Chanel No. 5 หรือน้ำหอมหมายเลข 5 ซึ่งถือได้ว่าเป็นไอเทมอมตะ อันอยู่เหนือกาลเวลาที่อยู่คู่กับโลกแห่งเครื่องหอมบนเรือนร่างของหญิงสาวมานานนับศตวรรษ น้ำหอมที่ถูกออกแบบมาเพื่อสะท้อนกลิ่นอายและเสน่ห์ของความเป็นผู้หญิงอย่างเต็มเปี่ยม อย่างที่ทราบกันดีว่า ไอเทมต่าง ๆ ที่ได้รับการออกแบบโดยเจ้าแม่แห่งวงการแฟชั่นตลอดกาลอย่าง Coco Chanel จะระบุด้วยหมายเลขที่มีความหมายเบื้องหลังด้วยกันทั้งสิ้น
ในปีค.ศ. 2021 น้ำหอมแห่งประวัติศาสตร์นี้ จะมีอายุครบ 100 ปีอย่างเป็นทางการ ในวันนี้ เราจะพาทุกคน ย้อนรอยกลับไป เพื่อทำการถอดรหัสน้ำหอมหมายเลข 5 อันเลื่องชื่อนี้ ทำไม โคโค่กับเลข 5 จึงได้มีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง และเพราะเหตุใด น้ำหอมหมายเลข 5 นี้ ถึงยังคงยืนหยัด โปรยเสน่ห์ความหอมที่ไม่เคยจางหาย ให้กับสาว ๆ ทั่วโลก อีกทั้งยังคงเป็นน้ำหอมที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลกอีกด้วย ร่วมติดตามไปพร้อมกัน
The Idea
ย้อนกลับไปเมื่อปี ค.ศ. 1921 หลังจากที่ชาแนล นอกเหนือจากการสร้างสรรความงามทางด้านแฟชั่นที่แสดงออกถึงตัวตนอย่างชัดเจนแล้ว เธอยังต้องการรังสรรค์น้ำหอม ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของหญิงสาวได้อย่างแท้จริง น้ำหอมที่สามารถสะท้อนความเป็นผู้หญิงออกมาได้อย่างเต็มที่ และไม่เคยมีใครริเริ่มผลิตมาก่อนในยุคนั้น เธอจึงได้ร่วมมือกับ Ernest Beaux (เออร์เนสต์ โบซ์) นักปรุงน้ำหอมชื่อดัง ผู้สร้างชื่อจากการปรุงน้ำหอมส่วนพระองค์ให้กับพระเจ้าซาร์ของรัสเซีย
เธอได้มีโอกาสรู้จักกับนักปรุงน้ำหอมมีชื่อผู้นี้ เมื่อครั้งออกเดตกับ Grand Duke Dmitri Pavlovich (แกรนด์ดยุก ดมิทรี พาฟโลวิช) แห่งรัสเซีย ขณะกำลังพักผ่อนเที่ยวชายหาดในโกตดาซูร์ ชาแนลซึ่งขณะนั้นกิจการแฟชั่นกำลังไปได้ด้วยดี ได้ปรึกษากับพาฟโลวิชว่าคงดีไม่น้อยถ้าเธอจะมีน้ำหอมภายใต้แบรนด์ของตัวเอง นั่นเป็นจุดเริ่มต้น ในการร่วมงานกันของเธอและเออร์เนสต์
หลังการพบกันครั้งแรก ชาแนลได้มอบโจทย์ให้เออร์เนสต์ตีความทันที ซึ่งน้ำหอมที่เธอต้องการนั้น ต้องมีกลิ่นเหมือน “ผู้หญิง” ที่ให้ความรู้สึกสะอาดสดชื่น ประหนึ่งเพิ่งอาบน้ำ เออร์เนสต์ทำการบ้านอย่างหนัก โดยใช้เวลาคิดค้นส่วนผสมนานอยู่หลายเดือน จนได้ตัวอย่างออกมาให้ชาแนลได้ทดลองเป็นจำนวนทั้งหมด 10 สูตร จากจำนวนทั้งหมด 80 สูตรที่ทำการปรุงขึ้นมา โดยใช้ชื่อเรียกเป็นรหัสตัวเลข คือ 1-5 และ 20-24
