นาฬิกา Richard Mille แบรนด์นาฬิกาสัญชาติสวิตเซอร์แลนด์ ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของความแพงระดับท๊อปสุดยอดของโลก ผลิตภายใต้คอนเซ๊ปความแรงของรถแข่ง Formula 1 โดยคัดเลือกใช้วัสดุพิเศษ เพื่อวัตถุประสงค์ในการมอบเรือนเวลาที่มีน้ำหนักเบา แต่มีความหรูหรา แตกต่างไม่เหมือนใคร ความแข็งแกร่ง ทนทาน บวกกับดีไซน์สุดพิเศษอันเป็นเอกลักษณ์ ทำให้นาฬิกาแบรนด์นี้ เป็นที่ต้องการของตลาดซื้อขายเป็นอย่างมาก เนื่องจากจำกัดการผลิตเพียงแค่ 3,000 เรือนต่อปีเท่านั้น
สำหรับใครที่กำลังเตรียมตัวเตรียมใจ อยากเป็นเจ้าของนาฬิกาแบรนด์นี้สักเรือน KATEXOXO ขอนำเสนอ 8 รุ่นตัว TOP ซึ่งเป็นที่นิยมของเหล่าบรรดานักเล่น นักสะสม รวบรวมไว้ในบทความนี้ จะมีรุ่นใดบ้าง ราคาของแต่ละรุ่นจะสั่นสะเทือนกระเป๋าสตางค์จนน่าขนลุกเพียงใด ติดตามและยลโฉมได้พร้อมกัน
1. Richard Mille RM 005
เปิดตัวครั้งแรก ในปี 2004 เป็นนาฬิการุ่นแรก ที่เป็นระบบอัตโนมัติ ภายใต้รหัส RM005 Richard Mille ตัดสินใจผสมผสานกล่องหุ้มหัวท้ายที่เปี่ยมด้วยเทคนิคและล้ำสมัยเข้ากับระบบไขลานอัตโนมัติ ขับเคลื่อนด้วยกลไก Calibre RM 005 ซึ่งสามารถปรับได้ตามระดับกิจกรรมของผู้สวมใส่ ด้วยฟอร์มแฟคเตอร์ตามหลักสรีรศาสตร์ กับขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 37.8 มิลลิเมตร ตัวเรือนประกอบขึ้นจากวัสดุ ไททาเนียมเคลือบ PVD อันขึ้นชื่อเรื่องความแข็งแกร่ง
โรเตอร์ Variable-geometry ช่วยให้ระบบกลไกไขลานสามารถปรับให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของผู้สวมใส่ได้ ซึ่งหมายความว่าจะปรับให้เข้ากับกิจกรรมของคุณในกีฬาและเวลาว่างอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด หน้าปัดแบบ skeletonized dial ประกอบด้วยกระจกแซฟไฟร์ (sapphire) 3 ชั้น โปร่งใสอันเป็นเครื่องหมายการค้าของแบรนด์
ชิ้นหนึ่งอยู่ที่ระดับบนสุดซึ่งเป็นไปตามรูปร่างของตัวเรือนและช่วยให้มองเห็นเข็มนาฬิกาและดัชนีได้ทั่วไป มีขอบคาร์บอนไฟเบอร์ไฮเทคที่หุ้มด้วยแซฟไฟร์ซึ่งขอบล้อคาร์บอนไฟเบอร์นี้มีแผนผังเรืองแสงที่ใช้ทำเครื่องหมายแต่ละดัชนีชั่วโมงอีกชิ้นหนึ่งอยู่ใต้ตำแหน่งที่มีเครื่องหมายชั่วโมง และอีกชิ้นหนึ่งอยู่ใต้ตัวเรือน วิธีการแบบแบ่งชั้นนี้ไม่เพียงแต่ทำให้นาฬิกาที่มีเทคนิคและล้ำยุคเท่านั้น แต่ยังทำให้นาฬิกาสามารถอ่านได้ชัดเจนอีกด้วย
