เปิด ประวัติ Leica กล้องในฝันที่ช่างภาพส่วนใหญ่ อยากมีไว้ในครอบครอง ไลก้า (Leica) ขึ้นชื่อว่าเป็นกล้องชั้นนำระดับโลก ที่มีความเป็นมาอย่างยาวนานมากกว่า 120 ปี ถ้าหากพูดถึงเรื่องราคานั้นเรียกได้ว่าแพงระดับ Luxury Brand เลยทีเดียว ความพิเศษของ Leica คือ การผลิตกล้องแต่ล่ะตัวนั้นล้วนใช้ช่างฝีมือในการประกอบชิ้นส่วนทุกชิ้น และผลิตออกมาแบบจำนวนจำกัด ดังนั้น คงไม่ใช่เรื่องแปลก ถ้าหาก Leica จะเป็นที่ต้องการอันดับต้นๆ ของคนรักกล้อง
ประวัติ Leica ( ไลก้า )
ปี ค.ศ. 1849 สินค้าตัวแรกของบริษัท คือ กล้องโทรทรรศน์ แต่ในปี ค.ศ. 1855 ทางบริษัทได้เปลี่ยนเป็นผลิตกล้องจุลทรรศน์แทน ซึ่งเป็นสินค้าที่ได้คิดค้นมาก่อนหน้านั้นแล้วหลายปี เมื่อทางบริษัทลองปล่อยกล้องจุลทรรศน์ออกสู่ตลาด ผลปรากฎว่า ได้รับการตอบรับเป็นไปในทิศทางที่ดีมาก จึงทำให้การผลิตกล้องโทรทัศน์ได้หยุดลงในปี ค.ศ. 1865 ต่อมาบริษัทเปิดได้รับวิศวกรหน้าใหม่ที่มีชื่อว่า แอรนส์ ไลท์ซ (Ernst Leitz) เข้ามาทำงาน ด้วยความสามารถของ แอรนส์ ไลท์ซ เขาได้เข้ามาเป็นหุ้นส่วนของบริษัทในเวลาต่อมา และยังคงสานต่อการผลิตกล้องจุลทรรศน์
ค.ศ. 1869 แอรนส์ ไลท์ซ (Ernst Leit) ได้เริ่มบริหารธุรกิจในอุตสาหกรรมเกี่ยวกับเลนส์นี้อย่างเต็มตัว เนื่องจาก ไลท์ซ ได้ซื้อกิจการจากบริษัทเดิม ด้วยเหตุที่ว่าผู้บริหารคนเก่าได้เสียชีวิตลง และไม่มีใครสามารถมารับช่วงต่อได้ เขาตั้งชื่อบริษัทใหม่ว่า Ernst Leitz Optische Werks เป็นธุรกิจที่มุ่งไปในทางผลิตและจำหน่ายกล้องจุลทรรศน์ เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมและการแพทย์ แน่นอนว่าไลท์มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจนี้ และเข้าใจในรายละเอียดของเลนส์เป็นอย่างดี
ใน ปี ค.ศ. 1905 ออสการ์ บาเเน็ค (Oskar Barnack) นักวิศวกรและนักออกแบบ ชาวเยอรมัน ได้เข้ามาทำงานกับบริษัทของไลท์ซ ซึ่งเข้ามาเป็นพนักงานทดลองงานเพียงแค่ 1 สัปดาห์ เนื่องจากเขามีปัญหาเรื่องสุขภาพ จึงไม่สามารถทำงานได้เต็มกำลังเท่าที่ควร โดยส่วนตัวแล้ว บาเเน็ค เป็นบุคคลที่ชอบท่องเที่ยวในสถานที่ต่างๆ และถ่ายรูปวิวทิวทัศน์ เขามักจะชอบพกกล้องติดตัวไปด้วยทุกที่ แต่ด้วยเหตุที่ว่ากล้องประจำตัวเขานั้น มีน้ำหนักค่อนข้างเยอะ มีปัญหาจากกระจกแตกหักง่ายบ่อยครั้ง ไม่ค่อยสะดวกต่อการใช้งานมากนัก