จากตัวอย่างน้ำหอมที่เออร์เนสต์ได้นำมาให้เธอได้เลือกสรรค์ ชาแนลตกลงใจเลือกตัวอย่างทดลองหมายเลข 5 ซึ่งมีส่วนผสมของดอกไม้หลากหลายชนิด โดยส่วนใหญ่เป็นดอกไม้ที่หายากและมีราคาแพง แก่นแท้ที่ล้ำค่าที่สุดคือดอกมะลิจากแคว้น Grasse (กราสส์) ที่จะให้ดอกเพียง 3 สัปดาห์ต่อปีเท่านั้น (ถือเป็นวัตถุดิบที่หรูหราที่สุดในโลก) นอกจากนี้ยังมีหญ้าแฝกเฮติไม้จันทน์ดอกส้มและถั่วทงกาของบราซิล สอดผสานกับกระดังงาจากหมู่เกาะคอโมโรส ไม้จันทร์จากไมซอร และบูรบองเวติแวร
สิ่งที่ทำให้มันลึกลับและโดดเด่นมากยิ่งขึ้น จนเตะจมูกของมาดมัวแซล นั่นก็คือการใช้ แอลดีไฮด์ (Aldehyde) เป็นสารเคมีสังเคราะห์ที่ช่วยเพิ่มความซับซ้อนของกลิ่น ซึ่งให้กลิ่นซิตรัสผสมกลิ่นดอกไม้ (คล้ายกลิ่นสบู่) เพื่อดึงคุณสมบัติอันเย้ายวนออกมา ซึ่งกว่าจะได้ Chanel N°5. ขนาด 1.5 กิโลกรัม ต้องใช้ดอกไม้สดน้ำหนักถึง 1000 กิโลกรัมเลยทีเดียว และแล้วในปีเดียวกัน น้ำหอมหมายเลข 5 จึงเริ่มการผลิตและกลายเป็นตำนานจนถึงทุกวันนี้
The Scent
สิ่งที่ชาแนลกล่าวกับเออร์เนสต์ ถึงความต้องการของเธอในการผลิตน้ำหอม คือ เธอต้องการ “น้ำหอมของผู้หญิง ที่ให้กลิ่นเหมือนผู้หญิง” โดยสามารถใช้วัตถุดิบราคาแพงที่สุด ที่สามารถหาได้ในท้องตลาด เพื่อป้องกันการเลียนแบบ จนทุกวันนี้ ยังไม่มีใครรู้สูตรของน้ำหอมหมายเลยเลข 5 ที่แท้จริง แต่โดยหลัก ส่วนประกอบที่ใช้จะมี ดอกมะลิ (Jasmine), ดอกกุหลาบ (May Rose) และ ดอกกระดังงา (ylang-ylang) ที่มาจากสวนดอกไม้ในเมืองกราสส์ ประเทศฝรั่งเศส
Joseph Mul เจ้าของสวนดอกไม้ตระกูล Mul รุ่นที่ 5 ได้เล่าว่า ในปี ค.ศ. 1921 บรรพบุรุษรุ่นย่าของเขา ได้มีโอกาสร่วมงานกับ ชาแนล ในการผลิตน้ำหอมหมายเลข 5 ขึ้นมา จนถึงปัจจุบัน ทางแบรนด์ชาแนล ยังคงรับซื้อดอกไม้จากสวนแห่งนี้อยู่ โดยจะรับซื้อดอกมะลิทั้งหมด รวมถึงดอกกุหลาบประมาณ 40% ทั้งยังกล่าวอีกว่า ชาแนลเป็นอีกแบรนด์ที่ยังคงกรรมวิธีการผลิตน้ำหอม ที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปจากแบบดั้งเดิม
จุดเด่นของการนำเอาดอกไม้จากเมืองกราสส์ มาเป็นส่วนประกอบในน้ำหอมนั้น เนื่องจากเมืองกราสส์มีสภาพอากาศที่ไม่หนาวมาก เหมาะแก่การปลูกดอกไม้ โดยดอกกุหลาบที่เมืองกราสส์ จะเรียกกันว่า Rose de Mai หรือ May Rose ซึ่งจะบานเพียงแค่ 5 อาทิตย์ ในช่วงเดือนพฤษภาคมจนถึงต้นเดือนมิถุนายน และมีกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ น่าหลงไหลกว่ากลิ่นดอกกุหลาบทั่วไป
