5 อันดับกระเป๋าน่าลงทุน – หากพูดถึงการลงทุน ซึ่งหมายถึงการเก็บออมเงินในระยะยาว หลายคนอาจนึกถึงการลงทุนในตลาดหุ้น การซื้อทองคำ หรือการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ แต่ทว่าความจริงแล้ว ยังมีอีกหนึ่งธุรกิจ ซึ่งได้รับความนิยมและสามารถสร้างกำไรเป็น กอบเป็นกำได้ นั่นก็คือ การลงทุนกับกระเป๋าแบรนด์เนมสุดหรู
ไม่น่าเชื่อว่าสินค้าเหล่านี้ ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าจัดอยู่ในหมวดสินค้าฟุ่มเฟือย จะมีราคาซื้อขายในตลาดพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในแต่ละปี สิ่งที่กำหนดมูลค่าของสินค้าเหล่านี้ นอกเหนือจากความหายากแล้ว ยังรวมถึงวัสดุที่นำมาผลิต อันมีความพิเศษและแตกต่างกันไปตามแต่เอกลักษณ์ของแต่ละแบรนด์ สำหรับบทความนี้ จะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับ 5 อันดับกระเป๋าสุดคลาสสิก ที่ได้รับการยอมรับว่า เป็น กระเป๋าที่คุ้มค่าแก่การลงทุน พิสูจน์ได้จากราคาที่พุ่งสูงขึ้นทุกปี จะมีรุ่นใดบ้างนั้น ร่วมติดตามไปพร้อมกันค่ะ
1.Chanel Classic Flap Bag
Chanel Classic Flap Bag เริ่มต้นที่กระเป๋าสุดคลาสสิก อันเป็นที่หลงไหลและใฝ่ฝันของสาว ๆ มาทุกยุคทุกสมัย กับดีไซน์การออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากกระเป๋าสุดหรูในตำนานอย่าง “Chanel 2.55” ถูกนำมาดีไซน์ใหม่โดย คาร์ล ลาเกอร์เฟล (Karl Lagerfeld) เมื่อปี ค.ศ. 1983 ทำการดัดแปลงตัวล็อคแบบใหม่ เป็นรูปตัว C ไขว้ หรือที่รู้จักกันในชื่อ “CC turn-lock” ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์ ซึ่งทั่วโลกให้การยอมรับ
กระเป๋า Chanel Flap Bag มีการปรับราคาขึ้นทุกปี การได้เป็นเจ้าของกระเป๋า Chanel สักใบ จึงหมายถึงการลงทุนอย่างหนึ่ง ที่สามารถให้ผลกำไรตอบแทนอย่างงามในอนาคต โดยในระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา กระเป๋าถูกปรับราคาขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยกตัวอย่าง กระเป๋าขนาด Medium ราคาเมื่อปี 2010 อยู่ที่ 96,000 บาท แต่ราคาปัจจุบันอยู่ที่ 191,000 บาท อัตราเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 81.25% ส่วนขนาด Jumbo ราคาเมื่อปี 2010 อยู่ที่ 105,000 บาท ราคาปัจจุบันอยู่ที่ 213,000 บาท อัตราการเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 82.86%
อีกทั้งกระเป๋ารุ่น Vintage ที่ได้รับการดูแลรักษาอย่างดี ก็ยังคงทำกำไรได้ไม่น้อย หากคุณทำการซื้อกระเป๋ารุ่น Classic Flap เมื่อปี ค.ศ. 1959 ในราคา 7,500 บาท มูลค่าของมันในปัจจุบัน อาจมีค่าต่อใบสูงถึง 152,000 บาท ซึ่งหากนำมาซื้อขายแลกเปลี่ยน คุณจะได้กำไรจากการลงทุนในครั้งนี้ถึง 20 เท่าเลยทีเดียว ทั้งนี้ราคาอาจมีการผันแปรได้ ขึ้นอยู่กับสภาพโดยรวมของกระเป๋า และความต้องการของตลาดซื้อขายแบรนด์เนมมือสองในขณะนั้น