สายนาฬิกาแบบยางยืดหยุ่นพร้อมข้อต่อแบบไร้รอยต่อที่ตัวเกี่ยว ยังปรับให้เข้ากับข้อมือทุกขนาดได้อย่างสวยงาม ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ เพียงดึงสายรัดลงและยึดให้แน่น น้ำหนักที่เบาคือจุดเด่นของนาฬิการุ่นนี้ อีกทั้งยังทนทานต่อแรงกระแทกได้เป็นอย่างดีด้วย RM ของโรเตอร์ไททาเนียมคู่ที่ป้องกันการกระแทกได้อย่างสมบูรณ์ สามารถกันน้ำได้ที่ความลึก 100 เมตร สำรองพลังงานได้ 55 ชั่วโมง ถือได้ว่าเป็นรุ่นเริ่มต้นสำหรับใครที่เพิ่งเริ่มให้ความสนใจ Richard Mille มาไว้ในครอบครอง ราคาจำหน่ายอยู่ที่ประมาณ 2.3 ล้านบาท
2. Richard Mille RM 027 Tourbillon Rafael Nadal
Richard Mille ได้รังสรรค์นาฬิกาที่มีเอกลักษณ์เฉพาะให้กับ Rafael Nadal (ราฟาเอล นาดาล) นักเทนนิสมากพรสวรรค์ผู้เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ของแบรนด์ เพื่อให้นักเทนนิสชาวสเปนผู้นี้สวมใส่ลงสนามเทนนิสทั่วโลก ในสภาพการใช้งานจริงและสวมใส่ในระหว่างการแข่งขันเทนนิส แม้ว่าจะมีการเคลื่อนไหวอย่างกะทันหัน รุนแรง และการกระแทกตามแบบฉบับของการแข่งขันเทนนิสระดับสูง แต่ RM 027 Tourbillon ได้พิสูจน์ความทนทานในขณะที่ทำให้ ราฟาเอล นาดาล เคลื่อนไหวได้อย่างอิสระเต็มที่
ฐานของ RM 027 Tourbillon ทำจากโลหะผสมไททาเนียมและ LITAL® ซึ่งเป็นโลหะผสมลิเธียมที่มีปริมาณลิเธียมสูงซึ่งประกอบด้วยอลูมิเนียม ทองแดง แมกนีเซียม และเซอร์โคเนียม ซึ่งมีความหนาแน่น 2.55 การเพิ่มลิเธียม ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่เบาที่สุดชนิดหนึ่งในส่วนผสมของโลหะผสม ทำให้มีความแข็งแรงมากโดยไม่ต้องเพิ่มน้ำหนักโดยไม่จำเป็น โลหะผสมพิเศษนี้ยังใช้ด้วยเหตุผลเดียวกันในอุตสาหกรรมการบินและอวกาศในการสร้างเครื่องบินแอร์บัส A380 เฮลิคอปเตอร์ จรวดและดาวเทียม ตลอดจนในรถแข่ง F1
ผลลัพธ์ที่ได้คือหนึ่งในนาฬิกาข้อมือระบบกลไกทัวร์บิญองที่เบาที่สุดในโลก โดยมีน้ำหนักเพียง 3.83 กรัม ตัวเรือนนาฬิกา RM 027 ที่ประกอบด้วยคอมโพสิตที่มีคาร์บอนจำนวนมาก ยึดด้วยสกรูไททาเนียม 8 ตัว ให้โครงสร้างที่ทนทานและยืดหยุ่นสำหรับกลไกทูร์บิญงที่อยู่ตรงกลาง กรอบด้านหลังและสายตัวเรือนเป็นแบบโมโนบล็อกเพื่อให้มีน้ำหนักเบาทั้งหมด กระจก ขอบตัวเรือน และหน้าแปลนเป็นคาร์บอนมีคุณสมบัติที่โดดเด่นในด้านความแข็งและความทนทานต่อการบิดงอ
ขับเคลื่อนด้วยกลไก Calibre RM 027 ทัวบิญง (tourbillon movement) ไขลานแบบ Manual พร้อมชั่วโมงและนาที หน้าปัดเส้นผ่าศูนย์กลาง 39.7 มิลลิเมตร สามารถกันน้ำได้ 50 เมตร ผลิตออกมาจำนวน 50 เรือนเท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่าทั้ง 50 เรือนนั้น ถูกจำหน่ายหมดภายในเวลาอันรวดเร็ว สำหรับนาฬิกาเรือนที่ถูกสวมใส่โดย ราฟาเอล นาดาล ถูกประมูลที่เมืองโมนาโค ในราคาประมาณ 400,000-600,000 ยูโร หรือราว ๆ 14 ล้าน – 21 ล้านบาท
3. Richard Mille RM 27-04 Tourbillon Rafael Nadal
