To top
10 Jun

Bearbrick รู้จักตัวตนเจ้าหัวหมี ของเล่นของคนมีสไตล์

Bearbrick ของเล่นที่ได้รับความนิยมจากนักสะสมแทบทุกมุมโลก ด้วยรูปทรงเหมือนตัวต่อเลโก้ที่มีหัวเป็นหมี รวมถึงลวดลายต่างๆ ที่ได้ถูกเพ้นท์ลงบนพื้นผิววัตถุอย่างสวยงาม โดยได้มีการร่วมงานกับศิลปินหรือนักออกแบบชื่อดัง ให้คอยสร้างลวดลายที่โดดเด่น แปลกตา และยิ่งไปกว่านั้นการขายแบบ Blind Box ที่ทำให้คนซื้อต้องคอยลุ้นของข้างในว่าจะได้ลวดลายไหน ทำให้เกิดความสนุกในการสะสม ถือได้ว่า Item ชิ้นนี้ เป็นงานศิลปะมากกว่าของเล่นซะอีก

สิ่งเหล่านี้ทำให้เจ้าหมีแบร์บริคมีเสน่ห์ที่มากกว่าของเล่นชิ้นอื่นๆ จนทำให้กลายเป็น Item ในฝันของบรรดาหนุ่มสาว Luxury Style ซึ่งครั้งนี้เราจะพาผู้อ่านไปทำความรู้จักกับเจ้าหมีตัวนี้ ให้เข้าใจถึงเสน่ห์ที่ทำให้ใครต่างหลงรัก และอยากได้ของเล่นชิ้นนี้มาครอบครอง จะมีความพิเศษอะไรบ้างนั้น เราได้รวมมาใว้ให้คุณในนี้แล้วค่ะ

 Be@rbrick

 

จาก Kubrick เป็น [email protected]

Medicom Toy Incorporated บริษัทผลิตของเล่นรายใหญ่ของญี่ปุ่น ก่อตั้งเมื่อปี 1996 โดย ทัทสึฮิโกะ อากาชิ (Tatsuhiko Akashi) ผู้สร้างของเล่นที่ทำให้ผู้คนหลงใหล ซึ่งเกิดจากที่เขารู้สึกเบื่อ และได้ไปเดินเล่นในร้านขายของเล่นร้านหนึ่ง ทำให้ตระหนักได้ว่าชีวิตที่ไม่มีของเล่นนั้นเป็นชีวิตที่ไม่สนุกเอาซะเลย ทำให้เขาเกิดแรงบันดาลใจ และได้เปิดตัวของเล่นในลักษณะโมเดล อย่าง Action-Figures และโมเดล ซอฟต์บี้ ที่มีความสูงไม่เกิน 30 เซนติเมตร หรือที่เรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า โซฟูบิ (Sofubi) ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา รวมถึงตัวเลโก้ที่มีชื่อว่า “Kubrick”

Uncle Carl KUBRICK

Uncle Carl KUBRICK

ตัว Lego Kubrick นี้ มาในลักษณะที่คล้ายๆ Lego และ Playmobil ซึ่ง Kubrick นั้นได้รับความนิยมอย่างมาก จนผู้จัดงาน World Character Convention (WCC) ต้องการให้ผลิตเพื่อเป็นของที่ระลึกมอบให้แก่ผู้ที่เข้าร่วมงาน WCC ครั้งที่ 12 ในวันที่ 27 พฤษภาคม ปี ค.ศ. 2001 ที่จัดขึ้น ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีระยะเวลาในการผลิตเพียง 1 เดือนเท่านั้น

