To top
18 Apr

เปรียบเทียบกระเป๋า Chanel Mini, Small, Medium และ Jumbo

เปรียบเทียบกระเป๋า Chanel Mini, Small, Medium และ Jumbo

เปรียบเทียบกระเป๋า Chanel Mini, Small, Medium และ Jumbo Chanel Classic Flap หรือที่หลายคนเรียกว่า Chanel Classic เป็นหนึ่งในกระเป๋าไอคอนิกตลอดกาลของวงการแฟชั่น ที่ยังคงครองใจสายแฟทุกยุคทุกสมัย จุดเด่นของกระเป๋ารุ่นนี้คือดีไซน์เหนือกาลเวลา หรูหรา สง่างาม และสามารถใช้ได้ทั้งกลางวันและกลางคืน โดย Chanel ได้ออกแบบกระเป๋าใบนี้มาในหลายขนาดเพื่อตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์

แต่เมื่อพูดถึง Mini, Small, Medium และ Jumbo ก็อาจทำให้หลายคนลังเลว่า “ขนาดไหนที่เหมาะกับเรา?” บทความนี้จะพาคุณไป เปรียบเทียบแต่ละไซซ์อย่างละเอียด ทั้งด้านการใช้งาน ขนาดจริง ความจุ ราคาประมาณการ และไลฟ์สไตล์ที่เหมาะสม เพื่อให้คุณเลือกได้อย่างมั่นใจที่สุด

เปรียบเทียบ Chanel Classic Flap ไซส์ Mini, Small, Medium และ Jumbo

Chanel Classic Flap ถือเป็นไอเท็มระดับตำนานที่มีความคลาสสิกเหนือกาลเวลา ด้วยดีไซน์ฝาปิด (flap) ติดตัวล็อก CC อันเป็นเอกลักษณ์และสายโซ่สลับหนังสุดหรู กระเป๋ารุ่นนี้มีหลากหลายขนาดเพื่อตอบโจทย์ความต้องการและไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกันของผู้ใช้

ในบทความนี้ เราจะมารีวิวเปรียบเทียบขนาด Mini, Small, Medium และ Jumbo อย่างละเอียด โดยเน้นในเรื่องขนาดและความจุ การใช้งานในชีวิตประจำวัน ความเหมาะสมกับรูปร่าง ตลอดจนข้อมูลราคาล่าสุดปี 2025 ทั้งมือหนึ่งและมือสอง รวมถึงมูลค่าการลงทุนของแต่ละขนาด เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจเลือกไซส์ที่เหมาะกับตัวเองได้ง่ายขึ้น

ขนาด Mini

ขนาดและความจุ : กระเป๋าไซส์ Mini เป็นขนาดเล็กสุดของตระกูล Classic Flap โดยมีสองทรงคือ Mini Square (ทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส) และ Mini Rectangular (ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า) ซึ่งมีมิติใกล้เคียงกัน (Mini Rectangular ขนาดประมาณ 20 x 12 x 6 เซนติเมตร และสายสะพายยาว ~23 นิ้ว หรือ ~58 เซนติเมตร ส่วน Mini Square กว้างสั้นกว่าเล็กน้อย 17 x 13.5 x 8 เซนติเมตร

กระเป๋าไซส์มินิเป็นแบบฝาเดียว (single flap) ทำให้น้ำหนักเบาและใส่ของได้มากเมื่อเทียบกับขนาด ภายในจุของใช้จำเป็นในชีวิตประจำวันได้พอดี เช่น โทรศัพท์มือถือ (รุ่นใหญ่สุดอย่าง iPhone รุ่น Pro ใส่ได้พอดี), กระเป๋าสตางค์ใบเล็กหรือบัตร, กุญแจบ้าน/รถ, ลิปสติก และของจุกจิกอื่น ๆ โดยยังคงรูปทรงสวยงามไม่เสียทรง

การใช้งานและไลฟ์สไตล์ : ด้วยขนาดที่กะทัดรัด Chanel Mini เหมาะกับการใช้งานหลากหลายโอกาส ตั้งแต่สะพายแบบลำลองในชีวิตประจำวัน ไปจนถึงออกงานตอนเย็นหรือดินเนอร์หรูแบบไม่เป็นทางการ (เนื่องจากกระเป๋าใบเล็กดูสุภาพน่ารักและไม่เป็นภาระ) สายโซ่ของรุ่น Mini Rectangular มีความยาวมากพอที่จะสะพายแบบ crossbody พาดลำตัวได้อย่างสบาย แม้แต่สาวรูปร่างสูงก็ยังสะพายเฉียงได้

