เจาะลึก Louis Vuitton Spring 2025 เมื่อพูดถึงโลกแฟชั่นระดับไฮเอนด์ ไม่มีชื่อใดทรงพลังและเปี่ยมเสน่ห์เท่า Louis Vuitton แบรนด์แฟชั่นสัญชาติฝรั่งเศสที่ผสานมรดกแห่งการเดินทางกับวิสัยทัศน์แห่งอนาคตได้อย่างไร้รอยต่อ สำหรับคอลเล็กชั่น Spring/Summer 2025 นี้ Louis Vuitton ได้เผยโฉมงานออกแบบที่สะท้อนตัวตนของแบรนด์อย่างชัดเจนผ่านสองผู้นำสร้างสรรค์คนสำคัญ Nicolas Ghesquière ผู้อยู่เบื้องหลังเสื้อผ้าสตรีที่เต็มไปด้วยพลังแห่ง “soft power” และ Pharrell Williams กับเสื้อผ้าบุรุษที่ผสานเสียงดนตรีเข้ากับโลกแฟชั่นอย่างแยบยล
ในบทความนี้ เราจะพาคุณเจาะลึกทุกแง่มุมของคอลเล็กชั่นฤดูใบไม้ผลิ 2025 ทั้งฝั่งผู้หญิงและผู้ชาย ตั้งแต่แรงบันดาลใจในการออกแบบ รายละเอียดบนรันเวย์ ไปจนถึงไอเท็มเด็ดที่คาดว่าจะเป็นไวรัล พร้อมราคาและข้อมูลการวางจำหน่ายจริงในประเทศไทย เตรียมพบกับโลกแฟชั่นที่ทั้งหรูหรา น่าค้นหา และเปี่ยมไปด้วยสไตล์ที่สะกดทุกสายตา
คอลเล็กชั่นผู้หญิง Spring/Summer 2025 – Nicolas Ghesquière
ลุคจากรันเวย์ Louis Vuitton ผู้หญิง Spring/Summer 2025 เผยเอกลักษณ์แขนเสื้อทรงพองแบบยุควิกตอเรียน ผสานกับสไตล์ทันสมัย คอลเล็กชั่นเสื้อผ้าผู้หญิงฤดูใบไม้ผลิ/ฤดูร้อน ปี 2025 โดย Nicolas Ghesquière เปิดตัววันที่ 1 ตุลาคม 2024 ณ ลาน Cour Carrée พิพิธภัณฑ์ Louvre กรุงปารีส ท่ามกลางบรรยากาศปารีเซียงสุดคลาสสิก
ก่อนโชว์จะเริ่ม Louis Vuitton ได้เน้นย้ำความสำคัญของสถานที่จัดแสดงว่าเป็นหัวใจทางประวัติศาสตร์ของแฟชั่นฝรั่งเศส ซึ่งสอดคล้องกับธีมของคอลเล็กชั่นนี้ที่พูดถึง “Soft Power” หรือพลังอ่อนโยนของผู้หญิงยุคใหม่ ที่ใช้เสน่ห์และแฟชั่นเป็นดั่งเกราะป้องกันและอำนาจในการกำหนดสังคม
Ghesquière ได้แรงบันดาลใจจากสไตล์ยุค ศตวรรษที่ 19 (ช่วงปี 1890s) ผสมผสานกลิ่นอาย ยุคปี 1980 ถ่ายทอดผ่านซิลูเอตต์ชุดที่มีแขนทรงพองแบบ leg-of-mutton เอวคอด สะโพกผาย คล้ายชุดสตรีชั้นสูงยุควิกตอเรีย แต่ลดทอนความเทอะทะให้เข้ากับยุคใหม่ เน้นความพลิ้วไหวใส่สบายมากขึ้น
Soft Power Concept
คำว่า “soft power” ถูกตีความทั้งในแง่พลังอำนาจเชิงอ่อนโยนของความเป็นหญิง และการผสมผสาน ความนุ่มนวล เข้ากับ ความแข็งแกร่ง ในงานออกแบบ ไม่ว่าจะเป็นการทำวัสดุเนื้ออ่อนให้อยู่ทรง หรือเพิ่มความพลิ้วไหวให้วัสดุที่ดูแข็งตามปกติ ผลลัพธ์คือเสื้อผ้าที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งแต่กลมกลืน เช่น แจ็กเก็ตแขนบอลลูนพองโตจับคู่กับกางเกงขาสั้นแนบเนื้อและถุงน่องลายลูกไม้ ให้ลุคที่ดูทั้งทรงพลังและอ่อนโยนในคราวเดียวกัน
แรงบันดาลใจและธีม : คอลเล็กชั่นนี้นำเสนอ soft power ผ่านการย้อนยุคแบบร่วมสมัย Ghesquière เลือกหยิบทรงชุดยุคเรอเนซองส์และวิกตอเรียนมาปรุงใหม่ให้เข้ากับยุค 80s อย่างลงตัว พื้นที่รันเวย์เองทำจากหีบเดินทาง Louis Vuitton ต่อตัวกันเป็นแคตวอล์ก สื่อถึงมรดกการเดินทางของแบรนด์ที่มีมาตั้งแต่อดีต
รายละเอียดบนเสื้อผ้ามีทั้งการซ้อนเลเยอร์และงานประดับสุดวิจิตร เช่น เดรสสั้นระบายชั้นที่ตกแต่งด้วยคริสตัลเม็ดโตและแถบวัสดุหนา, เสื้อแจ๊กเก็ตตัวยาวประดับลายพิมพ์กราฟิกสดใสจับคู่กับกระโปรงระบายปลายรุ่ย, รวมถึงเสื้อเบลาส์ผ้าบางเบาผูกโบว์ที่ใส่ซ้อนใต้แจ็กเก็ตทรงสั้นเอวเข้ารูป ให้กลิ่นอายย้อนยุคแต่ดูเคลื่อนไหวทันสมัย
นอกจากนี้ช่วงท้ายของโชว์ นางแบบยังออกมาเต้นรำในชุดกระโปรงระบายเลื่อมระยับ พร้อมถือกระเป๋าทรงลูกบอลกระจกเงาคล้ายลูกดิสโก้ ส่งท้ายโชว์ด้วยบรรยากาศดิสโก้ที่สนุกสนาน ทว่าแฝงนัยถึงการเฉลิมฉลองพลังของหญิงสาวแม้โลกจะอยู่ในภาวะตึงเครียด