ด้วยวิกฤติเศรฐกิจในปัจจุบัน สิ่งหนึ่งที่มักทำให้ผู้บริโภคส่วนใหญ่ถอยหนี คือ ราคาของสินค้าที่ถีบตัวสูงขึ้น โดยพบว่า คนส่วนใหญ่ ต้องการเลือกซื้อเฉพาะสินค้าที่จำเป็น มีคุณภาพดีและราคาถูก แต่สำหรับ Chanel แล้ว มันกลับตรงกันข้าม การขึ้นราคาสินค้า เป็นการแสดงถึงคุณค่าของแบรนด์ ที่พุ่งสูงขึ้นทุกปี กลับทำให้ลูกค้ามีความต้องการมากยิ่งขึ้น และนั่นคือคำตอบว่าทำไม การลงทุนกับ กระเป๋าน่าลงทุน Chanel Classic Flap ยังคงประสบความสำเร็จ ถึงแม้ราคาของกระเป๋าจะพุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ ก็ตาม
2. Hermès Birkin Bag
Hermès Birkin ถือว่าเป็นหนึ่งในสุดยอดกระเป๋าที่สาว ๆ หลายต่อหลายคนปรารถนา และครอบครองยากที่สุดรุ่นหนึ่ง ด้วยสถิติรอคิวซื้อที่ยาวนานถึง 6 ปี รวมถึงราคาค่าตัวสูงถึง 6 หลัก ดีไซน์หรูหราคลาสสิก ออกแบบโดย Jean-Louis Dumas (ฌอง หลุยส์ ดูมาร์) ทายาทบริหาร Hermès รุ่นที่ 5 ได้รับแรงบันดาลใจจาก นักแสดงหญิง Jane Birkin (เจน เบอร์กิน) ที่ทั้งคู่บังเอิญได้พบกันบนเครื่องบินระหว่างเดินทางจากปารีสไปลอนดอน เมื่อปี ค.ศ. 1981 (ประวัติแบรนด์ Hermès)
จากการศึกษาพบว่า ราคาของ Birkin เพิ่มขึ้น 500% ตลอดระยะเวลา 35 ปีที่ผ่านมา หรือเฉลี่ยปีละ 14% โดยเฉพาะในปี 2001 ที่เพิ่มขึ้นถึง 25% และเคยทำราคาในการประมูลสูงสุดอยู่ที่ราว 7.8 ล้านบาท ต่อใบ อีกทั้งมีแนวโน้มว่ามูลค่าของมัน จะเพิ่มขึ้นถึงสองเท่า ในอีก 10 ปีข้างหน้า
โดย Hermès Birkin มีราคาเปิดตัวเริ่มแรก เมื่อปี 1985 อยู่ที่ $2,000 หรือประมาณ 63,200 บาท และมีการปรับราคาขึ้นเรื่อยมาตามลำดับ การแปรผันของราคานั้น ขึ้นอยู่กับขนาดสี วัสดุในการตัดเย็บ ขนาด และการตกแต่ง ยกตัวอย่างเช่น หากซื้อกระเป๋า Birkin ในปี 2004 มาในราคา $4,000 (126,436 บาท) ผ่านไปเป็นเวลา 15 ปี จะสามารถขายมันได้ ในราคา $5,000-6,000 (159,000-190,000 บาท)
สำหรับในประเทศไทยนั้น ราคาของกระเป๋า Birkin ในตลาดซื้อขายแบรนด์เนมมือสอง จะอยู่ที่ระหว่าง 230,000 ถึง 530,000 บาท ซึ่งอาจแปรผันได้ตามความต้องการของตลาด ยกตัวอย่างเช่น Hermès Birkin หนัง Togo ขนาด 30 ราคาขายในปี 2015 อยู่ที่ $18,050 (570,518 บาท) ราคาขายในปี 2019 อยู่ที่ $21,500 (679,564 บาท) อัตราผลตอบแทนอยู่ที่ 30.3% ราคาขายอาจแตกต่างกันขึ้นอยู่กับสี ขนาดและรุ่นของสินค้า และนั่นเป็นเหตุผล ที่ทำให้ราคาของกระเป๋ามือ 2 เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