ส่วน Mini Square สายจะสั้นกว่าเล็กน้อย แต่ก็สามารถสะพายไหล่หรือพาดลำตัวสำหรับคนตัวเล็กได้อยู่ดี นอกจากนี้สายโซ่ยังถอดเก็บไว้ในกระเป๋าเพื่อถือเป็นคลัทช์ใบเล็กได้ด้วย​ ความเล็กน่ารักของไซส์มินิทำให้เข้ากับสาวตัวเล็กได้อย่างลงตัว และสำหรับสาวสูงโปร่ง กระเป๋าใบจิ๋วนี้จะให้ลุคที่เด่นสะดุดตาเป็นพิเศษ (เหมาะกับเทรนด์แฟชั่นกระเป๋าใบจิ๋วที่กำลังมาแรง)

ความเหมาะสมกับรูปร่าง : เนื่องจากกระเป๋ามีน้ำหนักเบาและสายสะพายยาวกำลังดี ไซส์มินิจึงสะพายได้สบายทั้งคนตัวเล็กและตัวสูง แต่สำหรับผู้ที่มีรูปร่างใหญ่ กระเป๋าใบเล็กมากอาจดูเล็กเมื่อเทียบกับสัดส่วนร่างกาย อย่างไรก็ดี หลายคนก็เลือกใช้ไซส์นี้เป็นกระเป๋าใบเล็กสำหรับพกของเท่าที่จำเป็นเวลาออกไปทำกิจกรรมคล่องตัว เช่น เดินเที่ยววันหยุดหรือปาร์ตี้ช่วงกลางคืน
ราคา (ปี 2025) และมูลค่าการลงทุน : จากการปรับราคาล่าสุด กระเป๋า Chanel Classic Flap Mini (ทั้งทรง Square และ Rectangular) มีราคาขายปลีกอยู่ราว 5,000 – 5,460 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 180,000 – 195,000 บาท ต่อใบ (ขึ้นอยู่กับวัสดุและประเทศที่ซื้อ) ถือว่าเป็นราคาที่เพิ่มขึ้นกว่า 10% จากปีก่อนหน้าเลยทีเดียว
ในตลาดมือสอง กระเป๋าไซส์มินิเป็นที่ต้องการสูงและขายออกค่อนข้างเร็ว ราคามือสองของไซส์นี้ในสภาพดีอยู่ที่ประมาณ 140,000 – 180,000 บาท ขึ้นกับปีที่ผลิต วัสดุ และความสมบูรณ์ของกระเป๋า (มีชุดอุปกรณ์ครบหรือไม่) ยกตัวอย่างเช่น Chanel Mini Rectangular หนังคาเวียร์สภาพดีมาก มีอุปกรณ์ครบ เคยถูกเสนอขายราว 175,900 บาท
ขณะที่ Mini Square รุ่นเก่าหน่อยอาจพบในราคาราว 130,000 – 150,000 บาท ก็ได้ ด้วยความที่ Chanel มักปรับขึ้นราคาทุกปี ทำให้ไซส์มินิเป็นหนึ่งในขนาดที่มูลค่าขึ้นเร็วและรักษามูลค่าได้ดี (ปี 2024 มีการขึ้นราคาประมาณ 6-12% สำหรับรุ่นมินิเลยทีเดียว การซื้อกระเป๋าไซส์นี้แม้ใช้ไปก็ยังสามารถปล่อยขายต่อได้ใกล้เคียงทุนหรือมีกำไรเล็กน้อยในอนาคต โดยเฉพาะสีคลาสสิกอย่างดำหรือเบจที่เป็นที่นิยมในตลาดรีเซล

ขนาด Small

ขนาดและความจุ : กระเป๋าไซส์ Small (ขนาดเล็ก) เป็นไซส์คลาสสิกที่มีผลิตมาตั้งแต่ยุคแรกๆ ตัวกระเป๋ามีขนาดประมาณ 23 x 14.5 x 6 เซนติเมตร และเริ่มมี Double Flap หรือฝาด้านในเพิ่มเข้ามาจากไซส์มินิขึ้นไป​ ความแตกต่างนี้ช่วยคงรูปทรงกระเป๋าให้สวยได้นานขึ้น แต่ก็ทำให้ความจุภายในน้อยลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับมินิที่ไม่มีฝาซ้อน