ด้วยเวลาที่จำกัดและความสร้างสรรค์ของ ทัทสึฮิโกะ อากาชิ ทำให้เขาคิดค้นของเล่นที่ไม่ต้องผลิตรูปทรงใหม่ แต่สามารถเปลี่ยนแปลงลวดลายได้ เป็นการสร้างสรรค์ที่พ่วงเข้ากับศิลปะได้อย่างลงตัว ดังนั้นเข้าจึงนำหัวหมีเข้ามาใส่ในตัวของ Kubrick โดยให้เหตุผลว่า เป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปี ของตุ๊กตาหมี และด้วยความน่ารักแต่แปลกใหม่นี้ ทำให้หมีแบร์บริคกลายเป็น Item ที่ฮอตฮิตในปัจจุบัน

Bearbrick x OVO OG Owl

Bearbrick x OVO OG Owl

 

ทำความรู้จัก Bearbrick

เริ่มความโดดเด่นมาด้วยชื่อที่แปลกตา อย่าง “[email protected]” โดยตัว “@” ที่เราเห็นกันนั้น นอกจากจะเป็นชื่อแล้ว ยังเป็นโลโก้ของแบรนด์แบร์บริคโดยเฉพาะ ด้วยรูปทรงครึ่งหมีครึ่ง Kubrick ทำให้กลายเป็นของเล่นที่ทำให้คนประหลาดใจ เพราะเนื่องจากดูแปลกตาในความเป็นลูกครึ่งของเจ้าหมีแสนน่ารัก โดย [email protected] เปิดตัวครั้งแรกเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม ปี ค.ศ. 2001 ตัว [email protected] ประกอบไปด้วยชิ้นส่วนทั้งหมด 9 ชิ้น คือ หัวที่เป็นหมี ลำตัว สะโพก แขน ขา และมือทั้งสองข้าง

โดยในปัจจุบันสไตล์ของชิ้นส่วนแบร์บริคนี้ แบ่งออกได้ 3 สไตล์ คือ แบบ Basic ชิ้นส่วน 9 ชิ้น สามารถแยกออกจากกันได้ทั้งหมด แบบ Unbreakable ทุกชิ้นสามารถแยกออกได้ โดยไม่แตกหรือหัก เปิดตัวมาในซีรี่ส์ 14 ปี 2007  และ แบบ BB Bearbrick สไตล์นี้เปิดตัวมาในปี 2008 ซึ่งเป็นการออกแบบมาเพื่อเด็กเล็ก โดยชิ้นส่วนทั้งหมดไม่สามารถแยกออกจากกันได้ ส่วนใหญ่ผลิตจากพลาสติกที่มีลักษณะแข็ง แต่ในบางครั้งก็มีที่ผลิตจากทั้งผ้าสักหลาด โลหะ คาร์บอน หรือไม้ แล้วแต่ความเหมาะสม รวมถึงราคาที่แตกต่างกันตามวัสดุ และลวดลายอีกด้วย

Bearbrick

ระบบการเรียกชื่อไซ้ซ์ของแบร์บริคก็มีความเป็นเอกลักษณ์ โดยจะมาในรูปแบบของเปอร์เซ็นต์ (%) ซึ่งแบร์บริคเปิดตัวมาด้วยไซ้ซ์ 100% โดยทั่วไปจะมีตั้งแต่ 50% – 1000% ซึ่งถือเป็นระบบเรียกขนาดมาตรฐานของเจ้าหมีตัวนี้ โดยถ้าหากไซ้ซ์ที่แตกต่างจากนี้ไปจะมาในคอลเล็กชั่นแบบ Special ปัจจุบันมีด้วยกันทั้งหมด 7 ไซ้ซ์ ดังนี้