3. Hermès Kelly Bag
Hermès Kelly ได้รับการออกแบบครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1900 โดยใช้ชื่อรุ่นว่า “Sac à dépêches” (แซก อา เด แปส) มีต้นแบบมาจากกระเป๋าสำหรับเก็บอานม้า ออกแบบโดย เอมิล โมริช แอร์เมส (Émile Maurice Hermès) ชื่อเสียงของกระเป๋ารุ่นนี้ เริ่มจากการที่ นักแสดงสาว เกรซ เคลลี่ คู่หมั้นของเจ้าชายแรนีแยร์ (Prince Rainier) แห่งโมนาโค ได้นำกระเป๋ารุ่นนี้ มาบังท้องของเธอไว้ เพื่อปิดข่าวการตั้งครรภ์ ขณะกำลังถูกถ่ายภาพโดยปาปารัซซี่ ของนิตยสารไลฟ์ ในปี ค.ศ. 1956
ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อภาพได้ถูกตีพิมพ์ออกไป กลายเป็นกระแสฮือฮาชั่วข้ามคืน เหล่าสตรีผู้หลงไหลในแฟชั่นต่างพากันมาที่ร้านแอร์เมสพร้อมกับถามหา “Kelly Bag” ทางแบรนด์เห็นโอกาสอันดีในการเปลี่ยนชื่อรุ่นกระเป๋าเพื่อให้รับกับกระแสที่กำลังเป็นนิยมรวมทั้งให้ง่ายต่อการจดจำ ชื่อรุ่น “Hermès Kelly” จึงถือกำเนิดขึ้น โดยที่มาของชื่อมาจาก เกรซ เคลลี (Grace Kelly) นั่นเอง ปัจจุบัน กระเป๋าใบนั้นถูกนำไปจัดแสดงที่ Victoria and Albert Museum เมืองลอนดอน ประเทศอังกฤษ ตั้งแต่ ปี ค.ศ. 2010 เป็นต้นมา
สิ่งหนึ่ง ที่ทำให้การลงทุนกับกระเป๋า Hermès แตกต่างจากการลงทุนกับสินค้าชนิดอื่น คือ มันเป็นสินค้าที่จัดอยู่ในหมวดฟุ่มเฟือยชนิดเดียว ที่ทางตลาดการลงทุนชื่นชอบและให้คุณค่ากับมัน โดยมูลค่าของกระเป๋า Hermès นั้น เพิ่มขึ้นตั้งแต่วินาทีแรก ตั้งแต่คุณได้จับจองเป็นเจ้าของ
ยกตัวอย่างตัวเลขคร่าวๆ ดังนี้ ย้อนกลับไปในปี ค.ศ. 1950 เมื่อกระเป๋า Kelly หรือชื่อในขณะนั้น คือ Sac à dépêches ได้ออกจำหน่ายเป็นครั้งแรก ในราคา $900 หรือประมาณ 28,300 บาทเท่านั้น หลังจากปรากฏการณ์ Kelly ผ่านไป ในปี ค.ศ. 1960 ราคาของกระเป๋าปรับขึ้นอยู่ที่ $1,300 (40,880 บาท) ในปี 1970 ราคาเพิ่มขึ้นเป็น $2,450 (77,049 บาท) และมีการปรับราคาเพิ่มขึ้นเรื่อยมา จนถึงปัจจุบัน มูลค่าของกระเป๋า Kelly อยู่ที่ $9,250 (290,902 บาท) และมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มขึ้นต่อไปอีกเรื่อย ๆ
อย่างไรก็ตามการลงทุนกับกระเป๋า Hermès ไม่ใช่เป็นเพียงการลงทุนที่ไม่เหมือนใครเท่านั้น แต่มันยังสามารถเอาชนะการลงทุนแบบเดิมๆ อย่างเช่น การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ การลงทุนในตลาดซื้อขายทองคำ หรือแม้แต่การลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ จากการศึกษาพบว่า ภายในระยะเวลา 35 ปี การลงทุนในกระเป๋า Hermès มีแต่เพิ่มมูลค่าสูงมากขึ้น และคาดการณ์ว่า มูลค่าอาจเพิ่มขึ้นถึง 8-10 เท่าในอีก 50 ปี ข้างหน้าจากยอดมูลค่าของตลาดในปัจุจบัน