ด้านหน้าของกระเป๋าไซส์ Small จะมีจำนวนช่องลายข้าวหลามตัด (quilting) 7 ช่องตามความกว้าง ถือเป็นเอกลักษณ์ในการระบุไซส์นี้ กระเป๋า Small สามารถใส่ของจำเป็นได้ครบถ้วนไม่แพ้ไซส์มินิ เช่น โทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนขนาดทั่วไป, กระเป๋าสตางค์แบบยาวขนาดเล็กหรือกระเป๋าใส่นามบัตร, พวงกุญแจ, แว่นกันแดดแบบบาง, ตลับแป้งและลิปสติก เป็นต้น (ความจุรวมประมาณใกล้เคียงกับ Mini Rectangular เพราะมีฝาซ้อนทำให้พื้นที่ใช้สอยลดลงเล็กน้อย​

การใช้งานและไลฟ์สไตล์ : ขนาด Small เป็นขนาดที่เหมาะสำหรับใช้ได้ในหลายโอกาส มีความเอนกประสงค์สูง ไซส์สมอล สามารถสะพายไหล่แบบสายยาวเดี่ยวให้ลุคที่ดูสุภาพในเวลากลางวัน และสามารถพับสายโซ่สองทบเพื่อสะพายไหล่แบบสายสั้นให้ดูหรูหรายามค่ำคืนได้ด้วย​

ขนาดเล็กกะทัดรัดกำลังดีของรุ่นนี้ทำให้เหมาะกับการถือออกงานสังคม งานแต่งงาน หรือดินเนอร์หรู ที่ต้องการลุคที่ดูเป็นทางการแต่ไม่ใหญ่เทอะทะจนเกินไป กระเป๋าไซส์ Small ยังถือคล้องมือเป็นคลัทช์ได้หากถอดสายโซ่ออกหรือเก็บไว้ข้างใน ตัวกระเป๋ามีน้ำหนักเบาปานกลาง ทำให้สะพายทั้งวันได้โดยไม่เมื่อยล้ามากนัก จึงเป็นกระเป๋าวันต่อค่ำที่ใช้งานได้ตั้งแต่กลางวันจนถึงกลางคืนอย่างแท้จริง

ความเหมาะสมกับรูปร่าง : ด้วยสายโซ่ที่มีความยาวประมาณ 9-10 นิ้วเมื่อสะพายแบบสายคู่ (double strap)​ ทำให้ไซส์ Small เหมาะกับการสะพายไหล่มากกว่าจะสะพายพาดลำตัว (สายค่อนข้างสั้นเกินกว่าจะ crossbody สำหรับคนส่วนใหญ่) สาวรูปร่างเล็กถึงปานกลางจะสะพายไซส์นี้ได้ดูพอดีตัว

แต่หากผู้ใช้มีความสูงมากหรือไหล่กว้าง กระเป๋าอาจอยู่ในตำแหน่งที่สูงเอวขึ้นมาหน่อยเมื่อสะพายไหล่ อย่างไรก็ดี ไซส์ Small เป็นขนาดที่ช่วยเสริมลุคให้ดูหรูหราและสุภาพ เหมาะกับสาวๆ แทบทุกส่วนสูง (เพียงแต่อาจดูใบเล็กลงเมื่ออยู่กับคนรูปร่างสูงมาก) ผู้หญิงตัวเล็กมักชอบไซส์นี้เพราะกระเป๋าไม่ใหญ่จนบดบังรูปร่าง ส่วนผู้หญิงตัวสูงก็สามารถใช้ไซส์นี้เป็นกระเป๋าใบเล็กสำหรับโอกาสที่ไม่ต้องพกของมากได้เช่นกัน

ราคา (ปี 2025) และมูลค่าการลงทุน : กระเป๋าขนาด Small มีการปรับราคาขึ้นต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ราคาปลีกในปี 2024-2025 อยู่ในช่วงประมาณ 10,400 – 11,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 360,000 – 380,000 บาท ต่อใบ ขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยนและประเทศ)​ ซึ่งแพงขึ้นกว่าช่วงปี 2019 ถึงราวเกือบเท่าตัว (ราวปี 2019 ราคาไซส์ Medium ยังประมาณ $5,800 หรือ ~200,000 บาทเท่านั้น

และไซส์ Small ก็ต่ำกว่านั้น) ในตลาดมือสอง ไซส์ Small เป็นที่ต้องการอย่างมากเพราะเป็นขนาดที่ใช้งานได้จริงจังและผลิตต่อเนื่องมายาวนาน ราคาขายต่อของไซส์นี้ในสภาพสวยพร้อมใช้อยู่ประมาณ 200,000 – 280,000 บาท โดยสีดำหนังคาเวียร์จะอยู่โซนราคาสูงเนื่องจากฮิตและทนทาน ตัวอย่างเช่น Chanel Classic Small 9″ หนังคาเวียร์ สภาพดีมาก อุปกรณ์ครบ เคยมีประกาศขายประมาณ 245,900 บาท

