เจาะลึก ประวัติแบรนด์ Bottega Veneta เครื่องหนังสานระดับ Luxury Brand ที่ขึ้นชื่อเรื่องงานเครื่องหนังสานที่ดูแปลกตา สวยงามน่าจับจอง แหวกขนบไม่เหมือนใคร โดยกระเป๋าแต่ละใบได้รับการรังสรรค์จากช่างฝีมืออย่างละเอียดอ่อน เป็นที่หมายปองของนักช้อป กระเป๋าแบรนด์เนมประเภท Luxury Handmade เลยก็ว่าได้ เรามาทำความรู้จักกับ แบรนด์ Bottega Veneta กระเป๋าหนังสัญชาติอิตาเลียน ที่ไม่ได้มีดีแค่กระเป๋าเท่านั้น แต่ยังขยายไลน์การผลิตมากมายตั้งแต่เสื้อผ้า เครื่องประดับ ไปจนถึงเฟอร์นินเจอร์ตกแต่งบ้านอีกด้วย
ผู้ก่อตั้ง Bottega Veneta (โบเตก้า เวเนต้า)
ประวัติแบรนด์ Bottega Veneta นั้นได้ถือกำเนิดขึ้นเมื่อ ปี ค.ศ. 1966 โดย มิเคเล เทดเด (Michele Taddei) และ เรนโซ เซนเจียโร (Renzo Zengiaro) ทั้งสองเป็นอาจารย์อาร์ติซานระดับโลก (ผู้เชี่ยวชาญทางด้านศิลปะ) โดยทั้งสองมีความชื่นชอบเครื่องหนังเป็นพิเศษ จึงได้ศึกษาหาความรู้ พร้อมกับเก็บเกี่ยวประสบการณ์ต่างๆ เพื่อที่จะมีธุรกิจเครื่องหนังเป็นของตนเอง พวกเขามีความคิดที่จะออกแบบกระเป๋าหนังให้มีความแตกต่างจากกระเป๋าทั่วไป จึงเป็นจุดเริ่มต้นของแบรนด์ชั้นนำอย่าง Bottega Veneta
ทั้งคู่ได้ตกลงที่จะตั้งโรงงานแรก ณ เมืองวิเซนซา (Vicenza) ประเทศอิตาลี ซึ่งเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อว่า เมืองแห่งศิลปะ แหล่งรวมวัฒนธรรม และยังเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องความมั่งคั่งและร่ำรวยที่สุดในประเทศอิตาลี พวกเขาจึงได้เลือกที่นี่เป็นที่ตั้งโรงงาน เพื่อปูทางให้กับการสร้างแบรนด์ดีที่ รวมถึงเป็นการเข้าถึงลูกค้าได้ง่ายที่สุด ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ Bottega Veneta (โบเตก้า เวเนต้า) ประสบผลสำเร็จ และเป็นที่นิยมของเหล่านักช้อปในสมัยนั้นได้ภายในเวลาไม่นาน
Bottega Veneta (โบเตก้า เวเนต้า) ขึ้นชื่อว่าเชี่ยวชาญเป็นอย่างมากทางด้านการสานหนัง โดยเอกลักษณ์ของแบรนด์ คือ การใช้เส้นหนังมาสานทีละเส้น เพื่อให้เกิดลวดลายบนกระเป๋าที่ปราณีต งดงาม แบรนด์ได้ใช้เทคนิคการถักพิเศษเฉพาะเรียกว่า อินเทร็ตชาโต (Intrecciato) ซึ่งเทคนิคนี้กลายมาเป็น DNA ของแบรนด์ ตัวกระเป๋ามีความโดดเด่นในเรื่องของความทนทาน สามารถใช้ได้นาน ดีไซน์เรียบแต่แฝงไปด้วยความละเอียดอ่อนของงานทำมือ
ด้วยเหตุที่ว่าแบรนด์ Bottega Veneta นี้ใช้เวลาผลิตสินค้ามากกว่าแบรนด์อื่น จึงทำให้สินค้ามีราคาค่อนข้างสูง ขั้นตอนการผลิตเริ่มจากการกรีดหนังด้วยมือออกเป็นเส้นๆ แล้วนำกลับมาถักสานทีละบล็อกจนได้มาตรฐาน ก่อนนำมาประกอบเป็นตัวกระเป๋า แล้วจึงใส่ซับในเข้าไป เทคนิคการเย็บกระเป๋านั้น ต้องซ่อนตามจุดต่างๆ เพื่อให้มีความสวยงาม