  • 50% สูง 3.5 เซนติเมตร วางขายในรูปแบบของพวงกุญแจ
  • 70% สูง 5 เซนติเมตร เปิดตัวครั้งแรกในปี 2006
  • 100% สูง 7 เซนติเมตร เป็นไซ้ซ์มาตรฐานที่คนนิยมสะสม และเป็นไซ้ซ์ที่ผลิตออกมาเยอะมาก และมีวางขายในกล่องแบบ Blind Box
  • 200% สูง 14.5 เซนติเมตร เป็นไซ้ซ์ที่ไม่ผลิตบ่อยนัก แต่มีวางขายในซีรี่ส์ “Chogokin” ผลิตจากเหล็ก มีน้ำหนักถึง 400 กรัมต่อตัว
  • 400% สูง 28 เซนติเมตร เป็นไซ้ซ์ที่นิยมเป็นอันดับสอง รองจากไซ้ซ์ 100%  และผลิตมาเป็นจำนวนมาก
  • 1000% สูง 70 เซนติเมตร ด้วยขนาดที่ใหญ่ และหายากมาก แต่เป็นที่ต้องการของนักสะสมสุดๆ
  • Other Size อีกหนึ่งไซ้ซ์สุดพิเศษ ที่ไม่มีการกำหนดตายตัวว่าจะมีขนาดเท่าไหร่ มีทั้งขนาดสูง 10.5 เซนติเมตร 12 เซนติเมตร และ 15 เซนติเมตร ยกตัวอย่างเช่น ขนาดสูง 10.5 เซนติเมตร รู้จักกันในชื่อ ไซ้ซ์ 150% หรือ ไซ้ซ์ [email protected] Light ถูกผลิตมาในปี 2012 จุดเด่นคือมีไฟ LED ที่กดเปิดปิดได้ตรงส่วนท้อง และมีห่วงพวงกุญแจบนหัว

นอกจากความหลายหลายของไซ้ซ์แล้ว รูปแบบของลวดลายก็ถือเป็นอีกจุดเด่นทำให้เจ้าหมี [email protected] นี้ยังคงได้รับความนิยมมาอย่างต่อเนื่อง โดยในแต่ละปีจะปล่อย Item ชิ้นนี้ในรูปแบบชุดที่เรียกว่า “ซีรี่ส์” และ “ชนิด”  จะออกสินค้าปีละ 2 ครั้ง โดยใน 1 ซีรี่ส์ จะมีตั้งแต่ 18 ตัวขึ้นไป และมีการแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ดังนี้

  • Standard เป็น [email protected] ที่พบมากที่สุดใน 1 ซีรี่ส์ เพราะแบ่งออกไปอีก 8 แบบ สร้างลวดลายตาม Theme ของซีรี่ส์นั้นๆ
  • Basic รูปแบบนี้จะมาในสีเรียบๆ มีตัวอักษรสีตัดกันพิมพ์อยู่ที่หน้าอก โดยแต่ละตัวจะมี 1 ตัวอักษร แบบ Basic จะมาด้วยกันทั้งหมด 9 ตัว ใน 1 ซีรี่ส์ โดยหากนำมารวมกันจะได้คำว่า “[email protected]
  • Artist เป็นการร่วมงานกับศิลปินที่มีชื่อเสียงเพื่อออกแบบลวดลายใหม่ๆ โดยใน 1 ซีรี่ส์จะมีศิลปินมาร่วมออกแบบ 2 คน
  • Secret เป็นตัวลับที่มักจะไม่โชว์ให้เห็น ซึ่งจะมีราคาสูงและหายากมาก
Bearbrick

ตัวอย่าง Series 39

[email protected] ประเภท Standard

ตามที่เราได้เล่ามาข้างต้นว่าในประเภท Standard ก็จะมีความแตกต่างของลายอีก 8 แบบ ภายใต้ Theme ต่างๆ ที่ถูกกำหนดในแต่ละซีรี่ส์