ซึ่งถือว่าราคายังต่ำกว่าป้ายมือหนึ่งพอสมควร (เพราะปัจจุบันมือหนึ่งราว 3.7-3.8 แสนบาท) แต่ก็มากกว่าราคาที่ซื้อมาในอดีตค่อนข้างมาก ผู้ที่ซื้อมือหนึ่งไว้หลายปีก่อน หากนำมาขายตอนนี้ก็ยังได้กำไรเนื่องจากราคาใหม่ปรับขึ้นสูงทุกปี ดังนั้นในแง่มูลค่าลงทุน ไซส์ Small จัดเป็นไซส์ที่ค่อนข้างปลอดภัย กระเป๋าคงมูลค่าได้ดี โดยเฉพาะสภาพดี ๆ สามารถขายต่อได้ที่ ~60-75% ของราคามือหนึ่ง ถือว่าดีกว่ากระเป๋าแฟชั่นทั่วไปมาก และแนวโน้มระยะยาวเมื่อ Chanel ขึ้นราคาต่อเนื่อง กระเป๋ารุ่นนี้ก็มีโอกาสปรับราคาในตลาดมือสองสูงขึ้นตามไปด้วย

 

ขนาด Medium

ขนาดและความจุ : ขนาด Medium (บางครั้งเรียกว่า M/L หรือ 10 นิ้ว) ถือเป็นขนาดมาตรฐานและเป็นขนาดที่ได้รับความนิยมที่สุด ของ Chanel Classic Flap ด้วยสัดส่วนที่ลงตัว “ไม่เล็กหรือใหญ่เกินไป” สามารถใช้งานได้สารพัดโอกาส กระเป๋าไซส์ Medium มีขนาดประมาณ 25.5 x 16 x 6.5 เซนติเมตร และมาพร้อมสายโซ่แบบฝาซ้อน (Double Flap) เช่นเดียวกับไซส์ Small​

ด้านหน้ากระเป๋ามีลายข้าวหลามตัดเรียงเต็ม 8 ช่องตามแนวกว้าง ซึ่งเป็นจุดสังเกตของไซส์นี้ ความจุภายในกระเป๋าสามารถใส่ของได้มากกว่าไซส์ Small เล็กน้อย เพราะตัวกระเป๋ากว้างและลึกขึ้นอีกนิด เช่น สามารถใส่แว่นกันแดดทรงโอเวอร์ไซส์หรือซองเครื่องสำอางขนาดเล็กเพิ่มเข้าไป นอกเหนือจากของพื้นฐานอย่างโทรศัพท์มือถือ, กระเป๋าสตางค์ใบยาว, กุญแจ, และเครื่องสำอางชิ้นเล็ก ๆ ที่ใส่ได้เหมือนไซส์ Small เรียกได้ว่าไซส์ Medium พกของจำเป็นสำหรับวันทำงานหรือออกไปข้างนอกตลอดวันได้ครบครัน ไม่ต้องคัดของออกมากนัก

การใช้งานและไลฟ์สไตล์ : ขนาดMedium เป็นไซส์ที่หลายคนยกให้ว่า “สารพัดประโยชน์ที่สุด” เพราะขนาดกำลังดี ไม่เล็กจนใช้งานลำบาก และไม่ใหญ่จนเทอะทะเกินงาม สำหรับการสะพายใช้งานจริง สายโซ่ยาวประมาณ 17 นิ้วเมื่อปล่อยยาว (หรือ ~9 นิ้วเมื่อสะพายแบบสายคู่)​ ทำให้สามารถสะพายไหล่แบบสายยาวเดี่ยวได้ลุคลำลองกลางวัน และสะพายไหล่แบบสายคู่สั้นสำหรับลุคที่ดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นในที่ทำงานหรือดินเนอร์ได้เช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ไซส์ Medium อาจไม่ค่อยนิยมใช้เป็นกระเป๋าออกงานกลางคืนที่เป็นทางการมาก ๆ (เช่น งานกาล่า) เพราะขนาดออกกลาง ๆ ไม่ใช่คลัทช์เล็ก แต่สำหรับงานปาร์ตี้หรืองานสังคมทั่วไปก็ยังถือว่าพอเหมาะอยู่ ส่วนการสะพายแบบพาดลำตัว (crossbody) นั้น สำหรับสาวตัวเล็กไซส์ Medium อาจสะพายเฉียงได้แต่ตัวกระเป๋าจะอยู่สูงระดับเอวหรือใต้อก ซึ่งบางคนอาจรู้สึกว่าไม่ถนัด ดังนั้นส่วนใหญ่จึงสะพายแบบ Shoulder Bag มากกว่า ด้วยรูปลักษณ์และขนาดที่เป็นเอกลักษณ์ ไซส์ Medium จึงให้ภาพลักษณ์ที่คลาสสิกหรูหรา เป็นกระเป๋าคู่ใจสำหรับทั้งวันทำงาน (ใส่ของได้ครบ) และวันหยุดที่ต้องการความเป๊ะของลุคการแต่งตัว