การเก็บดอกกุหลาบที่สวนของ Joseph Mul จะเริ่มในช่วง 10 โมงเช้า โดยใช้คนงานถึง 70 คน ทำการเก็บดอกกุหลาบให้ได้ 37 ต้น ทุกขั้นตอนต้องใช้ความพิถีพิถันและทำการเก็บดอกไม้ทุกดอกด้วยมือทั้งหมด ทั้งนี้ เพื่อป้องกันความบอบช้ำ ที่จะเกิดขึ้นกับดอกไม้ นี่เป็นเหตุผลว่าทำไม ถึงไม่สามารถเลียนแบบกลิ่นของชาแนลหมายเลข 5 ได้ นั่นเป็นเพราะการจะสกัดกลิ่นของดอกไม้ออกมา จะต้องใช้ดอกไม้เป็นจำนวนมาก
ยกตัวอย่าง ดอกมะลิ 8,000 ดอก จะหนักประมาณ 1 กิโลกรัม การจะสกัดเอาน้ำมันจากดอกมะลิ 1 ลิตร จะต้องใช้ดอกไม้ประมาณ 700 กิโลกรัม ฉะนั้นในการที่จะได้มาซึ่งน้ำมันจากดอกมะลิ (absolute) ในปริมาณ 1 ลิตรนั้น จะต้องใช้ดอกมะลิเป็นจำนวนมากถึง 560,000 ดอกเลยทีเดียว จึงทำให้กลิ่นของมัน หอมติดทนนานกว่าน้ำหอมทั่วไป
Number 5
หากถามว่า ทำไมหมายเลข 5 กับมาดามชาแนล ถึงมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันลึกซึ้งนัก ตัวอย่างน้ำหอมหมายเลข 5 ที่เธอเลือก อันตอบโจทย์ของเธอ ที่กำลังมองหาน้ำหอมที่มีกลิ่นหอมของผู้หญิง น้ำหอมที่สื่อถึงบุคลิกและตัวตนของเธอ อันเป็นการสะท้อนถึงจิตวิญญาณและความซับซ้อนของผู้หญิงยุคใหม่
เราสามารถย้อนไปถึงวลีอันเป็นตำนาน ที่ชาแนลเคยกล่าวเอาไว้ เกี่ยวกับหมายเลข 5 ไว้ดังนี้ “I show my collections on the fifth of May, the fifth month of the year, so let’s leave the number it bears, and this number five will bring it good luck,” (ฉันนำเสนอคอลเล็กชั่นเสื้อผ้าในวันที่ 5 เดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นเดือน 5 ของปี ดังนั้นเราจึงเก็บเลข 5 ของรหัสทดลองนี้ไว้ มันจะนำความโชคดีมาให้เรา) ชาแนลกล่าวถึงน้ำหอมของเธอในวันเปิดตัวเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม ปี 1921
Tilar Mazzeo (ติลาร์ มาซเซโอ) ผู้เขียนหนังสือ The Secret of Chanel No.5 กล่าวว่า น้ำหอมสุดพิเศษนี้ เกิดขึ้นจากความผิดพลาดในห้องทดลอง เนื่องจากหนึ่งในผู้ช่วยคนหนึ่งของเออร์เนสต์ เผลอใส่ส่วนประกอบ แอลดีไฮด์ ลงไปมากกว่าปกติ แต่ผลที่ได้กลับกลายเป็นว่า กลิ่นของ แอลดีไฮด์นั้น ให้กลิ่นที่ทำให้ชาแนลรู้สึกคล้ายกับกลิ่นสบู่ที่เธอชื่นชอบอีกด้วย
ด้วยลักษณะของกลิ่นหอมเฉพาะตัว ที่มีความคล้ายกับกลิ่นของผู้หญิง แบบ aldehydic floral ซึ่งเป็นส่วนผสมที่ยากต่อการเลียนแบบ ส่งผลให้ Chanel No.5 ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในทันที เนื่องในขณะนั้น น้ำหอมส่วนมาก จะใช้ส่วนผสมจากพวกซิตรัส เช่น เลมอน มะกรูดหรือส้มเท่านั้น เพื่อสร้างกลิ่นหอมแนวสดชื่น ดังนั้น Number 5 จึงเปรียบเสมือนการเปิดโลกทัศน์และความสดชื่นของน้ำหอมที่เสนอความน่าหลงไหลเหนือระดับ