วัสดุ สี และซิลูเอตเด่น : โทนสีของคอลเล็กชั่นมีความหลากหลาย ตั้งแต่สีดำ-ขาวคลาสสิกไปจนถึงสีสดใสแบบนีออนและเมทัลลิก Ghesquière เล่นกับ ลวดลายกราฟิก และ งานพิมพ์ยุค ’80s คู่กับวัสดุหรูหรา เช่น ผ้าไหมที่จับรูปร่างแบบ boxy แล้วผูกเป็นปมสร้างโครงร่างใหม่ให้เสื้อผ้า หรือการใช้ผ้าตาข่ายและผ้าโปร่งเพิ่มเลเยอร์ให้ชุดดูมีมิติ นอกจากนี้ยังมีการตกแต่งด้วยขนนกบนรองเท้า และการปักประดับลูกปัดคริสตัลลงบนผืนผ้าเพื่อเพิ่มประกายให้ชุดอีกด้วย
ซิลูเอตที่เห็นชัดบนรันเวย์คือ แขนเสื้อบอลลูนขนาดใหญ่ บนเสื้อแจ็กเก็ตและเสื้อเบลาส์ จับคู่กับช่วงเอวที่คอดกิ่วและกระโปรงสั้นพลิ้วไหว ทำให้สัดส่วนดูแปลกตาแต่ทรงพลัง บางลุคก็เลือกใช้กางเกงทรงคาปรีความยาวครึ่งแข้ง (Capri pants) ที่ได้แรงบันดาลใจจากกางเกงโจรสลัดในอดีต ผสมกับปกคอระบายแบบ ruff เพิ่มกลิ่นอายยุคเรอเนซองส์ไปพร้อมกัน
ขณะที่บางลุคจับคู่กางเกงฮาเร็มข้างหนึ่งกับอีกข้างเว้าขาสูง เผยให้เห็นการทดลองตัดต่อแพทเทิร์นที่ท้าทายสายตา ซึ่งทั้งหมดนี้สะท้อนธีม “ความขัดแย้งที่ผสานกลมกลืน” ตามคอนเซ็ปต์ soft power ของคอลเล็กชั่นได้อย่างชัดเจน
คีย์ลุคที่น่าสนใจ : ลุคเปิดโชว์เป็นเสื้อแจ็กเก็ตแขนบอลลูนพองใหญ่ลายทางขาว-แดง สวมทับเสื้อเชิ้ตผูกโบว์สีฟ้าอ่อนและบอดี้สูทสีดำ เข้าคู่กับกระโปรงสั้นลายตารางขาว-ดำและสายโซ่คาดลำตัว ให้ความรู้สึกเหมือน corset ยุคโบราณแต่ดูโมเดิร์น
อีกลุคเด่นคือชุดเดรสสั้นเข้ารูปคอเต่าสีขาว-เขียวที่เต็มไปด้วยลวดลายแอ็บสแตรกต์และปักหมุดคริสตัลทั่วตัวชุด เสริมด้วยเข็มขัดและกระโปรงระบายชั้นๆ ที่ประดับหมุดโลหะกลม ให้กลิ่นอาย punk ผสานกับ futuristic อย่างลงตัว รองเท้าที่ใช้ในลุคนี้เป็นรองเท้าหนังทรงโลฟเฟอร์เสริมส้นหนา แต่งสายรัดหลายเส้นและหัวเข็มขัดขนาดใหญ่ สะท้อนเทรนด์ รองเท้าสไตล์แมสคูลีน ที่ผสมเข้ากับชุดหญิงได้อย่างมีเอกลักษณ์ (รองเท้าทรงนี้มีออกวางขายด้วยในชื่อรุ่น Platform Derby ซึ่งคาดว่าจะได้รับความนิยมจากสายแฟชั่นที่ชื่นชอบความจัดจ้าน)
นอกจากนี้ ในโชว์ยังมีลุคชุดสูทกระโปรงผ้าทวีดสีเทาตกแต่งเลื่อมและเดรสผ้าตาข่ายปักลาย ที่นางแบบ Liu Wen และ Sora Choi สวมใส่ ซึ่งถูกพูดถึงอย่างมากในโลกออนไลน์ว่าถ่ายทอดความเป็น “วิคตอเรียนยุคใหม่” ได้อย่างน่าสนใจ (ทั้งสองลุคนี้ถูกถ่ายแบบลงนิตยสารแฟชั่นหลายเล่มทันทีหลังโชว์)
ไอเท็มเด่นประจำคอลเล็กชั่นผู้หญิง : นอกจากเสื้อผ้าแล้ว แอ็กเซสซอรีของฝั่งผู้หญิงฤดูกาลนี้ก็โดดเด่นไม่แพ้กัน แต่ละชิ้นผสมผสานความคลาสสิกของแบรนด์เข้ากับดีไซน์ใหม่ ๆ ที่น่าตื่นเต้น มีหลายชิ้นที่คาดว่าจะเป็น กระแสฮิต และเป็นที่หมายตาของนักสะสม ดังนี้:
-
Speedy & Neverfull รุ่นหนัง Exotic – สองกระเป๋า iconic ของ Louis Vuitton ถูกนำกลับมาปัดฝุ่นใหม่ให้ตื่นตากว่าเดิม โดย Speedy และ Neverfull โฉมใหม่นี้ทำจากหนังจระเข้สีสด (เช่น Neverfull สีแดงเงา และ Speedy สีเขียวเข้มกับสีส้มอมแดง) ประดับฮาร์ดแวร์ทอง
แทนที่จะใช้ผ้าแคนวาสโมโนแกรมแบบดั้งเดิม ความหรูหราระดับนี้ยกระดับสองรุ่นยอดนิยมสู่โลกของงานคราฟต์ชั้นสูง ในโชว์เราจะเห็น Speedy ทรงคลาสสิกที่เพิ่มสายโซ่หนังสานเส้นใหญ่และหูจับกับขอบมุมที่ทำจากหนังจระเข้ (แทนหนัง Vachetta เดิม)
