Top 5 นาฬิกา Rolex รุ่น Iconic นาฬิกา Rolex ถือได้ว่าเป็นตัวอย่างแห่งวิวัฒนาการในโลกของเหล่าเครื่องบอกเวลา ความคลาสสิกที่ยังคงแฝงอยู่ในตัวนาฬิกาทุกรุ่นจนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นตัวเรือน Oyster เครื่องหมายการค้าที่พวกเขาประดิษฐ์ขึ้นในปี ค.ศ. 1926 รวมถึงกลไกคาลิเบอร์ ที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1977
สายนาฬิกาของ Rolex คืออีกหนึ่งความคลาสสิก ที่ส่งต่อความหรูหราผ่านรุ่นสู่รุ่น ในบทความนี้ KATEXOXO ได้รวบรวมนาฬิกา Rolex ที่โดดเด่นที่สุด 5 รุ่น กับความคลาสสิกที่เที่ยงตรงและเชื่อถือได้ พร้อมสะท้อนเรื่องราวที่แตกต่างกัน แต่ทั้งหมดนั้น สามารถสื่อสารออกมาได้ถึงเอกลักษณ์ของแบรนด์ เป็นเสน่ห์ที่หลาย ๆ คนเฝ้าใฝ่ฝันอยากเป็นเจ้าของ Rolex สักเรือนในชีวิต
1. Submariner
Submariner เป็นนาฬิกาที่ได้รับการยกย่องจากนักดำน้ำว่า เป็นหนึ่งในนาฬิกาดำน้ำที่ดีที่สุด เปิดตัวครั้งแรก ในปี ค.ศ. 1953 โดยมีเม็ดมะยมแบบขันเกลียว ตัวเรือน Oyster Case ที่เป็นจุดเด่นและเป็นเทคโนโลยีตัวเรือนกันน้ำ เป็นตัวกำหนดมาตรฐานให้กับนาฬิกาสำหรับนักดำน้ำ และเป็นจุดพลิกผันครั้งสำคัญในวงการผลิตนาฬิกา
ซึ่งนาฬิการุ่น Submariner สามารถกันน้ำได้ถึงระดับความลึกที่ 300 เมตร เป็นนาฬิกาที่ผู้คนจดจำได้มากที่สุดในโลก เป็นที่เคารพนับถือในด้านวิทยาการนาฬิกา การดำน้ำแบบมืออาชีพ และวัฒนธรรมสมัยนิยม
Submariners ทั้งหมดมีคุณสมบัติพื้นฐานที่เหมือนกัน รวมถึงขอบหน้าปัดแบบหมุนได้พร้อมเสียงคลิกที่คมชัดเหมือนวันในฤดูใบไม้ร่วงของนิวอิงแลนด์ และมักเป็นหน้าปัดสีดำเรืองแสง ปัจจุบัน Submariner มาพร้อมตัวเรือนขนาด 41 มิลลิเมตร ขอบหน้าปัด Cerachrom ที่ป้องกันรอยขีดข่วนแบบทิศทางเดียว และคริสตัลแซฟไฟร์ ทั้งในเวอร์ชันวันที่หรือไม่มีวันที่
ด้วยดีไซน์และรูปลักษณ์ภายนอกที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การดำน้ำลึก (Scuba Diving) และทนทานต่อสภาพแวดล้อมใต้น้ำในระดับหลายร้อยเมตร ทำให้ Rolex Submariner ขึ้นแท่นนาฬิกาขวัญใจนักดำน้ำ และยังเป็นขวัญใจนักสะสมนาฬิกาด้วยดีไซน์ที่ถือกันว่าเป็น The Most Iconic ในวงการนาฬิกา ไม่เพียงแค่รูปลักษณ์ที่มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว แต่ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยฟังก์ชั่นการทำงานทั้งภายในและภายนอก
Submariner เป็นที่นิยมอย่างมาก ที่มิได้จำกัดแค่วงการนักดำน้ำมืออาชีพและมือสมัครเล่นเพียงเท่านั้น แต่คนธรรมดาทั่วไปและเหล่าบรรดานักสะสมนาฬิกาทั่วโลก ต่างก็ให้ความสนใจ กับดีไซน์ระดับThe Most Iconic Watch ที่แข็งแรง ทนทานต่อสภาพแวดล้อม รวมถึงฟังก์ชั่นการใช้งานที่หลากหลาย ใครที่กำลังจะก้าวเข้าสู่วงการลงทุนกับนาฬิกาหรู ไม่ควรพลาดอย่างยิ่งที่จะมี Rolex Submariner สักรุ่น เอาไว้ในครอบครอง