หลังความสำเร็จของน้ำหอมหมายเลข 5 ชาแนลได้เชิญเออร์เนสต์และเพื่อน ๆ ไปเฉลิมฉลองความสำเร็จ ณ ร้านอาหารสุดหรูแห่งหนึ่งในเฟรนช์ริเวียร่า ซึ่งในคืนนั้นเธอได้ชะโลมน้ำหอม No.5 นี้ไปทั่วโต๊ะ กลิ่นหอมอันน่าหลงไหลของมัน ทำเอาผู้หญิงหลายคนที่กำลังเดินผ่านร้านอาหารแห่งนั้น ต้องหยุดละงักและเดินเข้ามาถามที่ร้านถึงกลิ่นหอมที่ว่านี้ มาจากไหน
ติลาร์ มาซเซโอ ได้กล่าวถึงเหตุการณ์นี้ว่า “สำหรับโคโค่นี่คือโมเมนต์ที่ยืนยันได้อย่างชัดเจนว่าน้ำหอมขวดนี้จะเป็นน้ำหอมที่ปฏิวัติวงการน้ำหอมไปตลอดกาล” อีกทั้งยังกล่าวย้ำว่า “นั่นเป็นครั้งแรกที่ผู้คนทั่วไปได้กลิ่นน้ำหอมหมายเลข 5 ของชาเนลและต้องหยุดตามหาที่มาของมัน เป็นช่วงเวลาที่ผู้บริโภคได้สัมผัสกลิ่นที่พวกเขาไม่เคยได้กลิ่นมาก่อน มันคือประวัติศาสตร์ของวงการน้ำหอม”
ส่วนรูปลักษณ์ของขวดน้ำหอมและกล่อง แสดงให้เห็นถึงความเรียบง่าย ที่เป็นความทรงจำของ Coco กล่องสีขาวขลิบดำ ประหนึ่งหน้าต่างและระเบียงสีขาวในสถานรับเลี้ยงเด็กที่เธอเคยอยู่ในวัยเยาว์ ตัวขวดทำจากแก้วโปร่งใสที่มองเห็นน้ำหอมสีทองอำพันได้อย่างชัดเจน ในช่วงปี 1921 ขวดน้ำหอมทั่วโลกมักถูกดีไซน์ให้เป็นขวดกลม แต่ น้ำหอมหมายเลข 5 นี้ กลับออกแบบด้วยคอนเซ็ปต์มินิมอล และมีเหลี่ยมมุม โดยได้แรงบันดาลใจจากปลาส ว็องโดม (Place Vendome) ณ กรุงปารีส ถือเป็นความแตกต่างที่น่าสนใจสำหรับผู้คนในยุคนั้น
ตั้งแต่ถือกำเนิดมาจนถึงวันนี้ น้ำหอมขวดนี้มีการปรับแต่งรูปทรงขวดเพียง 5 ครั้ง และส่วนมากเป็นเรื่องขนาดของหัวจุกขวดเท่านั้น ในช่วงปี 1950’s ขนาดของหัวจุกได้ถูกปรับเปลี่ยนให้มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิมจากรูปทรงดั้งเดิมของปี 1924 ต่อมาในช่วงปี 1970’s ขนาดของหัวจุกนั้นได้เพิ่มขนาดให้ใหญ่ยิ่งกว่าเดิมและหนากว่ามาก แต่พอมาในปี 1986 ขนาดของหัวจุกก็ได้ถูกปรับเปลี่ยนให้มีขนาดที่เล็กและกระทัดรัดลง คล้ายกับแบบดั้งเดิมเมื่อสมัยก่อน ซึ่งถูกใช้มาจนถึงปัจจุบัน
กล่าวกันว่า แรงบันดาลใจของชาแนล ที่กลายเป็นต้นกำเนิดไอเดียในการผลิตน้ำหอมของตัวเองในครั้งนี้ เกิดขึ้นสมัยที่เธอได้มีโอกาสคลุกคลีกับเหล่าคุณนายในสังคมชั้นสูง ที่มักเลือกใช้น้ำหอมที่สามารถดึงดูดอารมณ์ของเพศตรงข้าม เช่นกลิ่นมะลิหรือมัสก์ ซึ่งนั่นเป็นกลิ่นที่ติดจมูกและสร้างแรงบันดาลใจให้ชาแนลมานานหลายปี อีกทั้งเธอยังให้นิยามความเป็นน้ำหอมหมายเลข 5 นี้ ว่าเป็น “อ้อมแขนแห่งพฤกษานามธรรม” (ดอกไม้ที่ไม่มีตัวตนแท้จริง)
