนต์ระดับโลก ครองใจเหล่าบรรดาผู้นิยมชมชอบในความเร็ว จนถึงทุกวันนี้

 

 

KATE