ดูแปลกตาและหรูหรายิ่งขึ้น ซึ่งถือเป็นการตีความ Speedy แบบใหม่ที่ต่างจากฝั่งผู้ชายของ Pharrell ที่ทำ Speedy เป็นหนังลูกวัวพิมพ์ลายอ่อนนุ่ม (Speedy P9) อย่างสิ้นเชิงกระเป๋า Speedy และ Neverfull รุ่นหนัง Exotic นี้ผลิตจำนวนจำกัดและมีราคาสูงมาก (เช่น Neverfull หนังจระเข้สีแดง มีรายงานว่าราคาเกือบ 2 ล้านบาท ขึ้นไป) แต่ด้วยการผสมสีจัดจ้านและวัสดุหายาก ทำให้เชื่อว่าจะเป็นที่ต้องการของทั้งนักสะสมกระเป๋าและผู้ที่ชื่นชอบความโดดเด่นไม่เหมือนใคร
โดยทั้งสองรุ่นมีกำหนดวางจำหน่ายแบบ Made-to-Order สำหรับลูกค้า VIP ในช่วงกลางปี 2025 และกลายเป็นไวรัลในโลกออนไลน์ทันทีที่ภาพปรากฏบนรันเวย์
-
Petite Malle ประดับคริสตัลระยิบระยับ – กระเป๋าคลัตช์ใบจิ๋วทรงหีบเดินทาง (trunk clutch) รุ่นซิกเนเจอร์ Petite Malle ถูกนำมาเพิ่มความอลังการด้วยการ ฝังคริสตัลใสทั้งใบ จนดูคล้ายลูกบอลดิสโก้ขนาดย่อม
บนรันเวย์ Petite Malle ใบนี้มาในรูปแบบถือหูจับบนและสายโซ่สีเงินเส้นหนา เติมความเปรี้ยวให้กับความหรูหรา แสงไฟที่ตกกระทบทำให้กระเป๋าเปล่งประกายทุกมุมมอง เป็นไอเท็มที่เรียกเสียงแฟลชจากช่างภาพและคำชมจากบรรณาธิการแฟชั่นทันทีที่ปรากฏตัว ด้วยดีไซน์ที่โดดเด่นขนาดนี้
คาดว่ากระเป๋า Petite Malle รุ่นคริสตัลจะเป็น ชิ้นสะสม สำหรับสายแฟชั่นที่รักความแกลม (glam) และน่าจะปรากฏในงานพรมแดงหรือปาร์ตี้หรูบ่อยครั้งในปีนี้ (มีรายงานว่าราคาอยู่ราว 600,000-800,000 บาท เนื่องจากการประดับคริสตัลทั้งใบต้องใช้ช่างฝีมือสูงและเวลาในการผลิตมาก)
หีบเดินทางรุ่นพิเศษลายภาพวาด Laurent Grasso – Trunk หีบเดินทางขนาดเล็ก (คล้าย Petite Malle แต่ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าหนากว่า) ถูกนำมาต่อยอดด้วยงานศิลปะร่วมสมัย โดยจับมือกับ Laurent Grasso ศิลปินชาวฝรั่งเศสที่สร้างสรรค์ภาพวาดแนวเหนือจริง ซีรีส์ “Studies into the Past” พื้นผิวของหีบใบนี้ถูกพิมพ์ลายภาพวาดท้องฟ้าและดวงดาวแบบเหนือจริงของ Grasso ให้ความรู้สึกเหมือนถือจักรวาลขนาดย่อมไว้ในมือ
ไอเท็มนี้นับเป็นการผสมผสานโลกแฟชั่นกับโลกศิลปะอย่างลงตัว เพราะไม่เพียงมีฟังก์ชันเป็นกระเป๋า แต่ยังเป็นเสมือน งานศิลป์ชิ้นเอก ที่พกพาได้ จึงได้รับความสนใจทั้งจากแฟชั่นนิสต้าและนักสะสมงานศิลป์ การใช้ลายพิมพ์ศิลปะบนกระเป๋าเดินทางของ Louis Vuitton ไม่ใช่เรื่องใหม่ (ยุค Marc Jacobs เคยร่วมงานกับศิลปินหลายคน) แต่ครั้งนี้โดดเด่นเพราะสอดคล้องกับธีม soft power ที่ยกย่อง “พลังแห่งแฟชั่นฝรั่งเศส” และเชิดชูมรดกแบรนด์
คาดว่าหีบรุ่น Laurent Grasso นี้จะผลิตจำนวนจำกัดมากในรูปแบบสั่งจองล่วงหน้า และอาจมีราคาสูงทะลุ 3-4 ล้านบาท (เป็นราคาที่สายสะสมพร้อมจ่ายเพื่อครอบครองชิ้นงานระดับมาสเตอร์พีซ)
แอ็กเซสซอรีอื่น ๆ ที่น่าสนใจในฝั่งผู้หญิงยังรวมถึง กระเป๋า GO-14 รุ่นคลาสสิกที่เพิ่มดีเทลขอบโซ่และพู่โลหะเส้นเล็กระย้าให้ดูพังค์นิด ๆ
กระเป๋า Side Trunk ที่เปลี่ยนหูจับหนังเป็นสายโซ่แบบสร้อยงูสุดเก๋ และรุ่นที่ตกแต่งคริสตัลฟริ้นจ์ห้อยระย้าเพิ่มความระยิบระยับ รวมถึง Fan Clutch คลัตช์รูปพัดแบบพับได้ที่ทำจากผ้าใบโมโนแกรมซึ่งเป็นไอเท็มใหม่สายแฟชั่นสนุก ๆ รับซัมเมอร์ แต่สำหรับบทความนี้ เราขอยกมาเฉพาะ 3 ชิ้นไฮไลต์ข้างต้นที่เชื่อว่าจะ สร้างกระแสมากที่สุด ในฤดูกาลนี้
ราคาและการวางจำหน่าย : คอลเล็กชั่นเสื้อผ้าผู้หญิง Spring 2025 นี้เริ่มทยอยวางจำหน่ายในบูติก Louis Vuitton ทั่วโลกตั้งแต่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม 2025 เป็นต้นไป สินค้าบางชิ้น (เช่น กระเป๋า Petite Malle รุ่นตกแต่งพิเศษ และกระเป๋า Exotic บางรุ่น) อาจจะต้องสั่งจองล่วงหน้าในประเทศไทย เนื่องจากมีจำนวนจำกัดและสงวนให้ลูกค้ากลุ่มบนก่อน