  • Jellybean ผลิตจากพลาสติก มาในสีเรียบๆ และมีความโปร่งใส
  • Pattern มีรูปแบบการออกแบบมากมาย เป็นลายซ้ำๆ ตั้งแต่ลายจุด ไปจนถึงการออกแบบร่วมกับศิลปินคนอื่นๆ
  • Flag มาในลายธงชาติของแต่ละประเทศ
  • Horror ลวดลายที่สร้างขึ้นจากตัวละครในภาพยนตร์สยองขวัญยอดนิยม หรือแหล่งที่มาอื่นๆ ที่ให้ความรู้สึกน่ากลัว
  • Animal ลายของสัตว์ต่างๆ อย่าง หมี แมว เสือ เป็นต้น
  • Cute ลายที่มีความน่ารัก
  • SF (Science Fiction) เป็นลายจากตัวละครหรือธีมจากภาพยนตร์ที่ได้รับความนิยม
  • Hero รูปแบบใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวมาใน Serise 21 โดยจะจะมาในลายของตัวการ์ตูนจาก DC Comics
Bearbrick

ตัวอย่าง Series 36

เจ้าหมี [email protected] ที่ผลิตออกมานั้น ทุก Serise จะเป็นแบบ Limited Edition ไม่มีการผลิตใหม่ แม้ว่าจะขายดีแค่ไหนก็ตาม เป็นอีกหนึ่งเสน่ห์ของเจ้าของเล่นชิ้นนี้ และยังมีเรื่องของการวางจำหน่ายของแต่ละ Serise ในลักษณะของกล่องแบบ “Blind Box” อีกด้วย ซึ่งแน่นอนว่า เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าภายในกล่องนั้นจะมีตัวไหน ลายอะไรบ้าง

ใน 1 กล่อง Carton จะมีกล่องภายในอีก 24 กล่อง หรือที่เรียกว่ากล่อง Blind Box ซึ่งจะเป็นแบบสุ่ม ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่จะรวบรวมให้ครบทั้ง Serise โดยจะมีเปอร์เซนต์บอกที่ข้างกล่องว่ามีโอกาสเจอตัวไหนมากสุด ทำให้ผู้ซื้อรู้สึกสนุก เพราะต้องการค้นหาตัวที่อยากได้มาครอบครอง ทำให้ราคาของลายที่หายากนั้นพุ่งสูงขึ้นไปแบบเยอะมาก

โดยโอกาสที่จะเจอแบบ Basic มีถึง 14.58% ตามมาด้วยแบบ Standard ในลาย Cute 13.54% Jellybean และ Pattern 11.45% SF 10.41% Flag และ Horror 9.37% Animal 8.33% Hero 7.29% แบบ Artist 4.16% หรือ 1.04% และแบบ Secret 0.52%

Bearbrick Series 35 Be@rbrick

 

[email protected] Collaborations

นอกจากการวางขายที่ถูกกำหนดมาทุกปีในรูปแบบ Serise ที่จะออกมาในช่วง Summer และ Winter แล้ว ยังมีคอลเล็กชั่นพิเศษ โดยเป็นการร่วมมือกับศิลปินจากหลายหลายสาขา ไม่ว่าจะเป็นดนตรี ศิลปะ และแฟชั่น เพื่อออกแบบผลงานการดีไซน์สุดพิเศษสำหรับเป็นที่ระลึก ไว้ให้คอยตามเก็บสะสม ยกตัวอย่างเช่น

Bearbrick BAPE 25th Anniversary Multi-Colored Foil [email protected] ชิ้นนี้เป็นการร่วมมือกับ BAPE เพื่อฉลองครบ 25 ปี ของแบรนด์สตรีทระดับตำนาน มาด้วยสีสันสดใสเงาวาว ตัว [email protected] ตกแต่งด้วยโลโก้รูปหัวลิง Ape มีด้วยกันทั้งหมด 3 ไซ้ซ์ คือ 100% 400% และ 1000% เปิดตัวเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2018 และขายหมดเกลี้ยงในเวลาอันรวดเร็ว

Be@rbrick Bearbrick Ape BAPE

 