4. Louis Vuitton Speedy Bag
เวลานี้คงไม่มีใครที่จะไม่รู้จักกระเป๋าทรงหมอนยอดนิยม และโดดเด่นที่สุดของแบรนด์ Louis Vuitton อย่าง Speedy แน่นอน กระเป๋าที่ขึ้นแท่นเป็น Iconic Bag มาทุกยุคทุกสมัย จุดเริ่มต้นของกระเป๋ารุ่นนี้ ได้รับการพัฒนามาจากกระเป๋ารุ่น Keepall ที่มีชื่อเสียง จากการรีเควสพิเศษ ของดาราสาวนามว่า Andrey Hepburn (ออเดรย์ แฮปเบิ้น) ในปี ค.ศ. 1930 เป็นจุดกำเนิดของกระเป๋า Speedy ขนาด 25 นิ้ว ซึ่งถือเป็นต้นแบบของ กระเป๋า Louis Vuitton Speedy size 25 ในเวลาต่อมา
กุญแจสำคัญในการลงทุนกับกระเป๋า Speedy อยู่ที่ อายุเฉลี่ยการใช้งาน รวมทั้งราคาที่เหมาะสม จากการศึกษา Timeline การเติบโตของตลาดซื้อขายกระเป๋ารุ่น Speedy โดยเริ่มจากราคาของกระเป๋ารุ่น “Vintage” ในช่วงปี ค.ศ. 2004 กระเป๋า Louis Vuitton Speedy ขนาด 30 ในวัสดุผ้าใบ Monogram ราคาขายในขณะนั้นอยู่ที่ $550 และราคาขายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี
จะสังเกตได้ว่าตั้งแต่ปี 2004-2018 ราคาของ Speedy Bag เพิ่มสูงถึง 63% เลยทีเดียว ในปี 2019 ราคาของกระเป๋าอยู่ที่ 34,600 บาท และล่าสุดในปี 2020 อยู่ที่ราคา 36,500 บาท ภายใน 1 ปี ราคาปรับขึ้น 5.49% ถือได้ว่าเป็นกระเป๋าที่คุ้มค่าแก่การลงทุนอย่างยิ่ง ตัวอย่างราคาข้างต้น เป็นราคาของกระเป๋า Speedy 30 วัสดุ Monogram Canvas โดยกระเป๋าที่ผลิตจากวัสดุอื่นๆ และ รุ่น Limited Edition ราคาอาจแตกต่างกันไป
มูลค่าการซื้อขายของกระเป๋า Speedy ในตลาดมือสอง ก็แสดงตัวเลขผลตอบแทนอันน่าทึ่งเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น หากคุณได้ทำการซื้อกระเป๋า Speedy 30 วัสดุ Monogram Canvas ปี 2014 ในราคา 22,444 บาท จะสามารถขายในตลาดมือ 2 ปัจจุบัน ได้ในราคาประมาณ 19,000-24,000 บาท ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพโดยรวมของกระเป๋า
ด้วยรูปทรงของกระเป๋าที่ถูกออกแบบมาอย่างเรียบง่าย มีน้ำหนักเบา สามารถจุของได้เยอะ โดยชื่อ Speedy นั้น มีที่มาจากการเปรียบเทียบให้เห็นภาพการเปลี่ยนแปลงอันรวดเร็วของการเดินทางในยุคนั้น จึงทำให้ Speedy กลายมาเป็นกระเป๋า ที่ขึ้นแท่นเป็น Everyday Bag และได้รับความนิยมอย่างสูง รวมถึงราคาที่สามารถจับจองเป็นเจ้าของได้ไม่ยากนัก คงภาพลักษณ์ของความหรูหรา สง่างาม อีกทั้งยังคุ้มค่าแก่การลงทุนอีกด้วย
5. Louis Vuitton Neverfull Bag