Bottega Veneta ขึ้นชื่อว่าเป็นแบรนด์เดียวที่สามรถผลิตกระเป๋าหนังสานแบบละเอียดอ่อน ปราณีต และคัดสรรหนังทุกเส้นเพื่อคุณภาพที่ดีของกระเป๋า เพื่อให้คุ้มค่ากับราคาที่ลูกค้าต้องจ่าย ซึ่งกระเป๋าทุกใบของ Bottega Veneta ถึงแม้จะไม่มีตราประทับ หรืออักขระบนกระเป๋าใดๆ แต่เราสามารถรับรู้ได้ว่านี่คือกระเป๋าหนังแบรนด์ Bottega Veneta
ในช่วงปี ค.ศ. 1990 หลัง มิเคเล เทดเด (Michele Taddei) และ เรนโซ เซนเจียโร (Renzo Zengiaro) ได้ตัดสินใจปลดเกษียณตัวเองในฐานะผู้ก่อตั้งแบรนด์ จึงทำให้กระแสตอบรับลดน้อยลง แต่เมื่อ ปี ค.ศ. 2001 Bottega Veneta (โบเตก้า เวเนต้า) ก็ถูกซื้อโดย บริษัท Kering Group ซึ่งเป็นบริษัทธุรกิจแบรนด์หรู ที่มีหลายแบรนด์ชั้นนำที่อยู่ภายใต้การดูแล ล้วนแล้วแต่เป็นระดับแนวหน้าของอุตสาหกรรมแฟชั่น
นักออกแบบพรสวรรค์ กับ 17 ปีกับการสร้างสรรค์ผลงาน
โทมัส เมเยอร์ (Tomas Maier) เกิดเดือนเมษายน ค.ศ. 1957 นักออกแบบชาวเยอรมัน ครอบครัวอาศัยอยู่ที่เมือง ฟอร์ซไฮม์ ประเทศเยอรมณี ปัจจุบันอายุได้ 62 ปี โทมัส ได้เข้าศึกษาที่โรงเรียนวอลดอร์ฟตั้งแต่เยาว์วัย เมื่อเริ่มเป็นวัยรุ่นก็ได้ตัดสินมุ่งหน้าเข้ากรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เพื่อเข้าไปศึกษาหาประสบการณ์ต่อที่ สถาบัน School Of Chambre Syndicale De La Couture Parisienne ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นห้องเสื้อชั้นนำที่ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส
Tomas ถนัดงานออกแบบ ไม่ว่าจะเป็น การออกแบบสินค้า การออกแบบเสื้อผ้าแฟชั่นต่างๆ ผลงานของเขาโดดเด่นและเป็นที่จับตาอย่างมากใน ช่วงปี 90 โดย Tomas ได้ถูกดึงตัวไปทำงานให้แบรนด์ดังต่างๆ มากมาย เขาย้ายที่อยู่บ่อยครั้งตามสถานที่ที่เขาทำงาน และในหลากหลายประเทศ เช่น อิตาลี เยอรมัน ฝรั่งเศส จนกระทั่งเมื่อปี ค.ศ. 1999 Tomas ได้ตัดสินใจยุติสัญญากับบริษัทที่เขากำลังทำอยู่ เนื่องจากสถานที่ทำงานและอยู่ไม่ค่อยเป็นหลักแหล่งเท่าไหร่นัก เมื่อทำข้อตกลงในสัญญาเสร็จ Tomas ย้ายไปรัฐฟลอริดาในทันที
ในปี ค.ศ. 2001 ทางบริษัท Kering ได้แต่งตั้ง โทมัส เมเยอร์ (Tomas Maier) เป็นครีเอทีฟ ไดเร็คเตอร์ประจำแบรนด์ เพื่อให้ Tomas ได้ใช้ความสามารถของตนในการออกแบบรังสรรค์ผลงานต่างๆ ในรูปแบบของเขาเอง ซึ่งปี ค.ศ. 2002 Tomas ได้ออกแบบและรังสรรค์ผลงานชิ้นแรก คือ กระเป๋า The Cabat รูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว คือ การขัดสานจากผืนหนังด้วยความปราณีต