จากความสำเร็จของนาฬิการุ่น RM 027 ซึ่งเกิดจากความร่วมมือกันระหว่าง Richard Mille กับนักเทนนิสระดับโลกอย่าง ราฟาเอล นาดาล ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2010 ซึ่งสร้างความฮือฮา ในฐานะนาฬิกาที่มีความแข็งแกร่ง ทนทาน รวมถึงมีน้ำหนักเบา ในปี 2020 แบรนด์ได้ทำการเปิดตัว RM 27-04 รุ่นพิเศษ เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 10 ปี ความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์กับราฟาเอล นาดาล
RM 27-04 มาพร้อมกับตัวเรือนทรงถังเบียร์ขนาด 38.4 มิลลิเมตร หนา 11.4 มิลลิเมตร ผลิตจากวัสดุ TitaCarb® วัสดุ Polyimide ประสิทธิภาพสูงที่มีส่วนผสมของ Carbon Fiber มากถึง 38.5% ทำให้มีความต้านทานแรงดึงสูงถึง 370 MPa หรือ 3,700 Kg/cm2 ซึ่งคิดค้นและผลิตโดย Richard Mille ร่วมกับ Biwi SA. บริษัทที่เป็นพันธมิตรกันมายาวนาน ทำให้นาฬิกาเรือนนี้มีน้ำหนักรวมสายและกลไกเพียง 30 กรัม เท่านั้น
หน้าปัดแบบ Skeleton อันเป็นเอกลักษณ์ ถูกออกแบบเป็นพิเศษด้วยตาข่ายโลหะ ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากตาข่ายบนหน้าไม้เทนนิส นอกจากการออกแบบที่ดูแปลกตา ตาข่ายดังกล่าวยังมีคุณสมบัติรองรับและลดแรงกระแทกให้กับกลไกที่ยึดโยงภายใน โดยผ่านการทดสอบแรง G ได้มากกว่า 12,000 Gs จากนักเทนนิสอาชีพอีกด้วย
กระจกหน้าปัดและฝาหลัง ผลิตจากกระจก Sapphire โชว์การทำงานของกลไก Calibre RM 27-04 ความถี่ 21,600 ครั้ง/ชั่วโมง สำรองพลังงาน 38 ชั่วโมง โดยมาพร้อมฟังก์ชั่นบอกเวลาชั่วโมง-นาที และ Tourbillon โดยกลไกเป็นแบบ Skeleton ที่มีการยึดโยงแท่นเครื่องบางส่วนเอาไว้กับตาข่ายด้านหน้า
คุณสมบัติกันน้ำลึกที่ 50 เมตร ด้วย Nitrile O-ring seal และสกรู Titanium Grade 5 และแหวนรอง Stainless Steel 316L 8 ตัว ที่ยึดตรงขอบหน้าปัดด้านหน้า โดยมาพร้อมสายผ้าถักน้ำหนักเบาสีฟ้าตัดกับสารเรืองแสง Super Luminova สีแดงบนหลักชั่วโมงและเข็มชั่วโมง-นาที รวมถึงเม็ดมะยมหุ้มยางสีส้ม ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 50 เรือนเท่านั้น ราคาจำหน่ายอยู่ที่ 1,050,000 USD หรือประมาณ 35 ล้านบาท
4. Richard Mille RM 50-04
เปิดตัวครั้งแรกที่งาน Singapore Formula 1 Grand Prix ปี 2019 จุดเด่นอยู่ที่โครงสร้างตัวเรือนสีดำทำจากวัสดุคาร์บอนและไทเทเนียม ขอบนาฬิกาสีขาวโดดเด่นด้วยวัสดุ Quartz TPT มาพร้อมกับกลไกไขลาน In house Calibre RM 50-03 ความถี่ 3Hz หรือ 21,600 ครั้งต่อชั่วโมง ร่วมกับกลไกแบบ Tourbillon (ทัวบิญง) พร้อมระบบจับเวลาแบบ Split-seconds Chronograph หรือ Doppel Chronograph ซึ่งสามารถแยกจับเวลามากกว่าสองรายการในครั้งเดียว