ความเหมาะสมกับรูปร่าง : ขนาด Medium ค่อนข้างอเนกประสงค์กับสาว ๆ เกือบทุกความสูงและรูปร่าง สาวตัวเล็กสะพายไซส์นี้จะดูโดดเด่นขึ้นมาทันที (เพราะกระเป๋าขนาดกลางจะดึงสายตา) ส่วนสาวรูปร่างสูงใหญ่ไซส์ Medium ก็ยังดูสมส่วนไม่เล็กจนเกินไป เรียกได้ว่าเป็นขนาด “กลางๆ” ที่ปลอดภัย จะสะพายไหล่หรือถือบนฝ่ามือก็ขึ้นกล้องสวย

สำหรับผู้ที่กังวลเรื่องความยาวสายสะพาย ถ้าสูงมากอาจรู้สึกว่าสายยาวเดี่ยวของไซส์ Medium ค่อนข้างสั้นเมื่อเทียบกับช่วงตัว สามารถแก้ได้ด้วยการต่อสายเพิ่มหรือเปลี่ยนมาถือคล้องแขนแทน ทั้งนี้ การเลือกไซส์ Medium ยังควรคำนึงถึงน้ำหนักด้วย เพราะแม้ใบกลางนี้จะไม่ได้หนักมาก แต่ด้วยที่เป็น Double Flap และฮาร์ดแวร์โลหะ ก็มีน้ำหนักมากกว่าไซส์ Small/Mini อยู่พอตัว (น้ำหนักโดยประมาณ ~ ไปจนถึง 650 กรัม ขึ้นอยู่กับวัสดุหนัง) ดังนั้นหากไม่ชอบกระเป๋าที่มีน้ำหนัก อาจต้องลองสะพายดูก่อนตัดสินใจ

ราคา (ปี 2025) และมูลค่าการลงทุน : ขนาด Medium เป็นไซส์ที่ Chanel ใช้เป็นเกณฑ์มาตรฐานในการปรับราคาบ่อยครั้ง ที่ผ่านมาราคากระเป๋ารุ่นนี้พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ในช่วงปี 2019-2024 ราคาขายปลีกของไซส์ Medium พุ่งขึ้นเกือบ 2 เท่า (จาก ~$5,800 ขึ้นมาเป็น ~$10,800 ภายใน 5 ปี)

โดยล่าสุดในปี 2024 ราคาปลีกอยู่ราว 10,800 ดอลลาร์ (ประมาณ 393,000 บาท ไม่รวมภาษี)​ และมีแนวโน้มจะแตะถึง ~$11,700 – 12,000 ในปี 2025 ซึ่งคิดเป็นเงินบาทกว่า 4 แสนบาทต่อใบเลยทีเดียว (ข้อมูลเดือนมีนาคม 2024 ระบุว่าราคาในไทยอยู่ที่ ~420,000 บาท สำหรับไซส์ Medium

สำหรับราคามือสองของไซส์ Medium นั้น ในตลาดสากลถือว่าค่อนข้างแข็ง เนื่องจากเป็นไซส์ยอดนิยมที่ใคร ๆ ก็อยากได้ครอบครอง กระเป๋าไซส์ Medium มือสองสภาพดีเยี่ยม (โดยเฉพาะสียอดนิยม อย่างสีดำ หรือเบจ) มักขายได้ในช่วง $6,000 – $7,000 หรือประมาณ 218,000 – 256,000 บาท  ซึ่งแม้จะต่ำกว่าราคามือหนึ่งปัจจุบัน แต่ก็มากกว่าตอนที่เจ้าของเดิมซื้อมาอยู่มาก (ตัวอย่างเช่น กระเป๋า Chanel Classic Medium Flap ยุค 90s ในสภาพสวย สามารถขายในตลาดมือสองได้กว่า $6,000 (218,000 บาท) ทั้งที่ราคาเมื่อปี 1990 ตอนซื้อใหม่อยู่ที่ราว $1,200 หรือเพียง 43,700 บาท เท่านั้น​