และถือได้ว่าเป็นผลงานการออกแบบกระเป๋าชิ้นแรกของ Tomas ได้รับการตอบรับที่ดี Bottega Veneta ได้นำ The Cabat เผยโฉมเต็มๆ ครั้งแรก ในคอลเล็กชั่น Spring/Summer 2002 แน่นอนว่า บริษัท Kering ไม่เป็นที่ผิดหวัง เมื่อ Tomas สามารถทำให้แบรนด์อันโด่งดังในอดีต กลับมาเป็นที่รู้จักกันอีกครั้งได้ และไต่ระดับกลับมาเป็นแบรนด์ชั้นนำระดับ Luxury Brand แถวหน้าภายในเวลาไม่นาน เรียกได้ว่า Tomas ได้ประสบความสำเร็จในการกอบกู้ความเป็น Bottega Veneta กลับมา
Tomas ได้ตั้งใจออกแบบและรังสรรค์ The Cabat ให้เป็นกระเป๋าที่มีความสวยงามทั้งภายในและภายนอก โดยเลือกใช้วิธีถักเส้นหนังสองด้านด้วยมือ เพื่อให้เห็นลวดลายทั้งด้านนอกและด้านในของกระเป๋า ทำให้กลายเป็นงานทำมือดีไซน์หรู ที่บ่งบอกตัวตนอันเด่นชัดของ Bottega Veneta เรียกได้ว่าทั้งสื่อถึงความซับซ้อนแต่ยังไม่ทิ้งความหรูหรา แสดงถึงความคลาสสิกไร้กาลเวลา
กระเป๋าที่เขาออกแบบใช้งานได้จริง ส่งผลให้ The Cabat โดดเด่น ได้รับความนิยม และเป็นกระเป๋าในดวงใจผู้คนมาเกือบ 2 ทศวรรษเลยทีเดียว ต่อมา Tomas ได้เลื่อนขั้นเป็น ตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ ของแบรนด์ Bottega Veneta เขาได้ออกแบบกระเป๋า The Cabat ตัวใหม่ มีชื่อรุ่นว่า The Spheres Cabat
การผสมผสานเทคนิคการถักสานหนังแบบดั้งเดิมคงความเป็นเอกลักษณ์เข้ากับลูกเล่นใหม่ๆ ก่อให้เกิดลูกเล่นที่ตื่นตาตื่นใจยิ่งกว่าเดิม โดย Tomas เผยว่าได้รับแรงบันดาลใจจากลูกแก้วทรงกลมที่ชาวเวนิสนิยมใช้ว่างประดับในสานเพื่อป้องกันวิญญาณชั่วร้าย มาทำเป็นลูกปัดทรงกลมเนื้อสัมผัสพิเศษกว่า 1,400 ชิ้น ซึ่งเขาได้นำไปประดับตกแต่งลงบนกระเป๋าด้วยมือ ก่อให้เกิดความพิเศษแบบใหม่บนกระเป๋า
ซึ่งทำให้ได้มาซึ่งงานลูกปัดสามมิติ ที่เกาะอยู่บนกระเป๋าราวกับหยดน้ำ โดยไม่ทิ้งความเนี้ยบ ความเรียบโก้ ซุกซ่อนอยู่ภายใต้ดีเทลต่างๆ ตั้งแต่ด้านใน ขยายไปด้านนอก สมเป็นชิ้นงานมาสเตอร์พีช นอกจากเป็นชิ้นงานแจ้งเกิดแล้ว The Cabat ยังจัดได้ว่าเป็นงาน Handmade ชั้นเยี่ยม ที่แสดงถึงงานฝีมือสุดบรรจง มีรูปทรงที่แข็งแรง ทว่ายังซ่อนความนุ่มนวลด้วยแผ่นหนังที่ขัดสานเข้าด้วยกันอย่างชดช้อย
กว่าจะได้กระเป๋า The Cabat แต่ละใบนั้น ต้องอาศัยกระบวนการผลิตที่ไม่ธรรมดา และเจาะลึกทุกรายละเอียด โดยขั้นตอนนั้น เริ่มจากการคัดเลือกหนังที่ต้องมีความพิถีพิถัน โดยเฉพาะกรณีที่เป็นหนังจระเข้ ซึ่งมีลวดลายอยู่ในตัว เพื่อให้ขนาดของหนังเหมาะสมกับขนาดของกระเป๋า โดยที่แผ่นหนังนั้นต้องสามารถนำมาตัดเป็นเส้นยาวเพื่อใช้สานได้ด้วย
ส่วนในการรังสรรค์กระเป๋า Bottega Veneta แต่ละใบนั้น ต้องใช้หนังจระเข้จำนวน 20-30 ชิ้น ก่อนจะนำมาแปรรูปเป็นเส้นยาว 1.30 เมตร จำนวน 80 เส้น และขนาด 1.50 เมตร จำนวน 100 เส้น โดยกระเป๋า The Cabat ขนาดกลาง ใช้เส้นหนังถักสานประมาณ 80 เส้น ส่วนใบใหญ่ใช้เส้นหนัง 100 เส้น ในการถักสานเพื่อทำลวดลาย ขั้นตอนต่อจากนั้นการแบ่งเส้นหนังด้วยการจับคู่กับผิว