โดย ราคาในไทย ของสินค้าหลัก ๆ เช่น Speedy Bandoulière รุ่นหนังจระเข้ คาดว่าประมาณ 400,000-500,000 บาทขึ้นไป (สำหรับหนังลูกวัวพิมพ์ลายธรรมดารุ่นใกล้เคียงอยู่ที่ราว 100,000-150,000 บาท) ส่วน Neverfull หนังจระเข้ ที่มีขนาดใหญ่กว่า ราคาอาจทะลุ 1.5-2 ล้านบาท ตามความหายากของวัสดุ
สำหรับ Petite Malle รุ่นคริสตัล ในไทยคาดว่าจะอยู่ที่หลักหลายแสนบาท (ใกล้เคียงหรือสูงกว่า Petite Malle รุ่นพิเศษก่อนๆ ที่ราคาราว 500,000+ บาท) ลูกค้าที่สนใจสามารถสอบถามที่บูติก Louis Vuitton สาขาสยามพารากอนหรือไอคอนสยาม ซึ่งจะมี Personal Shopper ให้ข้อมูลการสั่งจองและกำหนดส่งมอบอย่างละเอียด
ทั้งนี้ แคมเปญโปรโมตคอลเล็กชั่น ผู้หญิงครั้งนี้ Louis Vuitton ได้สร้างความฮือฮาเป็นพิเศษ โดยเลือกแบรนด์แอมบาสเดอร์อย่าง ลิซ่า – ลลิษา มโนบาล มาร่วมถ่ายทอดภาพลักษณ์ของหญิงสาวยุคใหม่ในแบบฉบับ Louis Vuitton คู่กับ Saoirse Ronan นักแสดงฮอลลีวู้ดชื่อดัง โดยช่างภาพ Steven Meisel ได้ถ่ายภาพลิซ่าและเซอร์ชาในฉากหลังภาพวาดเหนือจริงของ Laurent Grasso (ศิลปินคนเดียวกับที่ร่วมงานออกแบบลายบนกระเป๋าในโชว์)
ทางแบรนด์กล่าวว่า “ลิซ่าคือตัวแทนของพลัง Soft Power ที่ความสำเร็จของเธอได้รับการยอมรับไปทั่วโลก” การเลือกใช้ลิซ่าซึ่งเป็นศิลปินเอเชียระดับโลกมาขึ้นแคมเปญ ถือเป็นการตอกย้ำธีม soft power และสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ Louis Vuitton ในการนำเสนอมุมมองความเป็นผู้หญิงที่ทรงพลังและไร้พรมแดนในคอลเล็กชั่นนี้
คอลเล็กชั่นผู้ชาย Spring/Summer 2025 – Pharrell Williams
กระเป๋า Speedy P9 Bandoulière 50 หนังลูกวัวพิมพ์ลายโมโนแกรมสีฟ้า หนึ่งในไอเท็มเด่นจากคอลเล็กชั่นผู้ชาย Spring 2025 ซึ่ง Pharrell Williams นำ Speedy ทรงคลาสสิกมาปรับโฉมใหม่ด้วยวัสดุหนังทั้งใบ
ทางฝั่งเสื้อผ้าบุรุษ คอลเล็กชั่น Spring/Summer 2025 ออกแบบโดย Pharrell Williams จัดแฟชั่นโชว์เปิดตัวไปเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2024 ณ อาคารสำนักงานใหญ่ UNESCO กรุงปารีส ซึ่งเป็นการเปิดสัปดาห์แฟชั่นบุรุษ Paris Fashion Week อย่างยิ่งใหญ่ (นับเป็นคอลเล็กชั่นฤดูใบไม้ผลิครั้งที่สองของ Pharrell หลังเข้ารับตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ Louis Vuitton Men)
บรรยากาศของโชว์ครั้งนี้แตกต่างจากคอลเล็กชั่นผู้หญิงอย่างสิ้นเชิง Pharrell เลือกใช้ธีม “Le monde est à vous” ภาษาฝรั่งเศสที่แปลว่า “โลกนี้เป็นของคุณ” ซึ่งสะท้อนมุมมอง โลกาภิวัตน์ และการเปิดรับความหลากหลายทางวัฒนธรรมอย่างเต็มที่ผ่านงานออกแบบ โดยยังคงเอกลักษณ์ LVERS (Louis Vuitton + lovers) ซึ่งเป็นสไตล์บุรุษแบบ LV ยุคใหม่ที่ Pharrell วางแนวทางไว้ตั้งแต่คอลเล็กชั่นก่อนหน้า
แรงบันดาลใจและธีม : แรงบันดาลใจหลักของคอลเล็กชั่นนี้คือแนวคิด Synaesthesia (ไซแนสทีเซีย) หรือการรับรู้ร่วมหลายประสาทสัมผัส ที่ Pharrell นำมาใช้ “เปลี่ยนเสียงดนตรีให้กลายเป็นสีสันทางอารมณ์ในเสื้อผ้า”
กล่าวคือ เขาพยายามสื่อสารเสียงเพลง (ซึ่งเป็นอีกตัวตนของ Pharrell ในฐานะโปรดิวเซอร์ดนตรี) ผ่านเฉดสีและลวดลายบนเครื่องแต่งกาย ทำให้แต่ละชุดมีการใช้สีที่สะท้อนอารมณ์ความรู้สึกแตกต่างกันไป เช่น โทนสีธรรมชาติอย่างเบจ น้ำตาล ถูกจับคู่กับสีสดใสอย่างเหลืองนีออน เขียวมิ้นต์ หรือฟ้าเทอร์ควอยซ์ในชุดเดียวกัน เพื่อให้เกิด “การปะทะของสี” ที่มองแล้วเกิดความรู้สึกตื่นเต้นเหมือนฟังดนตรีที่มีจังหวะสนุกสนาน