จากสถิตินี้จะเห็นว่าการซื้อกระเป๋า Chanel Classic Flap โดยเฉพาะไซส์ Medium นอกจากจะได้ใช้งานความสวยงามแล้ว ในระยะยาวยังเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เพราะมูลค่ากระเป๋าเพิ่มขึ้นตามกาลเวลาอย่างชัดเจน (เมื่อแบรนด์ปรับราคาขึ้น กระเป๋ามือสองก็ขยับราคาสูงตาม) ดังคำกล่าวที่ว่า “ไม่มีสินทรัพย์ใด ที่จะน่าลงทุนไปกว่ากระเป๋า Chanelอีกแล้ว”

แม้ในช่วงปี 2023 ที่ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ราคากระเป๋า Chanel มือสองจะย่อตัวลงจากจุดสูงสุดบ้าง ~20-30% แต่โดยรวมแล้วยังถือว่าทรงตัวแข็งแกร่ง และเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวก็มีแนวโน้มที่ราคาจะดีดกลับขึ้นไปอีกครั้ง

 

ขนาด Jumbo / Large

ขนาดและความจุ : ขนาด Jumbo เป็นกระเป๋าขนาดใหญ่ที่จุของได้มากที่สุดในบรรดาขนาดที่เรานำมาเปรียบเทียบ (ใหญ่รองจากไซส์ Maxi ซึ่งจะไม่รวมในบทความนี้) ขนาดของ Jumbo อยู่ที่ประมาณ 30 x 20 x 10 เซนติเมตร และมีฝาด้านใน (Double Flap) เช่นเดียวกับไซส์ Medium​