สามารถจับเวลาต่อเนื่องได้สูงสุด 30 นาที เม็ดมะยมของ RM 50-04 จะประกอบอยู่ตรงตำแหน่ง 4 นาฬิกา เช่นเดียวกับตำแหน่งเกียร์รถยนต์ พร้อมกับสลักชื่อของ Kimi Raikkonen (คิมิ ไรโคเนน) นักแข่งรถสูตรหนึ่ง กับหมายเลข 7 ซึ่งเป็นเลขประจำตัวเวลาลงสนามแข่งของเขาไว้บริเวณ 7 นาฬิกาของหน้าปัด
นอกจากนี้ยังมีเข็มบอกพลังงานสำรอง กระจก Sapphire ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง หน้าปัดเส้นผ่าศูนย์กลาง 44.50 มิลลิเมตร หนา 16.10 มิลลิเมตร ด้านหลังของตัวเรือนประกอบด้วยซิลิคอน 600 ชิ้น น้ำหนักเบาเพียง 7 กรัมเท่านั้น จุดเด่นอยู่ที่หน้าปัดสีแดงสดทำจากกราฟินและยางชนิดพิเศษ สามารถกันน้ำลึกได้ 50 เมตร สำรองพลังงานได้ 70 ชั่วโมง จำกัดจำนวนการผลิตเพียง 30 เรือนเท่านั้น ราคาจำหน่ายอยู่ที่ 1,063,000 USD คิดเป็นเงินไทยประมาณราว ๆ 33 ล้านบาท
5. Richard Mille RM 70-01 Tourbillon Alain Prost
นาฬิกาที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้น จากการร่วมมือกันระหว่างแบรนด์นาฬิการะดับโลก Richard Mille กับนักแข่งรถฟอร์มูล่าวันอย่าง Alain Prost นักแข่งรถชาวฝรั่งเศส แชมป์โลก F1 ถึง 4 สมัย เปิดตัวเมื่อปี ค.ศ. 2017 ขับเคลื่อนด้วยกลไก Calibre RM 70-01 tourbillon (ทัวบิญง) ไขลานแบบ Manual พร้อมชั่วโมง นาที ไฟแสดงการสำรองพลังงาน มาตรวัดระยะทางแบบกลไก และกลไกที่สามารถจับระยะทางได้
ตัวเรือนของ RM 70-01 ผลิตจากวัสดุ Carbon TPT® ผสมผสานระหว่างรูปทรงตัน สี่เหลี่ยม และไม่สมมาตรได้อย่างลงตัว ทั้งตึงและโค้ง เส้นที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เพียงแต่ให้ความสบายสูงสุดเท่าที่เป็นไปได้บนข้อมือเท่านั้น แต่ยังช่วยให้มองเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อจับแฮนด์จักรยาน โดยนาฬิกาจำหน่ายพร้อมระบบจักรยานเสือหมอบตามสั่งที่พัฒนาโดย Prost และ Mille ร่วมกับ Colnago ผู้ผลิตจักรยานสัญชาติอิตาลี ซึ่งจักรยานแต่ละคันจะทาสีด้วยมือ
RM 70-01 เป็นนาฬิกาที่ถูกออกแบบมาเพื่อนักปั่นจักรยานโดยเฉพาะ กับฟีเจอร์ Totalizer ที่ไม่เหมือนใครเพื่อติดตามไมล์หรือกิโลเมตรที่เดินทาง หน้าปัดประกอบด้วย Tourbillon ที่ตำแหน่ง 6 นาฬิกา และสิ่งที่ดูเหมือนมาตรวัดระยะทางที่ 12 นาฬิกา ในรูปแบบลูกกลิ้ง 5 ลูก ได้รับการออกแบบอย่างเต็มที่โดยคำนึงถึงโลกแห่งการปั่นจักรยาน ตั้งแต่สกรูประเภทประแจหกเหลี่ยมไททาเนียมที่ยึดสะพาน ไปจนถึงเฟืองล้อซึ่งชวนให้นึกถึงการออกแบบซี่ล้อปลอมแปลง
กลไกทูร์บิญงและเม็ดมะยมไดนาโมเมทริกที่เลียนแบบคันเหยียบของจักรยาน รูปลักษณ์ของนาฬิการุ่นนี้มีความเป็นอุตสาหกรรมและสปอร์ตอย่างยิ่ง นอกจากนี้ หน้าปัดยังมีตัวบ่งชี้พลังงานสำรอง 70 ชั่วโมงที่ค่อนข้างเล็กที่ตำแหน่ง 5 นาฬิกา พร้อมโซนสีแดง สีส้ม และสีเหลือง
