To top
31 Mar

Aston Martin Valhalla ความสมดุลอันสมบูรณ์แบบแห่งสปอร์ตไฮบริด

Aston Martin Valhalla (แอสตัน มาร์ทิน วัลฮัลลา) ซุปเปอร์คาร์สุดเร้าใจ นิยามใหม่แห่งการขับขี่ ร่วมเดินทางสู่การเปลี่ยนแปลงไปอีกขั้น ของแบรนด์รถยนต์สปอร์ตสัญชาติอังกฤษ เปิดศักราชใหม่ไปกับรถยนต์รุ่น Valhalla คอนเซ๊ปต์คาร์ ที่จะปูทางไปสู่การผลิตรถยนต์ซูเปอร์คาร์ไฮบริด เครื่องยนต์วางกลางที่เน้นผู้ขับขี่อย่างแท้จริง ผสมผสานสมรรถนะอันเข้มข้น เข้ากับไดนามิกแบบเจาะจงเพื่อการมีส่วนร่วมของผู้ขับขี่และประสบการณ์การขับขี่ที่ไม่เคยมีมาก่อน

 

Aston Martin Valhalla

นับเป็นรถยนต์แบบ Plug-in Hybrid หรือรถยนต์ไฮบริดชนิดที่ต้องมีการเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟ รุ่นแรกในประวัติศาสตร์ที่ยาวนานของค่ายรถยนต์สัญชาติอังกฤษแบรนด์นี้ เป็นการพัฒนาจากรถยนต์ต้นแบบรุ่น ASTON MARTIN AM-RB 003 (แอสตัน มาร์ทิน เอเอม-อาร์บี 003) ซึ่งเป็นผลงานที่เกิดจากการร่วมมือกันของแบรนด์รถยนต์แอสตัน มาร์ตินกับทีมแข่งรถชื่อดัง Red Bull (Red Bull Advanced Technologies) โดยปรากฏตัวครั้งแรกที่งานมหกรรมยานยนต์เจนีวา เมื่อเดือนมีนาคม ปี ค.ศ. 2019

สร้างขึ้นด้วยความเชี่ยวชาญด้านแชสซี แอโรไดนามิก และอิเล็กทรอนิกส์ที่หล่อหลอมใน Formula One® และเทคโนโลยีระบบส่งกำลังไฮบริดล้ำสมัยที่เป็นหัวใจสำคัญ Valhalla ออกแบบแกนกลางเป็น CARBON FIBER TUB (คาร์บอนไฟเบอร์ ทับ) โครงสร้างมีลักษณะคล้ายอ่างอาบน้ำ ด้วยความที่ผลิตจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ที่ได้รับการพัฒนาใหม่ให้มีน้ำหนักเบาที่สุด โดยไม่สูญเสียความแข็งแกร่ง กับน้ำหนักตัวรถเปล่าอยู่ที่ไม่เกิน 1,550 กิโลกรัม

งานดีไซน์กระจังหน้าแบบซี่ถี่อย่างที่เราคุ้นเคยกันดี ไฟหน้าเมทริกซ์ LED ขนาดใหญ่ ปลายท่อไอเสียคู่แบบออกด้านบน ช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบ Push rod หลังแบบ Multilink ใช้โช้คสปริงจาก Multimatic ที่ปรับตั้งค่าให้เหมาะกับวิ่งสนามแข่งหรือถนนได้ ล้อหน้าขนาด 20 นิ้ว หลัง 21 นิ้ว แบบ Center lock เบรกคาร์บอน-เซรามิก และหุ้มยาง Michelin สั่งทำเฉพาะพิเศษ

ภายในห้องโดยสาร มาในแนวเรียบง่านสไตล์รถแข่ง F1 แป้นเหยียบพวงมาลัยไฟฟ้าปรับตำแหน่งได้ที่ให้ความแม่นยำสูง ตัวเบาะนั่งแบบคาร์บอนไฟเบอร์แบบยึดติดตายกับตัวถังรถ ที่พักเท้ายกสูงขึ้น เพื่อให้ตำแหน่งตั้งแต่สะโพกถึงส้นเท้าอยู่ในตำแหน่งเดียวกับการขับรถเอฟ 1 ติดตั้งระบบเบรกแบบ Carbon Ceramic Matrix พร้อมกับเทคโนโลยี Brake-by-Wire เพื่อการหยุดรถได้อย่างทันท่วงที

ระบบปรับอากาศแบบ Dual Zone (ปรับอากาศแบบ 2 โซน) พร้อมด้วยระบบ Aston Martin HMI ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ มีหน้าจอสัมผัสส่วนกลางรองรับ Apple CarPlay และ Android Auto รวมถึงระบบลดความเร็วอัตโนมัติ (Auto Emergency Braking) เมื่อพบความเสี่ยงว่าจะชน ระบบล็อกความเร็วโดยอัตโนมัติแบบแปรผัน (Active Cruise Control)

พร้อมด้วยระบบแจ้งเตือนจุดอับสายตา (Blind Spot Monitoring) ระบบแจ้งเตือนเมื่อเสี่ยงเกิดการชนทางด้านหน้า (Forward Collision Warning) และกล้องมองหลัง (Rear View Parking Camera) พร้อมออปชั่นกล้องมองรอบคัน เพื่อการดื่มด่ำกับประสบการณ์การขับขี่ซูเปอร์คาร์รูปแบบใหม่อย่างเต็มรูปแบบ