บ่อยครั้ง Chanel No.5 มักจะถูกมองว่าเป็นน้ำหอมของคนแก่ สาว ๆ หลายคนมักจะคิดว่ากลิ่นของชาแนล นัมเบอร์ 5 เป็นกลิ่นของคุณแม่คุณยาย ที่พวกเธอจดจำได้ในวัยเยาว์ และดูมีกลิ่นที่รุนแรงเกินกว่าที่พวกเธอจะใช้มัน ซึ่งต่อมาในปี ค.ศ. 1986 ฌาคส์ โพลจ์ (Jacques Polge) นักปรุงน้ำหอมชาวฝรั่งเศส ได้คิดค้นน้ำหอมนี้ในเวอร์ชั่นใหม่ โดยใช้ชื่อว่า Chanel No.5 Eau de Parfum
ซึ่งน้ำหอมเวอร์ชั่นใหม่นี้ ได้ถูกตีความใหม่ ให้มีความร่วมสมัยมากยิ่งขึ้น ด้วยกลิ่นจากส้ม และการนำกลิ่นของวานิลลาเข้ามาเสริมความหอม ทำให้น้ำหอมหมายเลข 5 ในนิยามใหม่นี้ เข้าถึงหญิงสาว ครองใจตลาดสาวรุ่นได้เพิ่มขึ้น จากการผสมผสานความหอมแบบคลาสสิกดั้งเดิมกับความทันสมัย ที่สามารถเข้ากันได้อย่างลงตัว ในปัจจุบัน น้ำหอมในคอลเล็กชั่น No.5 นี้ มีด้วยกันทั้งหมด 5 แบบ โดยแบ่งเป็น
- The Original No.5 : น้ำหอมนัมเบอร์ไฟว์ต้นตำรับ ความหอมที่เกิดจาก กุหลาบสายพันธุ์เมย์โรสและมะลิจากเมืองกราสส์ซึ่งทำให้กรุ่นกลิ่นโดยเทคนิคแอลดีไฮด์ เป็นน้ำหอมที่ขึ้นชื่อว่าเป็น “น้ำหอมสำหรับผู้หญิงที่มีกลิ่นอายของความเป็นอิสตรี” ดีไซน์ที่เรียบง่ายของขวดบรรจุ ส่งผลให้ตัวน้ำหอมโดดเด่น ซึ่งรูปลักษณ์ของขวดที่โด่งดังในปัจจุบันนี้ ไม่เคยเปลี่ยนจากต้นแบบเลย
-
N°5 Eau de Parfum : น้ำหอมที่ถูกคิดค้นโดย ฌาคส์ โพลจ์ (Jacques Polge) นักปรุงน้ำหอมชาวฝรั่งเศส เมื่อปี ค.ศ. 1986 เสริมความหอม ให้แตกต่างจากนัมเบอร์ไฟว์ต้นตำรับด้วยพืชตระกูลส้มและกลิ่นวานิลลาอันเย้ายวน เพื่อให้เข้าถึงหญิงสาวสมัยใหม่ และมีความร่วมสมัยมากยิ่งขึ้น
- N°5 Eau de Toilette : เป็นน้ำหอมนัมเบอร์ไฟว์ ที่มีความหอมจากไม้ผสมดอกไม้ เป็นการตีความที่เพิ่มความสดชื่นให้นัมเบอร์ไฟว์ เป็นช่อดอกนานาพันธุ์ซึ่งส่งกลิ่นด้วยเทคนิคแอลดีไฮด์ ผสมผสานกับกลิ่นความแข็งแกร่งของแซนดัลวู้ด ในส่วนของบรรจุภัณฑ์ของน้ำหอมรุ่นนี้ เป็นรุ่นเดียวที่ขวดมีรูปทรงแตกต่างจากรุ่นอื่น โดยมีรูปทรงเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าแนวยาว และฝาปิดของมันเป็นไม้เคลือบสีดำ
-
N°5 EAU PREMIÈRE : นัมเบอร์ไฟว์ที่นำเสนอกลิ่นของน้ำหอมต้นตำรับ โดยใช้กลิ่นของมะลิกระตุ้นให้กลิ่นกระดังงาจากเกาะโคโมรอสเผยออกมา ให้กลิ่นหอมอ่อน ๆ แต่เย้ายวนใจ ถูกตีความและรังสรรค์เมื่อปี ค.ศ. 2008 โดย ฌากส์ โพลจ์ ซึ่งเป็นช่างปรุงน้ำหอมให้แก่ชาเนลตั้งแต่ปี ค.ศ. 1978
-