การออกแบบและดีไซน์หลัก : คอลเล็กชั่นนี้โดดเด่นที่ ลวดลายโมโนแกรม และแพทเทิร์นซิกเนเจอร์ต่าง ๆ ของ Louis Vuitton ซึ่งถูกตีความใหม่อย่างสนุกสนานบนเสื้อผ้าผู้ชายหลายชิ้น เช่น ลาย Flower Monogram (ดอกไม้โมโนแกรม) ถูกนำมาใส่ในเสื้อแจ็กเก็ตคอจีนไม่มีปก เสื้อฮู้ดดี้ และเสื้อเชิ้ตแต่งขอบยางยืด โดยบางดีไซน์ไล่เฉดสีจากสีสดใสไปจบที่สีขาว ทำให้ดูเหมือนสีที่หลอมละลายเข้าด้วยกัน ในขณะที่บางชิ้นก็นำลายดอกโมโนแกรมไปถักทอในเสื้อไหมพรม เช่น คาร์ดิแกนสีม่วงไลแลค และสเวตเตอร์สีเขียวมรกต
ส่วนลาย LV Blason Monogram (ลายโมโนแกรมที่ได้แรงบันดาลใจจากสัญลักษณ์ตราประจำตระกูล) ก็ปรากฏบนชุดหลายลุค ทั้งบนเสื้อแจ็กเก็ตและกางเกงยีนส์เดนิมฟอกสี ไปจนถึงชุดสูทผ้าวูลสีดำทรงหลวมสบาย ที่ดูเรียบโก้แต่ก็มีลูกเล่นความเป็น LV ซ่อนอยู่ นอกจากนี้ลาย Damier (ตารางหมากรุก) อันเก่าแก่ของแบรนด์ก็ถูกนำมาใช้เช่นกัน เช่นในเซ็ตชุดไหมพรมสไตล์พรีพีลายตารางขาว-น้ำเงิน
ก่อนจะระเบิดความจัดจ้านกลายเป็นลายตารางสีรุ้งบนเสื้อเบลาส์ผ้าไหมโปร่งในลุคถัดมา เรียกว่าเล่นกับ สีรุ้งและไล่เฉดสี อย่างเต็มที่ในรายละเอียดของเสื้อผ้า ไม่ว่าจะเป็นขอบเอวของเสื้อแจ็กเก็ตบอมเบอร์และคาร์ดิแกนสีดำที่ไล่สีรุ้ง หรือตัวอักษรโลโก้ Louis Vuitton หลากสีบนเสื้อแจ๊กเก็ตแนว Varsity (สไตล์เสื้อทีมมหาวิทยาลัย) และแจ็กเก็ตกีฬา
ทุกองค์ประกอบล้วนสะท้อนถึงบรรยากาศสดใสของฤดูใบไม้ผลิและการเฉลิมฉลองความหลากหลายทางวัฒนธรรม Pharrell ยังสอดแทรกแรงบันดาลใจจากกีฬาฟุตบอลลงในคอลเล็กชั่นนี้อย่างชัดเจน เห็นได้จากการออกแบบชุดที่คล้ายเครื่องแบบทีมฟุตบอล ไม่ว่าจะเป็น เสื้อเจอร์ซีย์ หมายเลขทีม LV, กางเกงขาสั้นฟุตบอล และการเลือกใช้ถุงเท้ายาวกับรองเท้าสนีกเกอร์ทรงสตั๊ด (stud) ที่ให้กลิ่นอายของสนามบอล
โดยองค์ประกอบเหล่านี้ถูกปรับให้หรูหราและแฟชั่นขึ้น เช่น เสื้อฟุตบอลทำจากผ้าไหมซาตินเงางาม แต่งลายกราฟิกสีสด หรือเสื้อกั๊กตาข่ายที่ใส่ทับสูทอีกทีหนึ่ง เป็นต้น นอกจากนี้เวทีเดินแบบยังมีโครงสร้างลูกโลกขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตรงกลาง สื่อถึงคอนเซ็ปต์ “การเดินทางรอบโลก” และ “ความเป็นหนึ่งเดียวของมนุษยชาติ” ที่ Pharrell ต้องการนำเสนอผ่านคอลเล็กชั่นนี้ขณะที่เพลงประกอบโชว์ Pharrell ก็แต่งขึ้นใหม่สามเพลง (เช่น “Triumphus Cosmos” และ “Falling Up”) ร่วมกับศิลปินดังอย่าง Clipse, John Legend และ Nile Rodgers แสดงสดโดยคณะนักร้องประสานเสียง Voices of Fire และวง L’Orchestre du Pont Neuf เพื่อสร้างบรรยากาศยิ่งใหญ่สมกับเป็นโชว์แห่งยุค
พูดได้ว่า Pharrell ได้ใช้ทั้ง แฟชั่น ดนตรี และศิลปะการจัดแสดง มารวมกันเพื่อสื่อถึงมุมมองโลกยุคใหม่ที่เปิดกว้างและเชื่อมต่อถึงกัน ซึ่งสะท้อนจิตวิญญาณของ Louis Vuitton ได้อย่างครบถ้วน
ไอเท็มเด่นประจำคอลเล็กชั่นผู้ชาย : คอลเล็กชั่นนี้อัดแน่นไปด้วยไอเท็มแอกเซสซอรีสุดล้ำที่ผสมผสานความเป็นสตรีทเข้ากับงานฝีมือหรูหรา ตามสไตล์ของ Pharrell เราคัดเลือก 3 ชิ้นเด็ด ที่คาดว่าจะเป็นกระแสและขายดีสุด ๆ ดังนี้
-
Speedy P9 Bandoulière – กระเป๋า Speedy ทรง bowling อันโด่งดังของ Louis Vuitton ถูก Pharrell นำมารีดีไซน์ใหม่ในชื่อ “Speedy P9” โดย P9 ย่อมาจาก Pont Neuf สะพานเก่าแก่ใจกลางปารีสที่ใช้จัดโชว์เปิดตัวของเขา (คอลเล็กชั่น SS2024) นั่นเอง
