หลาย ๆ คนอาจจะมีคำถามที่อยากจะถามร้านขายกระเป๋ามือ 2 ว่ามีเทคนิคอะไร? ที่จะแยกแยะกระเป๋าของแท้และของปลอม บางท่านก็มีวิธีหาคำตอบต่าง ๆ จากผู้รู้ หรือบางท่านเลือกที่จะหาคำตอบเอง ไม่ว่าจะเป็นการเสิร์ชหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตเกี่ยวกับวิธีการดูกระเป๋า Gucci หรือหลายท่านคงเคยผ่านประสบการณ์การตั้งกระทู้ถามตามเว็บไซต์ต่าง ๆ มาแล้ว ซึ่งคำตอบที่ได้ก็อาจจะไม่ตรงกัน หรือได้รับคำแนะนำว่าควรไปซื้อที่ชอปโดยตรงจะดีกว่า ดังนั้น เราจึงได้รวบรวมเอาเทคนิคในการตรวจสอบกระเป๋า Gucci กับ วิธีดูของแท้ อย่างเข้าใจง่าย ๆ มาไว้ในบทความนี้ เพื่อไขข้อข้องใจต่าง ๆ ที่หลายคนสงสัย ส่วนจะเป็นจุดไหนบ้าง เราไปชมพร้อมกันได้เลยค่ะ
จุดที่ 1 Controllato Card (การ์ดแสดงของแท้)
สิ่งที่จำเป็นจะต้องตรวจเช็คเป็นอันดับแรกเลย คือ Controllato Card (Controllato ในภาษาอิตาลี มีความหมายว่าตรวจสอบแล้ว) ที่เปรียบเสมือนเครื่องการันตีว่า กระเป๋าใบนี้ได้ผ่านการตรวจสอบก่อนนำออกมาจำหน่าย เพราะกระเป๋ากุชชี่ของแท้ทุกใบจะต้องมีการ์ดใบนี้เสมอ ถ้าหากไม่มีให้สันนิษฐานไว้ว่าอาจจะเป็นของปลอม รายละเอียดของการ์ดมีดังนี้ มีตัวอักษร “GUCCI” ตัวพิมพ์ใหญ่อยู่ตรงตำแหน่งกึ่งกลางของการ์ด บรรทัดถัดมา จะพิมพ์คำว่า “Controllato” และด้านล่างสุดจะเป็นตัวเลขทั้งหมด 10 ตัว (1234567890)
จุดที่ 2 Box and Dustbag (กล่องและถุงผ้า)
ก่อนการซื้อกระเป๋าทุกครั้ง เราควรที่จะต้องเช็คอุปกรณ์ที่มาพร้อมกับกระเป๋าเสียก่อน ไม่ว่าจะเป็นกล่อง หรือถุงผ้าที่แถมมาพร้อมกับกระเป๋า จุดสังเกตทั้งกล่องและถุงผ้า จะอยู่ที่ตัวอักษร GUCCI ซึ่งอยู่ตำแหน่งด้านหน้า จะเป็นตัวพิมพ์ใหญ่ทั้งหมด โดยที่ตัว G และ C จะมีลักษณะกลมจนคล้ายกันกับตัว O และตัว U จะมีขีดด้านซ้ายจะหนากว่าขีดด้านขวา
จุดที่ 3 Stitching (ฝีเข็ม)
Gucci เป็นแบรนด์ที่ให้ความสำคัญกับงานฝีมือเป็นอย่างมาก ดังนั้น กระเป๋าทุกใบจึงมีฝีเข็ม (Stitching) ที่เกิดจากงานฝีมือคุณภาพสูง รอยเย็บมีความปราณีต เป็นระเบียบ ไม่มีเศษด้ายที่หลุดรุ่ย
จุดที่ 4 Hardware (อะไหล่)
ในกระเป๋ากุชชี่ของแท้ทุกใบจะมีอะไหล่ (Hardware) ที่ทำจากวัสดุคุณภาพสูง ไม่ว่าจะเป็นโลหะเงินหรือทอง บนอะไหล่ (Hardware) แต่ละชิ้นจะมีการสลักตัวอักษรที่เป็นโลโก้ทั้งแบบ GUCCI และ GUCCI made in Italy โดยตัวอักษรจะต้องมีความคมชัด เว้นระยะห่างเท่ากัน
สกรูที่กุชชี่ใช้จะเป็นสกรูหัว Combi มีด้านบนคล้ายกับเครื่องหมายลบ ( – )