สำหรับราคาจำหน่ายของนาฬิการุ่น Submariner ขนาดหน้าปัด 41 มิลลิเมตร ขอบหน้าปัด CERACHROM สีดำทำจากเซรามิก และหน้าปัด สีดำ ที่มีมาร์คเกอร์ชั่วโมงเรืองแสงขนาดใหญ่ ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณ 317,000 บาท
2. GMT Master II
GMT Master II ตัวแทนของนาฬิกาของผู้ที่ชื่นชอบในการเดินทาง คือความเย้ายวนใจในยุค 50 ซึ่งในช่วงเวลานั้นเป็นยุคที่อุตสาหกรรมการบินเริ่มเฟื่องฟู ในช่วงทศวรรษที่ 1940 และ 1950 เครื่องบินสามารถบินได้ในระยะที่ไกลขึ้น นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นให้ Rolex ได้ทำการพัฒนานาฬิกาสำหรับนักบิน และผู้ที่ชื่นชอบในการเดินทาง
โดยทาง Rolex การจับมือกับสายการบิน Pan Am Airways เพื่อผลิตนาฬิการุ่น Rolex GMT-Master ขึ้นเป็นครั้งแรกสำหรับนักบินที่ต้องบินในระยะทางไกล โดย GMT Master รุ่นแรกนั้นมีเข็มสีแดงเป็นเข็มที่ 4 เพื่อบอกเวลาเป็น 24 ชั่วโมงชื่อของ GMT มีที่มาจากเวลามาตรฐานกรีนิช “Greenwich Mean Time” เป็นเส้นแบ่งเวลาโลกและใช้ในการวางแผนการบิน โดยสามารถตั้งค่าเวลาหลักเป็นแบบสากล (UTC) จากนั้นตั้งค่าเข็มที่ 4 และขอบนาฬิกาเป็นแบบ 24 ชั่วโมง
นาฬิกา GMT แบบดั้งเดิม เป็นนาฬิกาที่นักบินจะใช้ดูเวลาในเมืองต้นทางและปลายทาง เข็มที่สี่เพิ่มเติมใช้วัดเวลามาตรฐานกรีนิช (GMT) ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ใช้วัดโซนเวลาทั้งหมด ที่ด้านหน้าของดีไซน์ ขอบหน้าปัดสีแดงน้ำเงิน หรือที่เราเรียกติดปากว่ารุ่น “Pepsi” มีความโดดเด่นในยุคนั้น แม้ว่าคุณสมบัติเหล่านี้จะพบได้ทั่วไปในปัจจุบัน แต่ GMT Master II ก็ยังคงเป็นมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล
ในปี 2005 Rolex ได้อัปเกรดนาฬิการุ่น GMT อีกครั้ง โดยมีการปรับปรุงหลายส่วน มีการใช้เม็ดมะยมแบบ Triplock ขนาดใหญ่ที่ใช้ในนาฬิกาดำน้ำ ปรับขนาดตัวเรือนให้มีขนาดใหญ่ขึ้นแต่บางลง เปลี่ยนขอบนาฬิกามาใช้แบบเซรามิกแทน สามารถกันรอยขีดข่วยและแข็งแรงมากขึ้น มีการปรับเปลี่ยนสายให้มีการล็อคที่แข็งแรงและปรับง่ายมากขึ้น จนถึงปี 2007 โรเล็กซ์จึงได้ทำการเปิดตัว GMT-Master II ref. 116710 โดยยกการปรับปรุงจากปี 2005 มาไว้ใน GMT รุ่นนี้และได้ใส่กลไก Caliber 3186 มาแทนรุ่นเดิม
GMT-Master II ref. 116720 ถูกเปิดตัวในปี 2018 โดยรุ่นที่ได้รับความสนมากที่สุดคือ Ref. 126710 BLRO หรือ Batman ที่มาในกรอบสีน้ำเงิน-ดำ หน้าปัดดำเงา พร้อมกับสาย Jubilee และมีการใช้กลไกไขลานอัตโนมัติ Calibre 3285 ซึ่งมีความเที่ยงตรงและทนทานสูงมาก ให้การสำรองพลังงานประมาณ 70 ชั่วโมง
สำหรับราคาจำหน่ายของนาฬิการุ่น GMT-Master II รุ่นใหม่ปี 2022 หน้าปัดขนาด 40 มิลลิเมตร สีดำและขอบหน้าปัด Cerachrom สีเขียวและสีดำทำจากเซรามิกสองสี สามารถกันน้ำได้ที่ระดับ 100 เมตร มีหน้าต่างไซคลอปส์แสดงวันที่ พร้อมสายนาฬิกา OYSTER ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 392,000 บาท ทั้งนี้ สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการลงทุนในนาฬิกา GMT-Master II ได้ตามบทความนี้ ” 5อันดับนาฬิกาน่าลงทุน กับคุณค่าที่อยู่เหนือกาลเวลา”