ลาย quilting ด้านหน้าจะมีความกว้าง 9 ช่อง เป็นเอกลักษณ์ของไซส์นี้ ด้วยความที่ตัวกระเป๋ามีความลึกและฐานกว้าง การจัดวางของภายในจึงทำได้สะดวก สามารถใส่ของชิ้นใหญ่ขึ้นได้หลายอย่างที่ไซส์เล็กกว่าใส่ไม่ได้ เช่น กระเป๋าสตางค์ใบยาวแบบเต็มใบ, แว่นกันแดดทรงโอเวอร์ไซส์ (ใส่ในกล่องแข็งได้), แท็บเล็ตขนาดเล็กหรือ iPad Mini, หนังสือนิยายเล่มบาง, ร่มพับขนาดเล็ก, และเครื่องสำอางหรือกระเป๋าเครื่องสำอางใบย่อม เป็นต้น
นอกเหนือจากของใช้พื้นฐานอย่างโทรศัพท์และกุญแจที่มีที่เหลือเฟือ เรียกได้ว่าถือใบเดียวเอาอยู่สำหรับวันทำงานที่ต้องพกอุปกรณ์เยอะหรือเดินทางทริปสั้นๆ
การใช้งานและไลฟ์สไตล์ : ด้วยความจุที่มาก Chanel Jumbo เหมาะอย่างยิ่งสำหรับสาวๆ ที่พกของจำนวนมากในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นคุณแม่ที่ต้องพกของใช้ลูก, สาวออฟฟิศที่ต้องพกแท็บเล็ต/เอกสาร, หรือผู้ที่เดินทางบ่อยต้องการกระเป๋าถือขึ้นเครื่องใบหรู กระเป๋าไซส์ Jumbo สามารถตอบโจทย์เหล่านี้ได้เป็นอย่างดี สายสะพายของ Jumbo มีความยาวประมาณ 23.5 นิ้วเมื่อปล่อยยาว (หรือ ~13.5 นิ้วเมื่อสะพายสายคู่)​  ทำให้สะพายแบบ crossbody พาดลำตัว ได้สำหรับคนส่วนใหญ่ (สายยาวพอๆ กับไซส์มินิ แต่ตัวกระเป๋าใหญ่อาจดูล้นตัวเล็กน้อยเวลาพาดลำตัว)
สไตล์การสะพายยอดนิยมของไซส์นี้คือสะพายไหล่แบบสายยาวเดียว ซึ่งให้ลุคที่ดูชิคทะมัดทะแมง เหมาะกับการใช้งานกลางวันหรือสะพายไปทำงานอย่างมืออาชีพ อย่างไรก็ตาม ข้อควรคำนึงของการใช้ไซส์ Jumbo คือเรื่องน้ำหนัก ด้วยขนาดที่ใหญ่และวัสดุหนัง+ฮาร์ดแวร์ ทำให้มีน้ำหนักค่อนข้างมากเมื่อใส่ของเต็มที่ (น้ำหนักกระเป๋าเปล่าก็ประมาณ 1 กิโลกรัมบวกลบเล็กน้อย) การสะพายทั้งวันอาจทำให้เมื่อยไหล่ได้ โดยเฉพาะสะพายแบบสายเดี่ยวที่น้ำหนักกดลงไหล่ข้างเดียวโดยตรง สาวๆ หลายคนจึงใช้ไซส์นี้เป็นกระเป๋าทำงานหรือเดินทางที่ไม่ได้สะพายติดตัวทั้งวัน (เช่น วางบนโต๊ะประชุม หรือลากใส่ carry-on ระหว่างเดินทาง) มากกว่าจะสะพายช้อปปิ้งเดินเล่นนาน ๆ
ความเหมาะสมกับรูปร่าง : กระเป๋าขนาด Jumbo ดูโดดเด่นมากเมื่อสะพายอยู่บนตัว เพราะขนาดใบใหญ่จะดึงความสนใจทันที สาว ๆ ที่มีรูปร่างสูงตั้งแต่ ~165 ซม. ขึ้นไปจะสะพายไซส์นี้ได้อย่างสง่างาม ดูสวยแพงแบบแฟชั่นนิสต้า แต่สำหรับสาวตัวเล็ก (ไซส์มินิหรือต่ำกว่า ~155 ซม.) การสะพาย Jumbo อาจทำให้ดูโหลดต่ำและใบกระเป๋ากินตัวมากเกินไปจนบดบังสัดส่วน เว้นแต่จะชอบสไตล์โอเวอร์ไซส์จริง ๆ
ดังนั้นผู้หญิงตัวเล็กจำนวนมากมักเลี่ยงไซส์นี้และเลือก Medium หรือ Small แทน ในด้านความยาวสาย กระเป๋า Jumbo สามารถสะพายไหล่สายเดี่ยวได้ตำแหน่งกำลังดีสำหรับคนตัวสูงปานกลางถึงสูง แต่สำหรับคนตัวเล็กสายอาจยาวจนกระเป๋าห้อยต่ำเกินไป (ระดับสะโพกหรือต้นขา) ทำให้เกะกะเวลาขยับตัว ทั้งนี้ Jumbo ยังสามารถสะพายสายคู่เพื่อให้กระเป๋าอยู่สูงขึ้นมาแนบใต้วงแขน ให้ความรู้สึกกระชับปลอดภัยและลดน้ำหนักที่กดลงบ่า ซึ่งสาวๆ รูปร่างเล็กบางคนใช้วิธีนี้ในการสะพาย Jumbo ให้เข้ากับตัวเอง
ราคา (ปี 2025) และมูลค่าการลงทุน : ด้วยความที่ Chanel Jumbo เป็นกระเป๋าไซส์ใหญ่ ราคาขายปลีกของมันก็สูงที่สุดในกลุ่ม (ไม่รวม Maxi) โดยราคาในปี 2024 หลังการปรับขึ้นอยู่ที่ประมาณ 11,700 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 400,000+ บาท (บางประเทศอาจแตะ 450,000 บาท เมื่อรวมภาษี)​ ซึ่งแพงกว่าไซส์ Medium เล็กน้อย
อย่างไรก็ดี ในตลาดมือสอง กระเป๋าขนาด Jumbo กลับมีอัตราการเสื่อมราคาที่สูงกว่าไซส์อื่นๆ กล่าวคือราคาขายต่อมักจะตกลงมาเหลือ ~50% – 60% ของราคามือหนึ่งเท่านั้น เนื่องจากความต้องการในตลาดรองไม่สูงเท่าไซส์ยอดนิยม (ปัจจัยหลักคือเรื่องน้ำหนักและขนาดที่บางครั้งใช้งานยากในชีวิตประจำวัน) ยกตัวอย่างเช่น Chanel Classic Jumbo 12″ หนังคาเวียร์สีดำ สภาพสวย สามารถหาซื้อได้ในตลาดมือสองที่ราคาประมาณ 145,000 – 160,000 บาท​ ซึ่งถือว่าลดลงเกือบครึ่งหนึ่งจากราคาป้ายที่เคยซื้อมา
แต่ในอีกด้านหนึ่ง ถ้าพิจารณาในมุมการลงทุนระยะยาว คนที่ซื้อ Jumbo ในอดีตเมื่อสิบปีก่อนตอนที่ราคายังต่ำกว่าแสนบาท กลับถือว่าการลงทุนของพวกเขาให้ผลตอบแทนดีมาก เพราะแม้ขายต่อในราคาลดครึ่งหนึ่งก็ยังได้กำไรจากทุนเดิมหลายหมื่นบาท (ราคากระเป๋า Chanel Classic ทุกไซส์ขึ้นเร็วมากในช่วง 5-10 ปีมานี้
ดังนั้นหากมองว่า “ซื้อมาใช้และเก็บสะสม” ไซส์ Jumbo ก็ยังเป็นกระเป๋าที่รักษามูลค่าได้ดีในระดับหนึ่ง เพียงแต่อาจไม่โดดเด่นเท่าไซส์ Medium หรือ Small ในแง่สภาพคล่องการขายต่อ นอกจากนี้ ปัจจุบัน Chanel ผลิต Jumbo ออกมาน้อยลงและกระแสความนิยมเทไปทางกระเป๋าใบเล็กมากขึ้น ถ้าในอนาคต Jumbo กลายเป็นไซส์หายาก ก็มีโอกาสที่ราคามือสองจะกลับมาขยับสูงขึ้นได้เช่นกัน ถือเป็นการลงทุนที่ต้องอาศัยระยะเวลาพอสมควร
(หมายเหตุ:) ราคาดอลลาร์สหรัฐ (USD) แปลงเป็นเงินบาทโดยประมาณตามค่าเงินปี 2024-2025 (อัตรา ~36 บาท/USD) ราคามือหนึ่งอาจแตกต่างตามแต่ละประเทศและภาษีนำเข้า ส่วนราคามือสองขึ้นกับสภาพสินค้า ปีที่ผลิต และความนิยมของสี/วัสดุในตลาดช่วงนั้น ๆ