[email protected] Chanel (Coco Chanel) แบรนด์แฟชั่นสุดหรูอย่าง Chanel ก็ได้ร่วมมือกับ Medicom เพื่อผลิต [email protected] Coco Chanel ผู้สร้างแบรนด์สุด Luxury ออกแบบโดย คาร์ล ลาเกอร์เฟล (Karl Lagerfeld) โดยการนำองค์ประกอบทุกอย่างที่เป็นเอกลักษณ์ของ Chanel มาออกแบบ [email protected] ตัวนี้มาในไซ้ซ์ 1000% เป็นรุ่นที่หายากมาก เพราะผลิตเพื่อมอบให้แก่ลูกค้า VIP เท่านั้น ถือเป็นหนึ่งใน [email protected] ที่ราคาแพงที่สุด

Be@rbrick Coco Chanel

 

KAWS “Chompers” [email protected] ออกแบบโดยหนึ่งในศิลปินกราฟิกชื่อดังของอเมริกา อย่าง ไบรอัน ดอนเนลลี (Brian Donnely) หรือที่หลายคนรู้จักในชื่อ Kaws (คอวส์) สร้างขึ้นพร้อมเป็นการฉลองเทศกาลดนตรีญี่ปุ่นในฤดูร้อน อย่าง Avex Summer Festa ที่จัดขึ้นในเดือนสิงหาคมของทุกปี

KAWS “Chompers” Be@rbrick

 

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหมี [email protected] เป็นผลงานศิลปะมากกว่าของเล่นไปแล้ว ซึ่งนอกจากการออกแบบลายของแต่ละซีรี่ส์ที่เป็นการร่วมงานกับศิลปินชื่อดังแล้วนั้น ยังมีการ Collabs ร่วมกับแบรนด์อื่นๆ อีกด้วย เพื่อเป็นการดึงเอาเอกลักษณ์ที่เป็นจุดขายของแต่ละแบรนด์มาผสมผสานเข้ากับ [email protected] จนกลายเป็น Rear Item ที่หลายคนต้องการ

แน่นอนว่าสิ่งที่ตามมาคือความหายากและราคาที่สูงลิบ ซึ่งแน่นอนว่าเป็นกลยุทธ์เพิ่มการรับรู้ของแบรนด์ โดยถือว่าได้ประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย ทำให้เกิดกลุ่มผู้ซื้อที่ขยายมากขึ้น โดยปัจจุบัน [email protected] มีด้วยกันทั้งหมด 39 ซีรี่ย์ ให้เหล่าสาวกได้คอยตามเก็บสะสม บอกเลยว่าเยอะมาก ใครไหวก็ไปต่อได้เลยค่ะ

 

[email protected] ถือเป็น Item ที่น่าหลงใหล โดยเจ้าหมีที่เป็นมากกว่าของเล่นชิ้นนี้ สามารถพาตัวเองไปอยู่ในจุดที่ผสมผสานความเป็นศิลปะจากหลายหลายแขนงได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็น ดนตรี แฟชั่น รวมไปถึงวัฒนธรรม ที่ได้ถูกรังสรรค์นำมาเพิ่มลูกเล่นลวดลายที่แตกต่างได้อย่างสวยงาม การออกแบบที่เรียบง่ายและหน้าตาที่คุ้นเคย ทำให้ชนะใจได้ทุกคนได้ไม่ยาก

อีกทั้งลูกเล่นต่างๆ ที่เจ้า [email protected] นำมาเสิร์ฟเพื่อช่วยเพิ่มความสนุกให้แก่ผู้ที่สะสมนั้น ยิ่งทำให้ได้รับความสนใจในระยะยาว เพราะความตื่นเต้นจากการลุ้นว่าจะได้ตัวที่ต้องการหรือไม่ แถมทำให้ชิ้นที่หายากถูกนำมาขายต่อในราคาที่สูงขึ้น ถือเป็นของเล่นที่สามารถสร้างมูลค่าให้แก่ตัวเองได้ไม่แพ้ Item ในสายแฟชั่นกันกันเลยทีเดียว

 

รัก
xoxo

 

KATE