Louis Vuitton Neverfull ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในกระเป๋าที่ประสบความสำเร็จที่สุดรุ่นหนึ่งจากแบรนด์ระดับโลกอย่าง Louis Vuitton เปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 2007 โดยคำว่า “Neverfull” สามารถแปลตรงตัวได้ว่า “ไม่มีวันเต็ม” จากดีไซน์ที่เรียบง่าย และเข้ากันได้กับทุกกระแสแฟชั่น ทำให้ Neverfull ขึ้นแท่นเป็นกระเป๋ายอดนิยมในทันที และด้วยกระแสความนิยมที่มีมาอย่างต่อเนื่อง กระเป๋ารุ่นนี้ จึงมีการปรับราคาสูงขึ้นทุกปี โดยราคาขายในตลาดซื้อขายแบรนด์เนมมือสองนั้น สูงถึง 65-80% เลยทีเดียว
สำหรับกระเป๋า Louis Vuitton Neverfull นั้น ออกจำหน่ายครั้งแรก ในราคา $700 หรือประมาณ 21,800 บาท หลังจากนั้นราคาก็เพิ่มขึ้นโดยลำดับ โดยแต่ละประเทศ ราคาจะแตกต่างกันออกไป ยกตัวอย่างเช่น ในปี ค.ศ. 2013 มีการขึ้นราคา 10% ในกระเป๋ารุ่น Speedy และ Neverfull ในโซน Europe, UK และ USA แต่ใน Asia กลับเพิ่มขึ้นเพียง 5-10% เท่านั้น สำหรับกระเป๋ารุ่นเดียวกัน ซึ่งราคาที่แตกต่างกันไปนี้จะขึ้นอยู่กับความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราในช่วงเวลานั้น ๆ ด้วย
จากราคากระเป๋าที่เริ่มต้นเมื่อปีที่เปิดตัว จนถึงปี ค.ศ. 2018 มีอัตราเพิ่มขึ้นสูงถึง 41.5% โดยในช่วงปี ค.ศ. 2014 เป็นปีที่ราคาของ Neverfull พุ่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากมีการเพิ่มเติมกระเป๋าใบเล็ก (Pochette) จนกระทั่งปี ค.ศ. 2019 ราคาของกระเป๋าอยู่ที่ 47,500 บาท และล่าสุดในปี ค.ศ. 2020 ราคาอยู่ที่ 49,800 บาท คิดเป็นอัตราเพิ่มสูงขึ้น 3.1% โดยราคาที่นำมายกตัวอย่างนี้ เป็นราคาของกระเป๋า Neverfull ขนาด MM สำหรับกระเป๋ารุ่น Limited Edition ราคาซื้อขายในตลาดมือ 2 จะเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่าเลยทีเดียว
ปัจจุบัน กระแสความนิยมของ Neverfull ไม่เคยถดถอยลงแม้แต่น้อย นับตั้งแต่วันที่เปิดตัวครั้งแรก โดยถือได้ว่า เป็นกระเป๋าที่ประสบความสำเร็จอย่างมากรุ่นหนึ่งจาก Louis Vuitton จากกระแสตอบรับที่มีอย่างท้วมท้น รวมถึงยอดขายสูงสุดอย่างต่อเนื่อง จึงนับเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งสำหรับใครที่กำลังมองหากระเป๋าคู่กาย หรือกำลังเริ่มมองหาการลงทุนกับกระเป๋าแบรนด์เนม ที่ให้ผลตอบแทนดีๆสักใบ
ในปัจจุบัน การซื้อสินค้าแบรนด์เนม ไม่ใช่เรื่องของความฟุ่มเฟือยอีกต่อไป ชื่อเสียงที่ได้รับการสั่งสมมาอย่างยาวนานของแต่ละแบรนด์ รวมถึงดีไซน์การออกแบบ ฝีมือการตัดเย็บอันเป็นเอกลักษณ์ ความปราณีตและพิถีพิถันทุกขั้นตอน ก่อเกิดกระเป๋าที่มีมูลค่าทั้งทางจิตใจและในด้านทรัพย์สิน ซึ่งนานวันยิ่งเพิ่มมูลค่า เป็นที่ต้องการของตลาด การขึ้นราคาสินค้าจึงเปรียบเสมือนการคงคุณค่าของแบรนด์ และทั้งหมดนี้คือ เพชรน้ำเอกทั้ง 5 ความงามอมตะ ที่ยังทรงคุณค่าไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเท่าไหร่ก็ตาม
รัก
xoxo