ตารางเปรียบเทียบแบบเข้าใจง่าย

ตารางเปรียบเทียบแบบเข้าใจง่าย

 

สรุปการเลือกขนาดที่เหมาะกับคุณ

การจะเลือกซื้อ Chanel Classic Flap ขนาดใดนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลักคือ ปริมาณของที่พกประจำ, โอกาสในการใช้งาน, รูปร่าง/ความสูงของผู้ใช้ และงบประมาณ หากคุณพกของน้อยและชอบกระเป๋าใบเล็กน่ารักที่สะพายได้ทั้งกลางวันและกลางคืน ไซส์ Mini หรือ Small ก็เป็นตัวเลือกที่ดี ไซส์มินิจะให้ลุคที่ดูแฟชั่นสนุกสนาน เหมาะกับวันสบาย ๆ หรือออกงานปาร์ตี้

ในขณะที่ ขนาด Small จะดูเป็นทางการขึ้นมาหน่อยและใช้งานได้ครอบคลุมตั้งแต่ชุดลำลองถึงชุดราตรีเบา ๆ สำหรับคนที่ต้องการความอเนกประสงค์สุด ๆ ใส่ของได้พอดี ไม่มากหรือน้อยเกินไป และเข้ากับทุกลุคทุกความสูง

ขนาด Medium คือ “ขนาดทอง” ที่หลายคนหลงรัก เพราะเป็นขนาดคลาสสิกของแบรนด์ที่ให้สมดุลระหว่างความสวยงามและการใช้งาน ส่วนใครที่ของเยอะหรืออยากได้กระเป๋าใบหลักที่จุได้เทียบเท่ากระเป๋าถือทั่วไป

ขนาด Jumbo ก็จะตอบโจทย์เรื่องฟังก์ชันได้ดี แต่ต้องแลกมากับน้ำหนักที่มากขึ้นและความเทอะทะที่อาจไม่เหมาะกับทุกคน

ในด้านการลงทุน กระเป๋า Chanel Classic Flap ทุกไซส์ได้รับความนิยมสูงและมีประวัติการเพิ่มราคาที่น่าประทับใจ อย่างไรก็ตาม ขนาด Medium และ Small มักรักษามูลค่าได้ดีที่สุดเนื่องจากความต้องการซื้อขายในตลาดสูงต่อเนื่อง รองลงมาคือ ขนาด Mini ที่กระแสแรงตามยุคสมัย (บางช่วงอาจมีราคาขายต่อสูงใกล้เคียงมือหนึ่งสำหรับสีหายาก)

ส่วน ขนาด Jumbo แม้ราคาขายต่อจะตกลงจากราคาป้ายมากกว่าไซส์อื่น แต่ก็ยังเป็นสินทรัพย์ที่คุ้มค่าเมื่อเวลาผ่านไปหากมองในแง่การเพิ่มขึ้นของราคาในอดีต สุดท้ายนี้ การเลือกขนาดที่เหมาะสมควรพิจารณาจากไลฟ์สไตล์และความชอบส่วนตัวของคุณเป็นหลัก เพราะไม่ว่าไซส์ไหน Chanel Classic Flap ก็ถือเป็นกระเป๋าที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์และคุณค่าที่จะอยู่คู่ตู้เสื้อผ้าของคุณไปได้อีกนานแสนนาน และทั้งหมดนี้คือ เปรียบเทียบกระเป๋า Chanel Mini, Small, Medium และ Jumbo จาก KATEXOXO

KATE