ในส่วนของมาตรวัดระยะทาง เมื่อเลือกลูกกลิ้งแล้ว ผู้ใช้ต้องกดตัวดันสีดำที่ตำแหน่ง 10 นาฬิกา เพื่อเลื่อนลูกกลิ้งที่เลือกทีละตัวจาก 0 ถึง 9 แรงที่ต้องดำเนินการเพียงอย่างเดียวคือให้ผู้ใช้เพิ่มระยะทางของวันไปยัง รวมก่อนที่เขาเข้ามาแสดง จำนวนกิโลเมตรที่แสดงสามารถไปได้มากถึง 99,999 เนื่องจากให้ป้อนเพียง 5 หลักเท่านั้น RM 70-01 ถูกผลิตขึ้นมาในจำนวนจำกัด เพียง 30 เรือน ราคาจำหน่ายอยู่ที่ 815,500 USD คิดเป็นเงินไทยราว ๆ 27 ล้านบาท
6. Richard Mille RM 11-03 Automatic Flyback Chronograph McLaren
เป็นผลงานร่วมระหว่าง Ricard Mille และ McLaren Automotive เป็นวิสัยทัศน์ร่วมกันของ Rob Melville ผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบของ McLaren และวิศวกร Richard Mille Fabrice Namura ขับเคลื่อนด้วยกลไกอัตโนมัติ RMAC3 ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกในปี ค.ศ. 2016 การเคลื่อนไหวอัตโนมัติแบบ Skeletonised พร้อมชั่วโมง นาที วินาที โครโนกราฟฟลายแบ็ค นาฬิกาจับเวลาถอยหลัง 60 นาทีที่ 9 นาฬิกา ตัวนับเวลารวม 12 ชั่วโมง วันที่ขนาดใหญ่พิเศษ ตัวระบุเดือน และโรเตอร์เรขาคณิตแบบแปรผัน
แรงบันดาลใจในการออกแบบ RM 11-03 มาจากรถยนต์ของ McLaren ในอดีต ตัวอย่างเช่น แป้นกดไทเทเนียมได้รับการออกแบบให้ดูเหมือนไฟหน้าของ McLaren 720S เม็ดมีดไทเทเนียมมีรูปร่างคล้ายกับท่อไอเสียของ McLaren F1 เม็ดมะยมไทเทเนียมเกรด 5 ที่ซับซ้อนมีรูปร่างเหมือนล้อ McLaren โลโก้ McLaren Speedmark ติดอยู่บนสายยางบริเวณ 6 นาฬิกา ที่พัฒนาขึ้นสำหรับรุ่นนี้โดยเฉพาะ
ตัวเรือนทำจาก Carbon TPT ผสานกับ Orange Quartz TPT® (TPT ย่อมาจาก Thin Ply Technology) ซึ่งเป็นวิธีการวางชั้นคาร์บอนไฟเบอร์ที่ Richard Mille เปิดตัวครั้งแรกในปี ค.ศ. 2013 เลเยอร์ที่เข้มกว่าคือคาร์บอนไฟเบอร์ ในขณะที่ชั้นสีส้มจากแมกมา คือเส้นใยซิลิกา (แน่นอนว่าสีส้มเป็นสัญลักษณ์ของ McLaren) แข็งแกร่งด้วยไททาเนียมเกรด 5 เคลือบ PVD ส่งผลให้ตัวเรือนทนทานและน้ำหนักเบาเป็นพิเศษ รวมถึงมีความทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่รุนแรง
RM 11-03 เปิดตัวครั้งแรกที่งาน Geneva International Motor Show ปี 2018 หน้าปัดโดดเด่นด้วยปฏิทินประจำปีและวันที่แบบโอเวอร์ไซส์ รวมถึงโครโนกราฟแบบ 12 ชั่วโมงและตัวนับเวลาถอยหลัง พร้อมการเน้นสีเหลืองบนตำแหน่งบอกชั่วโมง เส้นผ่าศูนย์กลาง 49.94 มิลลิเมตร การไขลานแบบ Barrel มั่นใจได้ด้วยโรเตอร์แบบปรับเรขาคณิตได้ที่ช่วยให้การม้วนแบบส่วนตัวปรับให้เข้ากับระดับกิจกรรมของผู้สวมใส่ สำรองพลังงาน 55 ชั่วโมง ผลิตออกมาจำนวนจำกัดเพียง 500 เรือนเท่านั้น ราคาจำหน่ายอยู่ที่ 191,500 USD หรือเป็นเงินไทยประมาณ 6,300,000 บาท