Tomas ได้ทำหน้าที่เริ่มจาก ครีเอทีฟ ไดเร็คเตอร์ ประจำแบรนด์ ถึงขั้นเลื่อนไปดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ Bottega Veneta และเป็นบุคคลสำคัญที่นำพาแบรนด์ไปเป็นที่รู้จักระดับโลก ไต่ระดับไปจน Luxury Brand อันหรูหราของอิตาลี โดยที่ Tomas ใช้เวลาทำงานกับ Bottega Veneta ตั้งแต่ ปี ค.ศ. 2001 และสิ้นสุดลงใน ปี ค.ศ. 2018
จุดเปลี่ยน Bottega Veneta อีกครั้ง
หลังจาก โทมัส ไมเออร์ (Tomas Maier) ทำงานร่วมกับ Bottega Veneta มานานถึง 17 ปีได้ เขาก็ได้ตัดสินใจประกาศลาออกจากตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ และผ่านไปได้ไม่นานก็ได้มีชื่อของ เดเนียล ลี (Daniel Lee) ปรากฎขึ้นในฐานะผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์คนใหม่ ซึ่งก่อนหน้านี้ Daniel Lee เคยรับหน้าที่เป็นผู้อำนวยการฝ่ายเสื้อผ้าสำเร็จรูป ที่แบรนด์ชื่อดังอย่าง Celine มาแล้ว
ปัจจุบัน Daniel Lee มีอายุแค่ 32 ปีเท่านั้น หากเมื่อเทียบอายุกับตำแหน่งหน้าที่ที่เขาได้รับ ช่างแตกต่างกันมาก เพราะดูเหมือนว่าเขานั้นจะอายุน้อยกว่าตำแหน่งเสียด้วยซ้ำ แต่ด้วยประสบการณ์ทำงานของ Daniel Lee ซึ่งเขาได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับ Phoebe Pholo (ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ของแบรนด์ Celine) ในการออกแบบเสื้อผ้าสำเร็จรูปต่างๆ และมีผลงานที่ประสบความสำเร็จอีกมากมาย เป็นการการันตีว่าเขาเหมาะสมกับตำแหน่งที่ได้มาอย่างแน่นอน
ซึ่งในปัจจุบันนี้ Bottega Veneta (โบเตก้า เวเนต้า) ไม่ได้มีแค่ กระเป๋าเพียงอย่างเดียว Daniel Lee ยังออกแบบและผลิตสินค้าออกมาอีกหลายประเภท เช่น กระเป๋าสตางค์ เข็มขัด กำไลแขน แว่นตา ฯลฯ ซึ่ง ITEM ทั้งหมดนี้จุดเด่นยังคงเป็นงานฝีมือหนังสานทั้งหมดตาม DNA ของแบรนด์
“When Your Own Initials Are Enough” สโลแกนของแบรนด์ที่ว่า “เมื่อคุณมีชื่อย่อของคุณก็เพียงพอแล้ว” เป็นปรัชญาสื่อถึงความมั่นใจในตนเอง แบรนด์ไม่เน้นความฟู่ฟ่า โอ่อ่า แต่เน้นความปราณีตในสินค้าทุกชิ้น ทว่าเรื่องกระเป๋าหนังแท้ต้องมีคุณภาพชั้นเยี่ยม ใช้ช่างฝีมือในการผลิต ดีไซน์ไม่เหมือนใคร ดูเรียบง่ายแต่แอบแฝงความหรูหรา ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋าสำหรับสุภาพสตรีหรือสุภาพบุรุษ ก็สามารถเลือกเป็นเจ้าของได้ Bottega Veneta จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกงาน Luxury Handmade ที่มั่นใจได้ว่าคุณจะไม่มีทางผิดหวังกับคุณภาพอย่างแน่นอน
รัก
xoxo