3. Daytona
Daytona คือนาฬิกาที่เป็นเครื่องมือชิ้นสำคัญสำหรับผู้ที่หลงใหลในการขับขี่และความเร็ว เปิดตัวครั้งแรกในปี ค.ศ. 1963 นาฬิกาสำหรับการแข่งขัน “สำหรับผู้ชนะ” ผ่านงานดีไซน์ที่มุ่งตอบสนองความต้องการของนักแข่งรถมืออาชีพ นาฬิกาที่รวบรวมชื่อและฟังก์ชันเข้ากับโลกแห่งการขับรถแข่งสมรรถนะสูง ปัจจุบัน นาฬิกา Cosmograph Daytona ยังคงยืนหยัดคงสถานะการเป็นสุดยอดโครโนกราฟของนาฬิกาสปอร์ต
หลังจากที่ Rolex กลายเป็นผู้จับเวลาอย่างเป็นทางการสำหรับ Daytona speedway ในปี 2017 นาฬิการุ่น Daytona ที่ Paul Newman นักแสดง ผู้กำกับภาพยนตร์ ผู้อำนวยการสร้าง นักแข่งรถ นักธุรกิจ และนักการกุศลชาวอเมริกัน เป็นผู้สวมใส่ สามารถขายได้ในราคา 17.8 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเป็นเงินไทยประมาณ 615,000,000 บาท
นอกเหนือจาก Omega Speedmaster แล้ว นาฬิการุ่นนี้ยังถือเป็นหนึ่งในนาฬิกาโครโนกราฟที่สำคัญที่สุดตลอดกาล รุ่นร่วมสมัยมีจำหน่ายในวัสดุและการออกแบบเกือบทุกประเภท ตั้งแต่โลหะมีค่าไปจนถึงหน้าปัดที่มีประกายระยิบระยับ โปรดจำไว้ว่าหน้าปัดที่เรียบง่ายกว่าและนาฬิกา Rolex สายสเตนเลสสตีลจะรักษาคุณค่าได้ดีกว่า
มาพร้อมกับมาตรวัดความเร็ว รวมถึงส่วนแสดงเวลา 3 ช่อง และปุ่มกดด้านข้าง Cosmograph Daytona ได้รับการออกแบบเพื่อเป็นเครื่องบอกเวลาสำหรับนักแข่งรถบนสังเวียนโหด ซึ่งมันจะช่วยให้นักแข่งสามารถจับเวลาที่ใช้ไป โดยแสดงเป็นรูปแบบชั่วโมง นาที และวินาทีบนหน้าปัด สามารถวัดความเร็วสูงสุดได้ 400 หน่วยวัดต่อชั่วโมง
ปัจจุบัน นาฬิกา Daytona เคลื่อนไหวด้วยกลไก คาลิเบอร์ 4130 ด้วยส่วนประกอบที่น้อยชิ้นกว่านาฬิกาโครโนกราฟมาตรฐานทั่วไป ทำให้การเคลื่อนไหวมีความเที่ยงตรงและน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น สามารถสำรองพลังงานได้นาน 72 ชั่วโมง
สำหรับราคาจำหน่ายของนาฬิการุ่น Daytona หน้าปัดสีดำขนาด 40 มิลลิเมตร และสายนาฬิกา OYSTER โดดเด่นด้วยขอบหน้าปัด CERACHROM สีดำ ที่มีสเกลวัดระยะทาง ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณ 515,030 บาท
4. Explorer
Explorer และ Explorer II นาฬิกาแห่งการสำรวจ ถือกำเนิดจากการมีส่วนร่วมอย่างจริงจังของ Rolex ในภารกิจการสำรวจ เปิดตัวครั้งแรกในปี ค.ศ. 1953 โดดเด่นด้วยดีไซน์อันเรียบง่าย และหน้าปัดสีดำ เพื่อช่วยให้อ่านเวลาได้ง่ายขึ้น ขนาดหน้าปัดอยู่ที่ 36 มิลลิเมตร วัสดุเรืองแสง Chromalight บนมาร์กเกอร์แสดงชั่วโมงและเข็มนาฬิกา ปล่อยแสงสีฟ้าติดต่อกันเป็นเวลานาน เพื่อให้อ่านเวลาในความมือได้เป็นอย่างดี โดยจะมีสีขาวในเวลากลางวัน