7. Richard Mille RM 052 Tourbillon Skull
ตลอดประวัติศาสตร์ กะโหลกศีรษะมนุษย์ได้ถูกแสดงออกมา เป็นตัวแทนแนวความคิดอันเป็นสัญลักษณ์ในหลากหลายรูปแบบ บางครั้งก็เป็นภาพล้วน ๆ บางครั้งแสดงถึงความเชื่อและอุดมการณ์ที่แตกต่างกัน สำหรับชาวลาตินอเมริกา สัญลักษณ์ของชีวิต แต่สำหรับชาวยุโรป อาจเป็นภาพที่เกี่ยวข้องกับความตาย กะโหลกศีรษะมนุษย์ ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการกบฏและการเป็นขบถ มาตลอดหลายศตวรรษ
RM 052 Skull เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 2012 แสดงถึงการแสดงออกอย่างเต็มที่ของเสรีภาพและไม่เป็นไปตามข้อกำหนด ด้วยเหตุนี้จึงเป็นแบบอย่างของปรัชญาของแบรนด์ เทคนิคขั้นสุดยอด ประสิทธิภาพสูง อาจกล่าวได้ว่า RM 052 Skull คือ Haute Horlogerie ที่แท้จริง ขับเคลื่อนด้วยกลไก Calibre RM 025 ทัวบิญงไขลานแบบ Manual พร้อมชั่วโมงและนาที การเคลื่อนไหวทั้งหมดเชื่อมต่อกับเคสด้วยสะพาน 4 แห่งที่ได้รับแรงบันดาลใจจากกระโหลกไขว้ จากธงบนเรือโจรสลัด
การออกแบบเคสใหม่ที่มีปีกข้างแบบเปิด ยังคงเป็นการเปรียบเสมือนโครงกระดูกมนุษย์ ได้รับการทดสอบอย่างเข้มงวดเพื่อให้แน่ใจว่ามีความแข็งแรงและความแข็งแกร่งในระดับสูง ไททาเนียมอัลลอยด์ยังใช้บ่อยในอุตสาหกรรมการบินและอวกาศ ยานยนต์ และการบิน เนื่องจากมีความทนทานต่อการกัดกร่อนสูง หน้าปัดเส้นผ่าศูนย์กลาง 42.70 มิลลิเมตร ออกวางจำหน่ายเพียง 21 เรือน โดยเป็นไทเทเนียม 15 เรือนและตัวเรือนแบบพิเศษอีก 6 เรือนเป็นสีโรสหรือทองคำขาว สำรองพลังงาน 48 ชั่วโมง กันน้ำได้ 50 เมตร
8. Richard Mille RM 050 Tourbillon Chronograph Felipe Massa
เป็นเวลาหลายปีแล้ว นับตั้งแต่ RM 008 Tourbillon ได้เปิดโลกในฐานะการพัฒนาโครโนกราฟแบบแบ่งวินาทีแบบใหม่ครั้งแรกของศตวรรษที่ 21 เมื่อปี ค.ศ. 2004 สำหรับ RM 050 Tourbillon Chronograph Felipe Massa รุ่นนี้ แสดงถึงการพัฒนาการเคลื่อนไหวใหม่ที่นำเอาคุณลักษณะที่ดีที่สุดของ RM 008 รุ่นดั้งเดิมมาใช้ แต่ด้วยความก้าวหน้าครั้งใหม่ นำมาซึ่งประสิทธิภาพในระดับที่ไม่มีใครเทียบได้
กลไกตัวใหม่ที่ทำการเปิดตัวใน RM 050 ไม่ได้เป็นเพียงแค่การพัฒนากลไกจากรุ่น RM 008 Tourbillon เท่านั้น กับกลไก Calibre RM CC1 กลไกไขลานทัวบิญงแบบแมนนวลพร้อมชั่วโมง นาที วินาที โครโนกราฟเสี้ยววินาที ตัวระบุเวลารวม 30 นาที การสำรองกำลัง แรงบิด และตัวบ่งชี้การทำงาน ทีมวิศวกรของ Richard Mille เริ่มต้นด้วยการค้นคว้าทุกวิถีทางเพื่อลดน้ำหนักตัวเรือนลง 20% ซึ่งเท่ากับ 10 กรัม ทำให้น้ำหนักรวมของตัวเรือน มีน้ำหนักเพียง 9.5 กรัม