จึงทำให้ บาเเน็ค อยากที่จะผลิตกล้องที่มีน้ำหนักเบา กระทัดรัด พกพาสะดวก สามารถนำไปถ่ายรูปในที่ต่างๆ ได้ง่าย โดยไม่มีขั้นตอนก่อนทำการถ่ายภาพที่ซับซ้อน แต่เลนส์ยังอยู่ในเกณฑ์ที่มีคุณภาพ ภาพยังคงความละเอียดเเละคมชัด เป็นสาเหตุให้บาเเน็คพยายามคิดค้นกล้องสำหรับตัวเขาขึ้นมา
บาเเน็ค เกิดไอดียอยากทำการย่อฟิล์ม ทำขนาดฟิล์มเนกาทีฟ (Negative Film) ให้เล็กลง ด้วยแนวคิดที่ว่า “Small negative large picture” เขาอยากให้การถ่ายภาพด้วย Negative Film ขนาดที่เล็กลง สามารถเก็บรายละเอียดและความคมชัดของภาพไว้ได้ เช่นเดียวกับการถ่ายภาพผ่านเลนส์ที่มีคุณภาพสูง
ค.ศ. 1914 บาเเน็ค ประสบความสำเร็จในการคิดค้นกล้องตัวแรกโดยบริษัท ใช้ชื่อว่า UR-LEICA ถือได้ว่าเป็นก้าวที่สำคัญของการพัฒนากล้องฟิล์มเลยก็ว่าได้ ซึ่งการออกแบบนั้น คิดค้นมาเพื่อการถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ (Landscape) ที่มาพร้อมกับระบบฟิล์มม้วนคู่ ภาพถ่ายที่ได้ขนาด 24×36 มิลลิเมตร มีระบบการง้างชัตเตอร์เพื่อป้องกันการเกิดภาพซ้อน แต่ไม่นานหลังจากนั้น การผลิตกล้องฟิล์มที่บริษัทได้พัฒนาขึ้นก็ต้องหยุดชะงักลง เนื่องด้วยผลกระทบจากสงครามโลกครั้งที่ 1
ที่มาของชื่อ LEICA
LEICA นั้นเป็นการประสมคำสองคำ คือ LEI(tz) + CA(mera) ซึ่งสามารถแปลความหมายได้ว่า กล้องตัวนี้มาจากบริษัทของไลท์ซนั่นเอง
ประวัติ Leica ถูกจารึกเมื่อ ปี ค.ศ. 1924 ในฐานะเป็นสิ่งที่เปลี่ยนประวัติศาสตร์กล้องอย่างแท้จริง เมื่อ Ernst Leit II ได้ตัดสินใจนำกล้อง UR-LEICA ที่บาเเน็ค คิดค้นขึ้น มาดัดแปลงผสมผสานคุณสมบัติต่างๆ เพื่อนำมาผลิตกล้อง Leica โดยใช้ฟิล์มขนาด 35 มิลลิเมตรได้ แบบเดียวกับที่ใช้ถ่ายภาพยนต์ หลักการ คือ เอาฟิล์มถ่ายภาพยนต์มาอัดเป็น 2 ชั้น ถึงแม้ Leica จะไม่ใช่บริษัทแรกที่ใช้ฟิล์มขนาด 35 มิลลิเมตร ในกล้องถ่ายรูป แต่เป็นบริษัทแรกที่ผลิตขึ้นมา แล้วสามารถใช้งานได้จริง ถือว่าเป็นการปฎิวัติอุสาหกรรมกล้องที่แท้จริง และเป็นที่มาของฟิล์มขนาด 35 มิลลิเมตร อีกด้วย
Leica ได้ทำการผลิตกล้องออกมาจำหน่ายอย่างจริงจัง เมื่อ ปี ค.ศ. 1925 บริษัทสามารถทำให้สินค้าเป็นที่รู้จักและยอมรับได้อย่างกว้างขวาง สินค้าโด่งดังและเป็นที่ต้องการเป็นอย่างมาก บริษัทพัฒนากล้องขึ้นตามเทคโนโลยีใหม่ๆ อยู่เสมอ จนทำให้บริษัทก้าวขึ้นเป็นผู้นำทางด้านกล้องถ่ายภาพ
ในปี ค.ศ. 1930 Leica ได้ออกมานำเสนอกล้องถ่ายภาพขนาด 35 มิลลิเมตร ที่สามารถเปลี่ยนเลนส์ได้หลายแบบ นั่นคือ LEICA 1 เมื่อสินค้าตัวนี้ออกสู่ตลาด ผลปรากฎว่ากล้อง LEICA 1 ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ผู้คนรู้จักให้ความสนใจในสินค้าตัวนี้ จนเป็นกล้องที่สามารถครองตลาดได้ ในช่วง ปี ค.ศ. 1932 โดยมีการผลิตและจำหน่ายได้มากถึง 60,586 ตัวกันเลยทีเดียว