ส่วนซิปที่นิยมนำมาใช้นั้นจะเป็นซิปจากบริษัท Lampo และ YKK ซึ่งเราสามารถสังเกตยี่ห้อของซิปได้จากบริเวณหัวซิป และบริเวณตัวซิป โดยจะมีการสลักชื่อแบรนด์ของซิปเอาไว้เป็นสัญลักษณ์
จุดที่ 5 Tag (แท็กสินค้า)
สิ่งสำคัญอีกหนึ่งอย่างที่เป็นตัวบ่งชี้ว่ากระเป๋าเป็นของจริงหรือไม่ นั่นก็คือ แท็กหนัง (Tag) ด้านในกระเป๋า จะประทับด้วยตัวอักษร GUCCI ที่เป็นตัวพิมพ์ใหญ่ทั้งหมด โดยที่ตัว G และ C จะมีลักษณะกลมจนคล้ายกันกับตัว O และตัว U จะมีขีดด้านซ้ายจะหนากว่าขีดด้านขวา และในบรรทัดต่อมาจะปั้มคำว่า made in Italy จะเป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมด และจะมีกระเป๋าในบางรุ่นที่คำว่า MADE IN ITALY ที่เป็นตัวพิมพ์ใหญ่ทั้งหมดด้วย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นกระเป๋าในช่วงยุคที่ ทอม ฟอร์ด (Tom Ford) เป็นครีเอทีฟไดเรกเตอร์ของแบรนด์ Gucci
จุดที่ 6 Serial Number (เลขประจำกระเป๋า)
ด้านหลังของแท็กหนังจะระบุเลข Serial Number เป็นตัวเลขทั้งหมด 10 – 13 ตัว โดยแบ่งเป็น 2 แถว ตัวเลขในแถวด้านบน เรียกว่า “Model Number” จะบ่งบอกถึงรุ่นของกระเป๋า ว่าเป็นกระเป๋ารุ่นไหนแบบไหน ในส่วนของเลขแถวบนนี้ อาจมีการซ้ำกันได้ ส่วนตัวเลขแถวล่าง “Serial Number” คือจะเป็นเลขเฉพาะของกระเป๋าใบนั้น ๆ
จุดที่ 7 Code Tag (รหัสในแท็กผ้า)
ด้านในกระเป๋ารุ่นใหม่ ๆ จะมี Code Tag ระบุบนแผ่นผ้าใบเล็ก ๆ เย็บติดไว้ที่มุมด้านในของกระเป๋าด้านซ้าย มีลักษณะเป็นผ้าลื่น ๆ สีดำขนาดเล็ก ระบุตัวเลขจำนวน 10 ตัวด้วยกัน ตามด้วย QR Code ทั้งหมดจะต้องมีความชัดเจน ตัวอักษรไม่เลอะเลือน หรือมีสีที่เกินออกมาดูเลอะเทอะ
หากจะพิจารณว่าแบรนด์ Gucci วิธีดูของแท้ นั้นสามารถได้จากจุดใดบ้าง ก็คงต้องอาศัยข้อมูลเบื้องต้นที่กล่าวมา และประสบการณ์ส่วนตัวในการดูตามจุดสังเกตต่าง ๆ ตั้งแต่ภายนอก คือ ตัวกระเป๋า ฮาร์ดแวร์ และอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ ที่มาพร้อมกับกระเป๋า ไปจนกระทั่งภายในกระเป๋าอันได้แก่ แท็กด้านใน หมายเลขซีเรียลนัมเบอร์ การตรวจสอบจากคิวอาร์โค้ด
อย่างไรก็ตาม การซื้อขายกระเป๋าแบรนด์เนมมือ 2 นั้นถือเป็นเรื่องปกติในสังคมยุคปัจจุบัน เพราะนอกจากจะเป็นการประหยัดเงินในกระเป๋าแล้ว ยังเป็นการสร้างตลาดให้กับกระเป๋าแบรนด์เนมในรูปแบบใหม่ หรือที่เรียกว่า แฟชั่นหมุนเวียน ดังนั้น ชาวแฟชั่นนิสต้าทั้งหลายควรจะต้องศึกษาข้อมูลเหล่านี้เอาไว้มาก ๆ เพื่อเป็นประโยชน์ในการซื้อ-ขาย กระเป๋าแบรนด์เนมที่คุณสนใจ
รัก
xoxo