ในปี ค.ศ. 1971 ได้มีการเปิดตัว Explorer II ขึ้นเพื่อสืบทอดเจตนารมณ์ของ Explorer รุ่นดั้งเดิม ข้อแตกต่างระหว่างทั้ง 2 รุ่นคือ Explorer II ตัวเข็มแสดง 24 ชั่วโมงจะเป็นสีส้ม ใน Explorer มีการติดตั้งกลไก คาลิเบอร์ 3230 และใน Explorer II ติดตั้งกลไก คาลิเบอร์ 3285 ซึ่งมีความเสถียรสูง เมื่อต้องเจอกับความผันผวนของอุณหภูมิและตัวดูดซับแรงกระแทก ที่ทนทานต่อแรงกระแทก
Explorer I ถูกสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองความสำเร็จในการขึ้นสู่ยอดเขาเอเวอเรสต์ในปี 1953 ของ Sir Edmund Hillary (ฮิลลารีใช้ Rolex เพื่อคำนวณเวลาออกเดินทางอย่างแม่นยำ) Explorer II ได้กลายเป็นไอคอนด้วยตัวของมันเอง ด้วยเครื่องหมายการค้าเข็มวินาทีสีส้มที่สร้างเลียนแบบขึ้นมานับไม่ถ้วน
สำหรับราคาจำหน่ายของนาฬิการุ่น Explorer หน้าปัดสีดำ ขนาด 36 มิลลิเมตร ซึ่งมาพร้อมกับตัวเลข 3, 6 และ 9 ที่แสดง CHROMALIGHT บวกกับความทนทานเป็นพิเศษของ Oystersteel ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณ 252,900 บาท
สำหรับราคาจำหน่ายของนาฬิการุ่น Explorer II หน้าปัดสีดำ ขนาด 42 มิลลิเมตร มาพร้อมเข็มแสดงเวลา 24 ชั่วโมงรูปลูกศรและมาร์คเกอร์ชั่วโมงที่แสดง CHROMALIGHT ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณ 335,200 บาท
5. Day-Date
Day-Date สะพานที่เชื่อมอดีตกาลและอนาคตกาลเข้าด้วยกัน นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1956 ที่นาฬิการุ่นนี้ได้ถือกำเนิดขึ้น ก็ได้เป็นส่วนหนึ่งของการเป็นสักขีพยานอันยิ่งใหญ่ที่สุด หลายต่อหลายครั้ง ที่ปรากฏบนข้อมือของผู้ที่เปี่ยมไปด้วยวิสัยทัศน์ ศิลปินผู้มากความสามารถ และผู้บุกเบิกคนสำคัญ พวกเขาเหล่านี้คือผู้ที่ทำให้แต่ละวันเป็นคำมั่นสัญญาแห่งอนาคต จนได้ชื่อว่าเป็น “The President’s Watch” หรือ “นาฬิกาของเหล่าผู้นำ”
เปิดตัวในปี 1956 โดยเป็นนาฬิกาโครโนมิเตอร์แบบกันน้ำและไขลานอัตโนมัติเครื่องแรกที่นำเสนอปฏิทินพร้อมการแสดงวันและวันที่ ในหน้าต่าง 2 ช่องที่แยกกัน โดยหน้าต่างทั้งสองช่องจะเปลี่ยนพร้อมกันในเวลาเที่ยงคืน ฟังก์ชันการเปลี่ยนวันและวันที่นี้ ซึ่งก็ไม่แปลกใจหาก Day-Date จะเป็นหนึ่งในนาฬิกา Rolex ที่เป็นที่ต้องการมากที่สุดทั่วโลกทั่วโลก
มาพร้อมกับสายนาฬิกา President ที่ออกแบบขึ้นเป็นพิเศษและรังสรรค์ขึ้นจากโลหะมีค่าที่ทรงภูมิ อาทิ ทองคำและแพลทินัม จึงนับว่านาฬิกาเรือนนี้เป็นนาฬิกาที่ทรงเกียรติภูมิอย่างแท้จริง โดยรังสรรค์ขึ้นจากทองคำ 18 กะรัต หรือแพลทินัม 950 และตัวสายประกอบด้วยตัวเชื่อมรูปครึ่งวงกลมสามชิ้นที่ต่อเข้าด้วยกัน เพื่อความน่าเชื่อถือและความรู้สึกสบายขณะสวมใส่
ภาษา วันในสัปดาห์บนหน้าปัดของ Day-Date มีให้เลือกมากถึง 26 ภาษา ทั้งอักษรละติน อาหรับ ซีริลลิก ฮิบรู ญี่ปุ่น จีน หรือแม้แต่อักษรของภาษา Ge’ez ที่ใช้ในจะงอยแอฟริกาก็ตาม Day-Date จึงเป็นนาฬิกาที่แสดงออกถึงเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของผู้สวมใส่ได้เป็นอย่างดี และนับว่าเป็นนาฬิกาที่มีความเป็นสากลพร้อมๆ กับการแสดงออกถึงอัตลักษณ์ส่วนตนของผู้สวมใส่อย่างแท้จริง
xoxo