N°5 L’EAU : กำเนิดเมื่อปี ค.ศ. 2016 สร้างสรรค์โดย โอลิวิเยร์ โพลจ์ นักปรุงน้ำหอมของ House of Chanel ด้วยการจำแนกสูตรดั้งเดิมแล้วนำส่วนผสมแต่ละอย่างมารังสรรค์กลิ่นใหม่ที่แสนสดชื่น กลิ่นพืชตระกูลส้มกระจายฟุ้งออกมาด้วยวิธีแอลดีไฮด์ ตามมาด้วยกลิ่นหอมหวลของมะลิ กุหลาบและกระดังงา และกลิ่นอันกระฉับกระเฉงของหญ้าแฝกและไม้ซีดาร์
Advertising and marketing
น้ำหอมหมายเลข 5 ได้รับความนิยมอย่างสูง เนื่องจากน้ำหอมในสมัยนั้น มักจะสกัดจากพฤกษาธรรมชาติ แต่หมายเลข 5 มีส่วนประกอบพิเศษที่สามารถดึงความโดดเด่นของกลิ่นออกมาได้อย่างไม่มีใครสามารถลอกเลียนแบบได้ จึงนับว่าเป็นเรื่องที่ดูแปลกใหม่ และน่าค้นหา หลังติดตลาดในฝรั่งเศสได้ไม่นาน ชาแนล อยากให้น้ำหอมกลิ่นนี้เป็นที่รู้จักไปทั่วยุโรปและอเมริกา จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1924 ชาแนลจึงได้ร่วมมือกับ Théophile Bader ผู้ก่อตั้ง Galeries Lafayette และ สองพี่น้องชาวยิว Pierre และ Paul Wertheimer เจ้าของอาณาจักรน้ำหอมชื่อดัง house Bourjois
ชาแนลได้ทำข้อตกลง โดยมีรายละเอียดว่า สองพี่น้อง Wertheimer จะเป็นผู้ออกทุนทั้งหมดให้ชาแนลนัมเบอร์ 5 และจะแบ่งผลกำไรออกเป็น 70-20-10 (Wertheimer-Théophile Bader-Coco Chanel) เธอให้เหตุผลถึงการได้ส่วนแบ่งกำไรน้อยที่สุดนี้ว่า เธอไม่อยากที่จะเข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องเงินทองรวมถึงเรื่องของการบริหาร เธอต้องการได้กำไรจากการสร้างชื่อเสียงของแบรนด์เพียงเท่านั้น
Parfums Chanel เป็นนิติบุคคลที่ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1924 เพื่อดำเนินการผลิต การตลาดและการจัดจำหน่ายธุรกิจเครื่องหอม ซึ่งชาแนลต้องการขยายการจำหน่ายน้ำหอมหมายเลข 5 ของเธอไปทั่วโลก โดยเริ่มเปิดตลาดแห่งแรกที่เมืองนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา การตลาดในช่วงแรกเป็นไปอย่างรอบคอบและมีข้อจำกัดหลายอย่าง โฆษณาชิ้นแรก ปรากฏใน The New York Time เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม ปี ค.ศ. 1924
โฆษณาดังกล่าว เป็นเพียงโฆษณาเล็ก ๆ เพื่อบอกกล่าวถึงสถานที่จัดจำหน่ายน้ำหอมของแบรนด์ชาแนล อยู่ที่ Bonwit Teller ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้าหรู ปรากฏเป็นภาพน้ำหอมเรียงรายกันตั้งแต่ น้ำหอมหมายเลข 9, 11, 22 โดดเด่นด้วยน้ำหอมหมายเลข 5 ตรงกึ่งกลาง โฆษณาซึ่งโปรโมตเฉพาะ No.5 ออกฉายใน The New York Times เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน ค.ศ. 1934
ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1940 มีการเคลื่อนไหวของผู้ผลิตน้ำหอมรายอื่น ๆ ในเรื่องของการตลาดและการโฆษณา แต่ทาง Parfums Chanel กลับทำตรงกันข้าม โดยลดการโฆษณาลง ในช่วงปี 1941 แทบจะไม่มีสื่อสิ่งพิมพ์เกี่ยวกับน้ำหอมชาแนลออกมาเลย แต่มันการขายน้ำหอมกลับเฟื่องฟูอย่างมากในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ผลักดันให้ยอดขายน้ำหอมในสหรัฐอเมริกา ในช่วงปี 1940-1945 พุ่งสูงขึ้นเป็น 10 เท่า
ช่วงสงคราม ผู้อำนวยการของ Parfums Chanel ในขณะนั้น ได้ปฏิวัติแนวทางการตลาดแบบใหม่ เพื่อให้เข้าถึงลูกค้าระดับกลางมากยิ่งขึ้น ในช่วงปี ค.ศ. 1934 ตอนนี้แผนคือการขยายตลาดโดยการขายน้ำหอมในการแลกเปลี่ยนสินค้าทางทหาร เป็นการเคลื่อนไหวที่มีความเสี่ยงที่อาจทำลายเสน่ห์ของแบรนด์ แต่มันกลับให้ผลตรงกันข้าม น้ำหอมกลายเป็นของที่ระลึกที่เหล่าบรรดาทหารปรารถนาจะได้ครอบครองเพื่อนำไปฝากบุคคลอันเป็นที่รัก
อย่างไรก็ดี ความสำเร็จของ Chanel No.5 กลับแปรผกผันกับความสัมพันธ์ระหว่าง ชาแนล และ Wertheimer ในระหว่างที่ปารีสถูกนาซีเยอรมันยึดครอง ชาแนล ทำงานเป็นสายลับให้เยอรมัน หลังจากเธอมีความสัมพันธ์กับ Baron Hans Gunther von Dincklage ทูตลับประจำสถานทูตเยอรมนีในปารีส เธอได้รับเลือกให้เป็นสายลับของหน่วยสืบราชการลับเยอรมนี และต้องเดินทางไปสเปนเพื่อคัดเลือกคนที่จะเข้ามาเป็นสายลับให้เยอรมนี
การเดินทางในครั้งนั้น ทำให้เธอได้มีโอกาสทำความรู้จักกับบุคคลชั้นสูงมากมาย ซึ่งเธอก็สามารถทำตัวกลืนไปได้อย่างแนบเนียนและพยายามใช้สายสัมพันธ์นั้นเพื่อประกาศสงครามน้ำหอม อันเกิดจากกรณีข้อพิพาทในเรื่องของธุรกิจระหว่างเธอกับสองพี่น้องเชื้อสายยิว ซึ่งเริ่มแรก ได้ให้เงินสนับสนุนในการผลิตน้ำหอม แต่ในภายหลังก็จัดการเคลมหุ้นใหญ่ในบริษัท โดยเหลือให้ชาแนลเพียงแค่ 10% ซึ่งสร้างความไม่พอใจแก่ชาแนลเป็นอย่างมาก
เป็นที่ทราบกันดีว่า นาซีเยอรมันนั้นเกลียดชาวยิวอย่างมาก ชาแนลจึงสบโอกาสที่จะจัดการสองพี่น้องคู่นี้ โดยชาแนล ชูประเด็นว่าน้ำหอมหมายเลข 5 นี้ เป็นผลผลิตที่ยิ่งใหญ่ของเชื้อสายอารยัน ไม่ควรเลยที่จะถูกชาวยิวแย่งชิงไป แม้จะสู้อยู่นานแต่เธอก็ล้มเหลวในเรื่องนี้เพราะครอบครัว Wertheimers คิดเร็วกว่า ส่งมอบกิจการให้เพื่อนชาวฝรั่งเศสที่ไม่มีประวัติเป็นชาวยิว จากนั้นจึงหนีไปนิวยอร์ค แล้วกลับมาบริหารเองภายหลังสงครามสิ้นสุด