สิ่งที่ทำให้ Speedy P9 ต่างจาก Speedy ดั้งเดิมคือ วัสดุหนังลูกวัวพิมพ์ลายโมโนแกรมทั้งใบ (ปกติ Speedy ทำจากผ้าแคนวาสเคลือบ) เพิ่มความหรูหราและราคาสูงขึ้นอย่างชัดเจน
เปิดตัวครั้งแรกด้วยสีสันจัดจ้านถึง 4 สี ได้แก่ เขียว, เหลือง, แดง, น้ำเงิน และมีให้เลือก 3 ขนาด คือ 25, 40 และ 50 โดย ไซส์ 25 ราคาเปิดตัวในไทยประมาณ 336,000 บาท, ไซส์ 40 ราคา 403,000 บาท และ ไซส์ 50 ราคา 448,000 บาท (ทั้งหมดเป็นราคาหนังลูกวัวพิมพ์ลาย; ถ้าเป็นรุ่นหนัง Exotic สั่งทำพิเศษราคาจะสูงกว่านี้หลายเท่า)ความพิเศษอีกอย่างของ Speedy P9 คือการตกแต่งด้วยสายสะพายแบบ Bandoulière (บันดูว์ลิเยร์ = สายสะพาย) ที่สามารถถอดออกได้ และ แผ่นป้ายชื่อโลหะ แบบเดียวกับ trunk tag ของหีบเดินทางวินเทจ แทนการใช้หูห้อยกระเป๋าแบบเดิม เพิ่มกลิ่นอายงานเดินทางเข้าไป
- บนรันเวย์และแคมเปญโฆษณา Speedy P9 ถูกนำเสนอให้โดดเด่นมาก เช่น Rihanna ถือ Speedy P9 สีแดง เหลือง เขียว น้ำเงินพร้อมกันในภาพโปรโมตแรก หรือ Jacob Elordi นักแสดงชายชื่อดังถูกถ่ายภาพเดินถือ Speedy P9 สีเหลืองในงานเทศกาลหนังเวนิส จนเกิดเป็นกระแส Genderless Bag ที่ผู้ชายก็สามารถถือ Speedy ได้อย่างเท่และมีสไตล์ (ดังภาพที่มีคนดังถือกระเป๋า Speedy P9 ลงสื่อโซเชียล)
ด้วยความที่เป็นทั้ง ไอเท็มแฟชั่น และ เครื่องแสดงสถานะ (Speedy เป็นรุ่นไอคอนิกของ LV) คาดว่า Speedy P9 จะกลายเป็น It-Bag ของฝั่งผู้ชายประจำปีนี้ โดยเฉพาะในประเทศไทยที่มีกลุ่มลูกค้าผู้ชายรุ่นใหม่กล้าใช้กระเป๋าแฟชั่นมากขึ้น ปัจจุบัน Speedy P9 สีคลาสสิกอย่างดำล้วนและรุ่น sun-faded fluo (ไล่สีแบบโดนแดดจาง) ได้เข้ามาวางขายในร้าน Louis Vuitton ไทยแล้วบางส่วน ส่วนสีสดอื่นๆ จะทยอยเข้ามาครบทุกสีภายในกลางปี 2025
-
รองเท้า LV Footprint Soccer Sneaker – หนึ่งในไฮไลต์ของโชว์ที่สร้างความตื่นเต้นให้ทั้งคอแฟชั่นและคอฟุตบอล คือสนีกเกอร์รุ่นใหม่ล่าสุด LV Footprint Soccer ที่ได้แรงบันดาลใจจาก รองเท้าสตั๊ดฟุตบอล คลีตติดปุ่ม โดย Pharrell ออกแบบให้ผสมผสานความเป็นรองเท้ากีฬาเข้ากับงานดีไซน์หรูแบบ LV ได้อย่างลงตัว
ตัวรองเท้าทำจาก หนังลูกวัวสีพื้นตัดเย็บแบบรองเท้าสตั๊ด มีลิ้นรองเท้าหนังพับทับเชือก (ดีไซน์คลาสสิกของรองเท้าฟุตบอลยุคเก่า) ประทับโลโก้ LV ขนาดใหญ่ด้านบน และโลโก้ทีมสมมติ “LVERS UNITED” อยู่คู่กัน ที่ด้านข้างรองเท้าปั๊มคำว่า “VUITTON” ขณะที่พื้นรองเท้ายางถูกออกแบบเป็นรอยลาย Monogram Flower 5 แฉก ที่ส้นเท้า ให้เวลาเดินบนพื้นนุ่มจะเกิดรอยประทับเป็นลายโมโนแกรมเก๋ๆ ตามคอนเซ็ปต์ leave your footprint (ทิ้งรอยเท้า LV ไว้ทุกที่)
รุ่นนี้ออกมาทั้งหมด 5 สี ได้แก่ ดำ, ขาว, น้ำเงิน, แดง, และเขียวเข้ม ตามโทนสีทีมฟุตบอลยอดนิยม โดยวางขายแบบ Pre-order ตั้งแต่ปลายธันวาคม 2024 และเข้าร้านจริงช่วงต้นมกราคม 2025 ที่ราคาเปิดตัวคู่ละ $1,120 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 40,000 บาท)
ซึ่งถือว่าราคาใกล้เคียงกับสนีกเกอร์ลักชัวรี่ทั่วไป จุดเด่นคือเป็นครั้งแรกที่ Louis Vuitton ทำรองเท้าทรงสตั๊ดอย่างจริงจัง ทำให้แฟนบอลและแฟชั่นสายสตรีทตื่นเต้นมาก หลายสื่อแฟชั่นยกให้ LV Footprint Soccer เป็นตัวอย่างของเทรนด์ “Football-meets-Fashion” (ฟุตบอลผสานแฟชั่น) ที่กำลังมาแรง