จนในปี ค.ศ. 1954 ได้ถือกำเนิด LEICA M3 เป็นกล้องที่สามารถเปลี่ยนเลนส์ออกมาได้ตามชอบ ซึ่งการผลิตสินค้าใหม่ๆ ในแต่ล่ะครั้ง ของ Leica นั้น ทำให้ Leica สามารถไต่ระดับขึ้นเป็นบริษัทผู้นำในอุตสาหกรรมถ่ายภาพ และเป็นบริษัทแนวหน้าการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ในการผลิตกล้องตั้งแน่นั้นเป็นต้นมา
เมื่อก่อนกล้องมีขนาดใหญ่ แต่ Leica สามารถนำมาย่อส่วนให้มีขนาดเล็กลง เพื่อความสะดวกในการพกพาไปได้ในทุกที่ อีกทั้งยังสามารถประกอบกับเลนส์ที่มีคุณภาพสูงได้ทุกอัน ที่สำคัญ คือ พกติดตัวไปได้ทุกที่ พร้อมถ่ายภาพได้ทุกสถานการณ์ ทั้งในที่ร่มและกลางแจ้ง ซึ่งเป็น Format ที่ได้รับความนิยมสูงสุดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
Leica ยังคงยึดมั่นในแนวทางการใช้ช่างฝีมือผลิตสินค้า (Craftaman) โดยในกล้อง 1 ตัวนั้น จะประกอบด้วยชิ้นส่วนไม่ต่ำกว่า 1,000 ชิ้น และมีจำนวนมากกว่า 500 ชิ้น มาจากช่างฝีมือเป็นคนผลิตขึ้นมา โดยที่ช่างฝีมือของ Leica ล้วนแล้วแต่เป็นสตรีทั้งสิ้น เพราะต้องใช้ความละเอียดอ่อนอย่างมากในการผลิต คงไม่เป็นที่น่าแปลกใจ หากราคาของกล้อง Leica ค่อนข้างสูง ประกอบกับ Leica ผลิตกล้องออกมาอย่างจำกัด ยิ่งทำให้เป็นที่ต้องการของช่างภาพมืออาชีพ ที่ต้องการครอบครองกล้องดีๆ สักตัว
สำนักงานอันหรูหราของ Leica
สำนักงานใหญ่ของ Leica ได้ตั้งอยู่ที่ เมือง WELZLAR ประเทศเยอรมณี ชื่อเรียกศูนย์ คือ The Leitz Park เพื่อเป็นเกียรติและเชื่อมโยงกับประวัติศาตร์ของแบรนด์ และนอกเหนือจากนั้น Leitz Park ได้ขยายเฟสธุรกิจเป็น Café Leitz by Pacamara คาเฟ่สำหรับคนรักไลก้า และ VIENNA HOUSE ERNST LEITZ ธุรกิจโรงแรมที่ใช้ในการต้อนรับนักท่องเที่ยว เมื่อเดินทางมาพักผ่อนที่ประเทศเยอรมนี
ปัจจุบันการทำรายได้ของ Leica นั้นนับว่าสูงมากหากเทียบกับธุรกิจประเภทเดียวกัน จนสามารถพูดได้ว่า ณ ตอนนี้คู่แข่งของ Leica ไม่ใช่บริษัทกล้องด้วยกันอีกต่อไป ด้วยราคาที่พุ่งทะยานเรื่อยๆ บวกกับความต้องการของนักสะสม ที่ไม่ว่าจะผลิตกล้องออกมาจำนวนมากแค่ไหนก็ไม่เพียงพอต่อความต้องการ ทำให้ Leica ก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทที่แข็งแกร่งในกลุ่มของสินค้าสะสม และเป็นบริษัทที่น่าจับตามองอย่างมากในศตวรรษที่ 21
รัก
xoxo