หัวใจสำคัญของ วัลฮัลลา คือระบบส่งกำลัง PHEV ใหม่ทั้งหมดซึ่งมีมอเตอร์สามตัว สิ่งสำคัญที่สุดคือเครื่องยนต์ V8 เทอร์โบคู่ขนาด 4.0 ลิตรที่ติดตั้งไว้ตรงกลางด้านหลัง เครื่องยนต์ V8 ที่ล้ำหน้า ตอบสนองฉับไว และสมรรถนะสูงสุดเท่าที่เคยมีมาใน Aston Martin

โดยสามารถเร่งความเร็วได้ถึง 7200 รอบต่อนาที และพัฒนาให้กำลัง 750 แรงม้า ขับเคลื่อนแบบ 4 ล้อด้วยระบบไฮบริด เป็นผลงานการร่วมมือกับแบรนด์ยักษ์ใหญ่เยอรมันอย่าง MERCEDES-BENZ (เมอร์เซดีส-เบนซ์) อันเป็นหุ้นส่วนทางด้านเทคนิค

รวมถึงเป็นผู้ถือหุ้นของค่ายนี้อยู่ร้อยละ 20 ใช้เครื่องยนต์แบบทวินเทอร์โบ เบนซิน วี8 สูบ ขนาด 4.0 ลิตร 551 กิโลวัตต์/750 แรงม้า ของ MERCEDES-AMG GT Black Series (เมร์เซเดส-เอเอมจี) กับมอเตอร์ไฟฟ้า 1 ชุด พร้อมด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติ คลัทช์คู่ 8 จังหวะ (Dual-Clutch (DCT)

ความพิเศษของชุดเกียร์ อยู่ที่การใช้ระบบถอยหลังด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า หรือ e-reverse ส่งผลให้ชุดเกียร์มีน้ำหนักเบาลงเสริมด้วยระบบลิมิเต็ดสลิปแบบไฟฟ้า (E-Diff) เพื่อเพิ่มการยึดเกาะถนนและประสิทธิภาพในการเข้าโค้ง โดยเมื่อเครื่องยนต์ V8 ทำงานร่วมกับ E-Motor และชุดเกียร์แบบ DTC ในเจ้าคันนี้ ก็จะทำให้เกิดแรงบิดมหาศาลถึง 1,000 นิวตันเมตร ที่พาทะยานหลังติดเบาะทันทีที่กดคันเร่ง

ขับล้อคู่หลัง กับใช้มอเตอร์ไฟฟ้าอีกชุด ขับล้อคู่หน้า ได้กำลังรวมสูงสุด 699 กิโลวัตต์/950 แรงม้า นับเป็นรถไฮบริดตีนไฟ อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำได้ในเวลาแค่ 2.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และเมื่อชาร์จไฟเต็มจะวิ่งด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ ได้ไกล 15 กิโลเมตร แต่ความเร็วสูงสุดจะลดเป็น 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

การเสริมเครื่องยนต์ V8 ใหม่นี้คือระบบไฮบริดแบตเตอรี่ขนาด 150kW/400V ซึ่งให้กำลังเพิ่มขึ้นอีก 204 แรงม้า เมื่อขับเคลื่อนในโหมด EV (Electric Vehicle) ซึ่งใช้พลังไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ล้วน ๆ พลังงานแบตเตอรี่จะถูกส่งไปยังเพลาหน้าเท่านั้น ในโหมดการขับขี่อื่น ๆ พลังงานแบตเตอรี่จะถูกแบ่งระหว่างเพลาหน้าและเพลาหลัง ในบางสถานการณ์ พลังงานแบตเตอรี่ 100% จะถูกส่งไปยังเพลาล้อหลัง เสริมด้วย ICE V8 เต็มกำลังเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด

วัลฮัลลา ประกาศนิยามใหม่ของ แอสตัน มาร์ติน ด้วยระบบส่งกำลังไฟฟ้าแบบเบนซิน/แบตเตอรี่แบบวางกลาง 950PS โครงสร้างคาร์บอนไฟเบอร์แบบใหม่ และแอโรไดนามิกที่ได้รับแรงบันดาลใจจากปรัชญาการบุกเบิกซึ่งพบเห็นครั้งแรกใน Aston Martin Valkyrie

ปฏิวัติวงการ Valhalla จะนำความสมดุลที่สมบูรณ์แบบของสมรรถนะของไฮเปอร์คาร์และระบบส่งกำลังขั้นสูง ไดนามิกในการขับขี่ และความซับซ้อนที่เป็นเอกลักษณ์ ออกแบบวัสดุเพื่อนิยามใหม่ของเซกเตอร์ซูเปอร์คาร์อย่างแท้จริง สมกับคำโปรยที่ว่า “The Mastery of Driving”

Aston Martin Valhalla ถือได้ว่าเป็นก้าวแห่งการเคลื่อนไหวที่สำคัญ ของสุดยอดแบรนด์ยนตรกรรมชั้นนำระดับตำนานจากอังกฤษก็ว่าได้  Valhalla คือซุปเปอร์คาร์รุ่นล่าสุด ในโครงการ “Project Horizon” และเป็นโมเดลที่มีความสำคัญต่อแอสตัน มาร์ตินเป็นอย่างมาก ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ในการกลับมาสู่สนามแข่งฟอร์มูล่าวันอีกครั้ง โดยทางแอสตัน มาร์ติน จะเริ่มส่งมอบรถในไตรมาส 4 ปี 2023 ราคาคาดการณ์น่าจะอยู่ระดับ 700,000 ปอนด์ หรือประมาณ 31 ล้านบาท ยังไม่รวมภาษีนำเข้า

 

KATE