- โดยในไทยเองรองเท้ารุ่นนี้ก็ได้รับความสนใจสูง มี Waiting List รายชื่อจองตั้งแต่ก่อนเข้า店 และบางสีเช่น ขาว และดำ ขณะนี้ของหมดต้องรอ Lot ถัดไป สื่อกีฬาอย่าง GQ Sports ยังโพสต์ภาพรองเท้ารุ่นนี้ลงโซเชียลพร้อมแคปชั่น “เมื่อแฟชั่นจับมือกับฟุตบอล” ซึ่งเรียกยอดไลก์จำนวนมากคาดว่าการที่ LV ก้าวเข้าสู่วงการสตรีทฟุตบอลเช่นนี้ จะกระตุ้นให้แบรนด์หรูอื่นๆ อาจเดินรอยตามในอนาคต ถือเป็นไอเท็มที่สร้างกระแส Luxury Streetwear ได้อย่างแท้จริง
-
แว่นกันแดด “Millionaire” 1.0 และ 4.0 – หากพูดถึง Pharrell Williams หนึ่งในสไตล์ซิกเนเจอร์ของเขาคือแว่นกันแดดทรงหนาแนววินเทจยุค 2000s ซึ่งครั้งนี้ Pharrell ได้นำแว่นรุ่นตำนานของ Louis Vuitton อย่าง “Millionaire” กลับมาปัดฝุ่นใหม่อีกครั้ง โดยออกมา 2 รุ่น ได้แก่ Millionaire 1.0 ที่เป็นการรีโปรดักชั่นดีไซน์ดั้งเดิมยุคต้นปี 2000 (ซึ่ง Pharrell เคยร่วมออกแบบกับ Nigo ให้ LV มาแล้ว) และ Millionaire 4.0 รุ่นใหม่ล่าสุดที่ปรับโฉมให้เข้ากับธีมคอลเล็กชั่น
- แว่น Millionaire 4.0 มาในสไตล์นักบินยุคทอง (golden age of aviation) กรอบทรงโอเวอร์ไซส์หนา ทำจากวัสดุโพลิคาร์บอเนตโปร่งใสสีโทนผิว (skin-toned) และประดับแผ่นโลหะลายโมโนแกรมสีเงินเงาวาวที่ขาแว่น เติมความหรูแบบ Futuristic
ขณะที่รุ่น 1.0 นั้นมากับกรอบสีดำและทองคลาสสิกคล้ายต้นฉบับ และมีรายละเอียดโลโก้ “Louis Vuitton Paris” ที่มุมเลนส์ตามแบบฉบับยุค Y2K - การกลับมาของ Millionaire ถือว่า เอาใจสายสตรีทไฮเอนด์ อย่างแท้จริง เพราะแว่นรุ่นนี้เคยฮิตมากในหมู่เซเลบริตี้ (เช่น Jay-Z, Kanye West ยุค 2005) การนำกลับมาครั้งนี้ Pharrell ตั้งใจให้เป็น ของสะสม คู่กายเหล่าแฟชั่นนิสต้าชายที่ชื่นชอบกลิ่นอายเรโทรและความเป็น LV แน่นอนว่าเมืองไทยเองก็มีฐานแฟนแว่นตา LV อยู่แล้ว (อย่างเช่นรุ่น 1.1 Millionaires ที่ออกสมัย Virgil Abloh ก็ขายดีมาก) แว่น Millionaire 1.0 และ 4.0 รุ่นใหม่วางขายแล้วในไทย
- ราคาเริ่มต้นประมาณ 30,000-35,000 บาท ขึ้นอยู่กับรุ่นและการตกแต่ง ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับมาตรฐานของแว่นตาดีไซเนอร์ ชิ้นนี้จึงน่าจะเป็นไอเท็มยอดนิยมที่ขายดี ไม่แพ้กระเป๋าและรองเท้าของคอลเล็กชั่นนี้เลยทีเดียว
- ราคาเริ่มต้นประมาณ 30,000-35,000 บาท ขึ้นอยู่กับรุ่นและการตกแต่ง ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับมาตรฐานของแว่นตาดีไซเนอร์ ชิ้นนี้จึงน่าจะเป็นไอเท็มยอดนิยมที่ขายดี ไม่แพ้กระเป๋าและรองเท้าของคอลเล็กชั่นนี้เลยทีเดียว
นอกจากสามไอเท็มข้างต้นแล้ว คอลเล็กชั่นผู้ชาย SS25 ยังมีอีกหลายรายการน่าสนใจ เช่น รองเท้าบูท LV Rider ทรงคาวบอยที่ออกแบบให้แมตช์กับชุดธีมนักเดินทาง (มาในสีผิวหลากโทนทั้งดำ น้ำตาล แทน)
, สนีกเกอร์ LV Footprint Traveller ที่ปรับทรงจากรองเท้าบูทจักรยานยนต์ให้ใส่สบาย เดินทางไกลได้ พิเศษด้วยส้นพับได้ (collapsible heel) ผลิตทั้งแบบหนังโมโนแกรมสีดำและหนังจระเข้สุดหรูสำหรับสายลักชัวรี่ และ กระเป๋า Soft Trunk ทรงหีบจิ๋วที่เพิ่มสายโซ่ทองเส้นโตเป็นหูจับ สื่อถึงงานออกแบบเครื่องประดับที่กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของกระเป๋าได้อย่างน่าสนใจ เป็นต้น
ซึ่งทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นวิสัยทัศน์ของ Pharrell ในการเชื่อมโยงความเป็น แฟชั่นไฮเอนด์เข้ากับสตรีทคัลเจอร์ ได้อย่างไร้รอยต่อ คอลเล็กชั่น Spring 2025 ฝั่งผู้ชายจึงเปรียบเสมือนคำประกาศว่า ยุคใหม่ของ Louis Vuitton Men ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว และ Pharrell Williams ก็ได้ตรึงแฟนๆ ให้อยู่หมัดด้วยสไตล์ที่สดใหม่และเป็นเอกลักษณ์ของเขาเอง