หลังแพ้สงคราม Chanel ลี้ภัยไปอยู่สวิสเซอร์แลนด์และเริ่มเปิดแบรนด์น้ำหอมของตัวเอง โดยเริ่มจำหน่าย Mademoiselle Chanel No. 5 ให้กับลูกค้าชั้นสูงที่ถูกเลือกเท่านั้น ซึ่งนั้นก็เท่ากับว่ามีน้ำหอม Chanel ออกมาถึงสองแบรนด์ด้วยกัน พี่น้อง Wertheimers เห็นท่าไม่ดีเลยนัดไกล่เกลียกับ ชาแนล โดยยอมถอยหนึ่งก้าว จ่ายผลกำไรจากการขายน้ำหอมช่วงสงครามทั้งหมดให้ ชาแนล คิดเป็นเงินสดทั้งสิ้น 400,000 ดอลลาร์ (หรือประมาณเก้าล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน) นอกจากนั้นเธอยังจะได้รับเงินส่วนแบ่งในอัตรา 2% ของยอดขายน้ำหอมทั่วโลกไปจนตลอดชีวิตของเธอ (2% ที่ว่ามีค่าประมาณ 25 ล้านดอลลาร์ต่อปีซึ่งก็มากพอที่ทำให้เธอเป็นหนึ่งในผู้หญิงที่รวยที่สุดในโลกของยุค)
สงครามน้ำหอมกว่า 20 ปีของ Chanel ปิดฉากลงอย่างเป็นทางการในปีค.ศ. 1954 ชาแนลในวัย 70 เดินทางกลับมาปารีสเพื่อเปิดสตูดิโอแฟชั่นอีกครึ่ง เธอได้รับความช่วยเหลือทางการเงินจากครอบครัว Wertheimer และเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน Wertheimer ได้รับสิทธิ์ในการใช้ชื่อแบรนด์ Chanel ทั้งหมดอย่างเป็นทางการ (รวมถึงเสื้อผ้า กระเป๋า และอื่นๆ) Coco Chanel เสียชีวิตในปีค.ศ. 1971 ในวัย 87 ทิ้งชื่อ Chanel น้ำหอมที่ครองใจสาว ๆ ทั่วโลกมากกว่า 90 ปีไว้กับตระกูล Wertheimer ครอบครัวเชื้อสายยิวที่น้อยคนนักจะรู้ว่าอยู่เบื้องหลังอาณาจักรน้ำหอมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก
น้ำหอม Chanel No.5 เป็นน้ำหอมที่สะท้อนถึงความเป็นผู้หญิง ถือได้ว่าเป็นตัวแทนและภาพลักษณ์ของชาแนลมาหลายทศวรรษ โดยถูกถ่ายทอดผ่านพรีเซนเตอร์ที่เป็นดาราระดับไอคอนของวงการบันเทิงมีชื่อเสียงมากมาย ไม่ว่าจะเป็น มาริลิน มอนโร แคทเธอรีน เดอเนิฟ รวมทั้ง นิโคล คิดแมน ซึ่งครั้งหนึ่งสาวมอนโร เคยพูดถึงน้ำหอมตัวนี้จนกลายเป็นประโยคไทอินสุดเด็ดตลอดกาลว่า “นี่ฉันไม่ใส่อะไรนอนเลยนะ นอกจาก Chanel No.5”
นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1921 จนถึงปัจจุบัน (2021) เป็นระยะเวลากว่า 100 ปี ที่น้ำหอมตัวนี้อยู่คู่โลก คงไม่ผิดถ้าจะบอกว่าตอนนี้มันได้กลายเป็นตำนานที่ไม่มีวันตายแห่งวงการน้ำหอมไปเสียแล้ว วินาทีที่คนถวิลหาถึงกลิ่นที่ตนไม่เคยสัมผัสที่ไหนมาก่อน และต้องการที่จะเป็นเจ้าของสิ่งนั้น นั่นแหละคือการแทรกตัวเข้ามาอยู่ในประวัติศาสตร์ของ น้ำหอมหมายเลข 5 และสำหรับชาแนล นั่นคือช่วงเวลาที่น้ำหอมของเธอแสดงให้เห็นว่ามันพร้อมจะปฏิวัติวงการน้ำหอมตลอดกาล “มันคือสิ่งที่ฉันรอมาตลอด น้ำหอมที่ไม่เหมือนใคร น้ำหอมของผู้หญิงที่มีกลิ่นของผู้หญิง”
รัก
xoxo