แผ่นฐานและสะพานทำจากไททาเนียมเกรด 5 ซึ่งเป็นโลหะผสมที่ประกอบด้วยไททาเนียม 90% อะลูมิเนียม 6% และวาเนเดียม 4% มักใช้ในอุตสาหกรรมการบิน การบินและอวกาศ และยานยนต์ มีความทนทานต่อการกัดกร่อนสูงและมีความแข็งแกร่งสูง น้ำหนักเบา/อัตราส่วนความแข็งแรงสูงเมื่อใช้กับแผ่นฐานของ RM 050
นวัตกรรมใหม่หมายถึงการสร้างชิ้นส่วนใหม่มากกว่า 400 ชิ้นสำหรับคาลิเบอร์ กระบอกหมุนที่หมุนเร็ว ความสมดุลพร้อมความเฉื่อยตัวแปร ตัวแสดงฟังก์ชัน ตัวแสดงแรงบิด และกลไกเสี้ยววินาทีพร้อมประสิทธิภาพที่ปรับปรุงขึ้นจากรุ่น RM 008 Tourbillon วิศวกรของ Richard Mille ได้ปรับการเคลื่อนไหวให้เหมาะสมที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งความแม่นยำและการคำนวณด้านการจับเวลาในระยะยาว
ตัวกลไก ถูกห่อหุ้มด้วยตัวเรือนที่ผลิตจากวัสดุ พอลิเมอร์คอมโพสิตฉีดด้วยท่อนาโนคาร์บอน ท่อนาโนคาร์บอนมีความทนทานต่อแรงบีบอัดเป็นอย่างมาก (มากกว่าเหล็กกล้า 200 เท่า) รวมถึงมีน้ำหนักเบา ท่อนาโนเหล่านี้มีความสามารถในการดูดซับแรงกระแทกที่รุนแรงได้สูงกว่าเส้นใยคาร์บอนอย่างมาก เนื่องจากโครงสร้างและรูปทรงที่เป็นเอกลักษณ์ และความสมดุลของพื้นผิว/ปริมาตรที่สูงขึ้น สำรองพลังงาน 70 ชั่วโมง ผลิตมาจำนวนจำกัดเพียง 10 เรือนในโลก ราคาจำหน่ายอยู่ที่ €1,097,000 เป็นเงินไทยประมาณ 39 ล้านบาท
นาฬิกา Richard Mille แบรนด์นาฬิกาหรูสัญชาติสวิส ที่ขึ้นชื่อเรื่องความแพง กับเอกลักษณ์ตัวเรือนรูปทรงถังเบียร์ โดดเด่นด้วยการใช้วัสดุพิเศษที่ทำให้ตัวเรือนมีน้ำหนักเบา แต่มีความแข็งแรง คงทนต่อทุกสภาวะ ทำให้ นาฬิกา Richard Mille ครองใจนักสะสมตั้งแต่แรกเห็น จนกลายเป็น นาฬิกาที่แพงที่สุดในตลาดซื้อขายนาฬิกาในทันที และเป็นนาฬิกาที่ได้รับความนิยมในกลุ่มเซเลบริตี้ นักแข่งรถ ไปจนถึงนักกีฬาระดับโลก
ความสวยงาม ที่มาพร้อมกับความแข็งแกร่ง นาฬิกาทุกเรือนจาก Richard Mille จึงเต็มเปี่ยมไปด้วยงานฝีมือที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญในการรังสรรค์ทุกขั้นตอน ด้วยวัสดุที่ถูกคัดสรรมาอย่างดี เพื่อให้นาฬิกาออกมาสวยงามและสมบูรณ์แบบที่สุด คุ้มค่าแก่การครอบครอง และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไม Richard Mille ยังคงดึงดูดลูกค้าชั้นยอดได้เสมอ คุ้มค่ากับตัวเลขจำนวนมหาศาลที่ใช้สำหรับแลกเปลี่ยนนาฬิกาแบรนด์นี้สักหนึ่งเรือน นั่นคือราคาที่ผู้ซื้อยอมจ่าย เพื่อได้ครอบครองเรื่องราวอันประเมินค่าไม่ได้ ของ Richard Mille