ราคาและการวางจำหน่าย : สินค้าคอลเล็กชั่นผู้ชาย Spring 2025 เริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่ปลายปี 2024 ต่อเนื่องถึงต้นปี 2025 โดย รองเท้า LV Footprint Soccer เปิดให้สั่งจอง 26 ธ.ค. 2024 และวางขายจริง 2 ม.ค. 2025 ทันเวลาต้อนรับศักราชใหม่ (ตอนนี้มีของเข้าร้าน LV ไทยแล้วบางสี)
ส่วน กระเป๋า Speedy P9 สีมาตรฐานเช่น ดำ และแบบสีไล่โทน มีของในร้านแล้วตั้งแต่ช่วงต้นปี 2025 ขณะที่สีพิเศษอย่าง ชมพูเชอร์รี่, เขียวมิ้นต์, ส้มพีช (ที่เปิดตัวในโชว์ SS25) จะเข้ามาช่วงกลางปี และสีกรมท่า/ทอง (เปิดตัวในโชว์ FW2025) จะตามมาภายหลังอีกที ราคาของ Speedy P9 ในไทยตามขนาดที่กล่าวไป (336,000 – 448,000 บาท)
ถือเป็นราคาที่คุ้มค่าสำหรับกระเป๋าหนังแท้ทั้งใบเมื่อเทียบกับแบรนด์ลักชัวรี่อื่น ๆ ที่วัสดุระดับเดียวกัน (อนึ่ง Speedy P9 มีแบบสั่งทำพิเศษ Made-to-Order ที่ใช้หนังจระเข้และแต่งเพชร ราคาอาจสูงถึง สิบล้านบาท สำหรับนักสะสมระดับบน ซึ่งในไทยมีโควต้าให้สั่งได้ไม่กี่ใบเท่านั้น)
สำหรับแว่นตา Millionaire 1.0/4.0 ก็มีวางขายในบูติกแล้วตั้งแต่ ม.ค. 2025 เช่นกัน สนนราคาประมาณ 30k-40k บาท ดังที่กล่าวไป และ สนีกเกอร์ LV Footprint Soccer ราคา ~40,000 บาท มีครบทุกสีเข้ามาจำหน่ายแล้ว (แต่สต็อกบางสีหมดเร็ว ต้องสอบถามรายสาขา) ลูกค้าที่สนใจสามารถชมสินค้าได้ที่ช็อป Louis Vuitton บุรุษ (เช่น สาขาไอคอนสยาม) หรือติดต่อผ่านเว็บไซต์ทางการของ Louis Vuitton ประเทศไทย
เพื่อเช็คสินค้าคงเหลือและดำเนินการสั่งซื้อออนไลน์ได้โดยตรง โดยทางแบรนด์มีบริการจัดส่งถึงบ้านสำหรับลูกค้าที่สั่งผ่านช่องทางดิจิทัลด้วย คอลเล็กชั่น Spring/Summer 2025 ของ Louis Vuitton คือภาพสะท้อนความมั่นใจ ความคิดสร้างสรรค์ และการยืนหยัดในอัตลักษณ์ของแบรนด์ยุคใหม่ได้อย่างชัดเจน
ไม่ว่าจะเป็นชุดแขนพองย้อนยุคในเวอร์ชันโมเดิร์นของ Ghesquière หรือสตรีทแวร์สุดพิเศษของ Pharrell ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังดนตรีและสีสัน ทั้งสองฝั่งต่างพา Louis Vuitton ไปไกลกว่าการเป็นแบรนด์หรู แต่กลายเป็นเวทีที่ศิลปะ วัฒนธรรม และเทรนด์ร่วมสมัยมาบรรจบกันอย่างน่าทึ่ง
สำหรับสายแฟชั่นตัวจริง คอลเล็กชั่นนี้ไม่เพียงน่าตื่นตาตื่นใจในมุมมองศิลป์ แต่ยังเต็มไปด้วยไอเท็มที่มีศักยภาพสูงในการสร้างกระแสในโลกจริง Speedy P9, รองเท้าสไตล์สตั๊ด, Petite Malle คริสตัล หรือ Neverfull หนัง Exotic ล้วนแล้วแต่เป็น statement pieces ที่พูดแทนตัวตนผู้สวมใส่ได้อย่างทรงพลัง นี่คือฤดูกาลที่ Louis Vuitton ไม่ได้เพียงแค่สร้างแฟชั่น — แต่กำลังนิยามอนาคตของมันขึ้นใหม่อย่างเต็มภาคภูมิ
ท้ายที่สุด Louis Vuitton Spring 2025 ทั้งฝั่งผู้หญิงและผู้ชายนี้ นับเป็นการตอกย้ำถึง พลังสร้างสรรค์สองขั้ว ของแบรนด์ภายใต้การนำของดีไซเนอร์สองคนที่มีวิสัยทัศน์แตกต่างกัน Nicolas Ghesquière ยังคงสร้างฝันแฟชั่นแห่งอนาคตด้วยการขุดเอามรดกในอดีตมาปรับใช้
ในขณะที่ Pharrell Williams นำพลังวัฒนธรรมสมัยนิยมและสตรีทคัลเจอร์มาผสานกับความหรูหราได้อย่างกลมกลืน ผลลัพธ์คือ Louis Vuitton ในปี 2025 ที่ทั้งเคารพประวัติศาสตร์และทะยานสู่อนาคต เรายังต้องติดตามกันต่อไปว่าชิ้นไหนจะฮิตติดกระแสบ้าง แต่ที่แน่ๆ Louis Vuitton ได้สร้างปรากฏการณ์บทใหม่ ให้วงการแฟชั่นโลกอีกครั้งในฤดูกาลนี้